Chapter 8 ถูกดูหมิ่นจากทุกสำนัก
สำนักของเขาอ่อนแอมาก จุนซ่างเซียวต้องการยกระดับสำนักแบบเงียบ ๆ ไม่คิดที่จะสร้างปัญหาใด ๆ.
แต่หลังจากเดินทางมายังเมืองชิงหยางแล้ว แม้นเขาไม่ต้องการมีปัญหา แต่ปัญหากับวิ่งเข้ามาหาเขาเองโดยตลอด.
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินเสียงคำดูแคลนจากศิษย์สองสำนักระดับแปดที่รุมด่าเขา ทำให้จุนซ่างเซียวไม่สามารถทนได้ จนต้องด่าออกไป.
“เฮ้ย เกินไปแล้ว!”
ศิษย์ของสำนักพยัคฆ์คำรามที่โกรธเกรี้ยวคำรามออกมา “กล้าไล่สำนักพยัคฆ์คำรามอย่างงั้นรึ? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึไง?”
“ฟิ้ว!”
“ฟิ้ว!”
ศิษย์ของสำนักพยัคฆ์คำรามที่พักอยู่ในกระโจมต่างก็เร่งรีบออกมาในทันทีเช่นกัน.
ศิษย์ของสำนักดาบใหญ่เองก็ออกมาจากที่พักด้วย.
เหล่าศิษย์ทั้งสองสำนักไม่เพียงแต่มีระดับเปิดชีพจรขั้นที่สี่และห้า ทว่าพวกเขายังมีกล้ามเนื้อล่ำสันล้นเสื้อผ้าออกมา.
ส่วนเจ้าสำนักจุนที่ผอมแห้งแรงน้อย ถูกกลุ่มคนที่ใหญ่ยักษ์เข้าล้อมวง เท่าที่ดูด้วยสายตา เพียงแค่หมัดเดียวคงจะปลิวลอยละล่องไปตามแรงหมัดในครั้งเดียวแน่.
“เกิดอะไรขึ้น?”
“สำนักพยัคฆ์คำรามและสำนักดาบใหญ่กำลังทะเลาะกันอย่างงั้นรึ?”
คนของสำนักอื่นเวลานี้เริ่มมามุงด้วยเช่นกัน.
สายตาของพวกเขาที่จับจ้องมองไปยังจุนซ่างเซียว ดูเหมือนว่าคนจำนวนมากกำลังล้อมกรอบ คน ๆ เดียวกัน.
“เอ๊ะ?”
มีบางคนที่เผยท่าทางประหลาดใจและกล่าวออกมา “ไม่ใช่ว่าคนที่หน้าประตูเมืองหรอกรึ? เห็นบอกว่าเป็นเจ้าสำนักรุ่นสองของสำนักไท่กู่เจิ้ง?”
เหล่าศิษย์สำนักดาบใหญ่และสำนักพยัคฆ์คำรามตกใจเล็กน้อย “เจ้าคนนี้นะรึ? เป็นเจ้าสำนักไท่กู่เจิ้ง?”
เห็นหน้าตาประหลาดใจไม่อยากเชื่อราวกับเห็นของแปลก จุนซ่างเซียวแทบอยากตะโกนดัง ๆ ข้าเป็นเจ้าสำนักแล้วมันผิดตรงใหนกัน!
ปัญหานะรึ?
มีความแข็งแกร่งที่อ่อนด้อย และยังเป็นเจ้าสำนักที่ยังดูเด็กเท่านั่นเอง.
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนต่างมองเห็นเขาเป็นเพียงศิษย์.
จวีซีสำนักดาบใหญ่ที่ยกมือขึ้น พร้อมกับกล่าวล้อ “แท้จริงเป็นเจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งรุ่นสองนี้เอง อ๋า! เสียมารยาทแล้ว.”
เหล่าศิษย์สำนักพยัคฆ์คำรามที่หัวเราะเยาะและกล่าวออกมาด้วยเช่นกัน “ล่วงเกินเจ้าสำนักซะแล้ว น่ากลัว กลัวเกินไปแล้ว.”
ทุกคนต่างก็ยกมือคล้ายคารวะ แต่กับกล่าวล้อเลียนไม่หยุดหย่อน.
ที่จริงแม้นว่าพวกเขาจะใจกล้าเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าก่อเรื่องในเมืองชิงหยางอย่างเปิดเผย ต้องไม่ลืมว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ในการดูแลของเจ้าเมือง มีกฎเกณฑ์ห้ามอย่างเข้มงวด.
จุนซ่างเซียวที่ยังคงสุขุม “ทุกท่าน มาล้อมรอบอยู่ด้านหน้าซุ้มของข้า ต้องการที่จะเป็นศิษย์อย่างงั้นรึ?”
