ตอนที่แล้วChapter 70 อัจฉริยะก็คืออัจฉริยะในที่สุด.
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 72 แผลเก่าของเป่ยเจี้ยน

Chapter 71 เวทย์เปลี่ยนรูป กล้องส่องทางไกลแปดเท่า.


เซียวจุ้ยจื่อชนะ ก็ก้าวไปยังพื้นที่ผู้ชนะ รอคอยการต่อสู้รอบสี่ ซึ่งคนที่จะเข้ารอบ รอบที่สี่มีทั้งหมด 64 คน.

เหล่าคนที่เข้ารอบแล้ว เวลานี้กำลังพักอยู่ ซึ่งการต่อสู้รอบถัดไปกำลังจะเริ่มขึ้นเร็ว ๆ นี้.

การต่อสู้รอบที่สี่ที่เริ่มขึ้น ทว่าความแข็งแกร่งของคนที่เข้ารอบมาส่วนมากจะอยู่ในระดับเปิดชีพจรระดับสิบสองขึ้นไป ทำให้การต่อสู้รุนแรงขึ้นไปอีก.

ทว่ากับมีเพียง สำนักไท่กู่เจิ้งเท่านั้นที่ขึ้นเวทีแล้ว การต่อสู้แทบจะจบลงในทันที เพราะว่าพวกเขาเกือบทุกคนจบการต่อสู้ในเวลาอันรวดเร็ว.

ถึงแม้นว่าจะมีเซียวจุ้ยจื่อ ที่ใช้พลังจากกายเนื้อ รับการโจมตีของคู่ต่