“พรึด ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ศิษย์สำนักพยัคฆ์คำรามคนหนึ่งที่หัวเราะ “สำนักที่ไม่มีเจ้าสำนักหวัง ต้องการรับศิษย์ เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะจริง ๆ!”
“อย่าพูดอย่างนั้น.”
จวีซีสำนักดาบใหญ่ที่พูดคล้ายกำลังกลั้นขำ “บางทีอาจจะมีคนตาบอด หลงมาเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งก็ได้.”
เหล่าศิษย์ของสำนักพยัคฆ์คำรามที่จ้องมองกันและกัน ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มเหยียดหยัน “งั้นที่มาตั้งซุ้มตรงนี้ กลัวว่าเหล่าผู้เยาว์ตาบอดจะมองไม่เห็นสินะ!”
จากนั้น เสียงหัวเราะเยาะก็ดังก้องในหมู่คนมุง.
ชื่อเสียงของสำนักไท่กู่เจิ้งนั้น นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับเจ้าสำนักหวัง ได้กลายเป็นเรื่องขำขันของคนทั่วเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีใครเข้าร่วมสำนัก หากไม่ใช่คนตาบอด.
“เฮ้อ.”จุนซ่างเซียวที่ได้แต่ถอนหายใจ.
เหล่าคนมุงก่อนหน้านี้ต่างก็แยกย้ายกันไป.
ลู่เชียนเชียนที่กล่าวเสียงต่ำ “เจ้าสำนัก ให้ข้าช่วยตัดลิ้นพวกมันออกมาดีหรือไม่?”
จุนซ่างเซียวที่ดูคล้ายกำลังดีขึ้น ได้ยินคำพูดของนาง แทบล้มฟุบลงอีกครั้ง.
......
เพราะว่าที่นี่อยู่ในเขตเมืองชิงหยาง สำนักระดับแปดทั้งสองจึงไม่กล้าที่จะมาก่อเรื่องกับสำนักไท่กู่เจิ้งอย่างเปิดเผย ดังนั้นจึงได้แต่กล่าวด่าว่าล้อเลียน ทำให้เหล่าคนที่ผ่านไปผ่านมา ต่างก็เผยท่าทางดูแคลนเหยียดหยันพวกเขาไปด้วย.
ผู้คนมากมายที่กำลังด่า ว่ากล่าวไม่หยุด มีบางคนที่กำลังจะแวะเวียนเข้ามาเหมือนกัน ทว่าเมื่อได้ยินคำดูแคลนดูถูกสำนักไท่กู่เจิ้ง ก็หยุด จากนั้นก็พูดคุยว่ากล่าวดูถูกดูแคลนตามคนอื่นไปด้วย.
จุนซ่างเซียวที่ดูคล้ายกับว่าเคยชินไปแล้ว เขานั่งนิ่งบนโต๊ะรับสมัครราวกับว่าไม่ได้ยินอะไร.
“เจ้าสำนัก.”ลู่เชียนเชียนกล่าว “หัวใจของท่านก้าวไปถึงระดับตายด้านแล้วจริง ๆ.”
จุนซ่างเซียวเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล “ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก หากมัวแต่สนใจคำพูดคนอื่น คิดถึงเรื่องของคนอื่น เอาคำพูดคนอื่นมาใส่ใจ แล้วจะมีความสุขในชีวิตได้อย่างไร.”
ลู่เชียนเชียนที่รู้สึกราวกับว่ามีเหตุผล ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า “งานรับศิษย์ร้อยสำนัก คิดว่าจะสามารถรับศิษย์ได้อย่างงั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวที่เผยยิ้มด้วยความมั่นใจ “ต้องได้อย่างแน่นอน.”
“วึ่ง! วี่ๆ”
เพราะว่าซุ้มรับสมัคร นั้นอยู่ใกล้ ๆ กัน ทำให้คนของสำนักดาบใหญ่และสำนักพยัคฆ์คำรามได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกัน แต่ละคนต่างก็แค่นเสียงดูแคลนออกมาแทบจะในทันทีเช่นกัน.
เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้ง มีพลังฝึกตนที่ต่ำเตี้ย อายุน้อยไม่ต่างกับเด็กหนุ่ม ไม่คิดเลยว่าจะเอ่ยกล่าวคำพูดไร้สาระเช่นนี้ออกมา.
“จวีซีซุน.”
ศิษย์ของสำนักพยัคฆ์คำรามคนหนึ่งที่ก้าวเดินไปยังสำนักดาบใหญ่พร้อมกับเอ่ยกล่าวออกมาว่า “เพื่อเป็นการฆ่าเวลา พวกเรามาพนันกันดีไหม?”
“หืม?” จวีซีสำนักดาบใหญ่ที่เผยยิ้ม “พนันอะไรล่ะ?”
ศิษย์สำนักพยัคฆ์คำรามที่จ้องมองอย่างดูแคลนไปยังซุ้มสำนักไท่กู่เจิ้ง “พวกเรามาเดิมพันกัน ว่าเมื่องานรับศิษย์ร้อยสำนักเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ จะมีคนเข้าไปสอบถามข้อมูลสำนักขยะนั่นใหม.”
สำนักขยะ แน่นอนว่า ย่อมหมายถึงสำนักไท่กู่เจิ้งนั่นเอง.
“น่าสนใจ.” จวีซีสำนักดาบใหญ่เผยยิ้มออกมา “ไม่มีปัญหาจะเดิมพันอย่างไร.”
ศิษย์สำนักพยัคฆ์คำรามเอ่ยกล่าวเสียงดัง “ข้าต้องการเดิมพันว่าเมื่อเปิดงาน จะไม่มีแม้แต่คนเดียวมาสอบถาม ด้วยเงินครึ่งเหรียญ!”
จวีซีสำนักดาบใหญ่ที่เผยยิ้ม “ในงานรับศิษย์ร้อยสำนักจะดีจะร้าย ถึงจะเป็นสำนักขยะ ก็ควรจะมีคนตาบอดมาสอบถาม ข้าจะเดิมพันกับเจ้าก็ได้ว่าอาจจะมีสักคนเข้าไปถาม ด้วยเงินครึ่งเหรียญ!”
เงินครึ่งเหรียญเป็นการเดิมพันที่ไม่ได้มากมายแม้แต่น้อย.
แต่เป้าหมายของทั้งสองคนในการเดิมพัน หลัก ๆ คือการล้อเลียนสำนักไท่กู่เจิ้งนั่นเอง.
จะโทษใครไม่ได้.
ใครใช้ให้จุนซ่างเซียวกล้ามาตั้งสำนักอยู่ระหว่างสำนักขั้นแปดทั้งสอง หาญกล้าทำเช่นนี้ จะต้องได้รับการลงโทษอย่างสาสม.
ระหว่างรอ ผู้คนมากมายที่ได้ยินเรื่องการเดิมพันของสำนักดาบใหญ่และพยัคฆ์คำราม เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็พูดคุยกันไปต่าง ๆ นานา.
“สถานการณ์สำนักไท่กู่เจิ้ง เพียงวันแรกก็คงเจ็บแล้ว คงไม่มีใครเข้าไปสอบถามอะไรอย่างแน่นอน.”
“เพียงแค่อยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยความดุร้าย เหล่าผู้เยาว์หนุ่มสาวต่างก็อยากแข็งแกร่ง จะมีใครเข้าร่วมสำนักขยะกัน.”
“พูดไปก็แปลกนะ ดูเด็กผู้หญิงคนนั่นสิ ยืนอยู่ในซุ่มสำนักไท่กู่เจิ้งด้วย หรือว่าจะเป็นศิษย์อย่างงั้นรึ?”
“สำนักขยะเช่นนี้ กับสามารถรับศิษย์ที่งดงามขนาดนี้ได้เลยอย่างงั้นรึ?”
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์อีกหลายคนที่พูดคุยกัน พร้อมกับจับจ้องมองไปยังลู่เชียนเชียน.
จะให้พูดล่ะก็.
เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีสตรีที่งดงามอยู่ในซุ้มโกโรโกโสได้.
“เชียนเชียน.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย.“มานี่ นวดไหล่ให้กับเปิ่นจั้วหน่อย.”
ลู่เชียนเชียนที่ขมวดคิ้วไปมาเล็กน้อย.
จุนซ่างเซียวที่กล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “มีคนมากมายมองอยู่ ทำให้ข้าดูเหมือนเจ้าสำนักหน่อย.”
“......”
ลู่เชียนเชียนที่ก้าวมาด้านหลัง พร้อมกับยกมือขึ้นเบา ๆ จากนั้นก็ ปัง ปัง ปัง ปัง เป็นจังหวะ.
ไร้ซึ่งความนุ่มนวล เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไหล่แทบพัง แม้นว่าจุนซ่างเซียวจะเจ็บปวด พร้อมจะทรุดลงทุกเมื่อ ทว่าต่อหน้าทุกคนก็ต้องเก็บรักษาอาการ เผยสีหน้ามีความสุขออกมา.
“เฮ้ย ได้ไง!”
“เป็นศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งจริง ๆ!”
“ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน อ๊ากๆ!”
เมื่อเห็นลู่เชียนเชียนทุบไหล่ให้กับจุนซ่างเซียว เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ไม่เพียงแต่ประหลาดใจ แต่เต็มไปด้วยความริษยา.
......
สามวันหลังจากนั้น.
งานรับศิษย์ร้อยสำนักอย่างเป็นทางการก็ได้เริ่มขึ้น.
จุนซ่างเซียวที่นั่งไหล่ห่ออยู่บนเก้าอี้ รอคอยเหล่าผู้เยาว์เข้ามาสอบถามเกี่ยวกับสำนัก.
ลู่เชียนเชียนยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยออกมาว่า “เจ้าสำนัก ต้องการให้ข้าทุบไหล่ให้กับท่านหรือไม่?”
“ไม่!”
จุนซ่างเซียวเร่งรีบเอ่ยกล่าวออกมาทันควัน “ข้ายังต้องการมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อย!”
เพราะว่าการรับสมัครศิษย์เข้าสำนักได้เริ่มขึ้นแล้ว ทำให้สำนักต่าง ๆ เวลานี้ไม่ว่าง ไม่มีใครใสสนใจ กล่าวเย้ยหยันสำนักไท่กู่เจิ้งอีกต่อไป.
ตลอดหลายวันที่รออยู่นั้น จุนซ่างเซียวได้รู้ข่าวมากมายจากหลากหลายปากของคนสำนักต่าง ๆ ยกตัวอย่าง กลุ่มคนที่น่าสนใจ คนที่มีพรสวรรค์ ความต้องการของพวกเขา.
แม้นว่าเหล่าผู้เยาว์สามารถที่จะเลือกสำนักได้อย่างอิสระ ทว่าสำนักที่พวกเขาเลือกต้องเหมาะสมกับพรสวรรค์ของพวกเขาด้วย.
ยกตัวอย่างสำนักระดับแปดที่มีชื่อเสียงมากกว่า เป็นที่สนใจต่อผู้เยาว์มากกว่า มีความน่าเชื่อถือมากกว่า แต่บางคนก็ยังเลือกสำนักระดับเก้า นั่นก็เพราะพรสวรรค์ของพวกเขาเหมาะสมที่จะเลือกนั่นเอง.
“มีคนที่ได้รับความนิยมในการรับศิษย์ร้อยสำนักในครั้งนี้ เหล่าสำนักต่าง ๆ ได้ให้ความสนใจคือ ทายาทสายตรงของตระกูลหลี่ของเมืองชิงหยาง เขามีนามว่า หลี่ชิงหยาง.”
“ได้ยินมาว่าเขาอายุ 15 ปี มีการยืนยันแล้วว่าเขามีรากวิญญาณระดับสูง เป็นคนที่มีพรสวรรค์ไม่ได้เจอกันง่าย ๆ หากได้เขาเป็นศิษย์ จะต้องช่วยได้เป็นอย่างมาก สร้างชื่อเสียงให้กับสำนัก อย่างไม่ต้องสงสัย.”
จุนซ่างเซียวที่ครุ่นคิด ดูเหมือนว่าเขาจะโพลงออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้พื้นที่รอบ ๆ กลายเป็นเงียบงันไปในทันที เหล่าศิษย์สำนักระดับแปดที่ขนาบข้างจ้องมองเขาด้วยความตื่นตกใจ.
“พรึด ฮ่า ฮ่า อ่า ฮ่า!”
“หลี่ชิงหยาง สุดยอดพรสวรรค์ของเมืองชิงหยางที่ร้อยปีจะมีสักคน หลาย ๆสำนักต่างก็ต้องการ คน ๆนี้กำลังคิดอะไร ถึงกับบอกจะรับเขาเข้าสำนัก สมองมันมีปัญหารึอย่างไร ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“เป็นคนไม่รู้เหนือรู้ใต้จริง ๆ ฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยที่ดังลั่นขึ้นรอบ ๆ.
จุนซ่างเซียวถึงกับพูดไม่ออก เพียงแค่กล่าวออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ก็ทำให้กลายเป็นตัวตลก ให้ทุกคนหัวเราะเยาะเขาได้แล้ว.
“เจ้าสำนัก.” ลู่เชียนเชียนที่กล่าวเสียงต่ำ “ไม่ได้ฝันไปใช่ใหม?”
คำพูดที่เหมือนใบมีดกรีดเข้าไปในหัวใจ จุนซ่างเซียวแทบทรุด ฟุบลงไปกับเก้าอี้ เอ่ยกล่าวในใจ “เห็นข้าเป็นเจ้าสำนักบ้าง!”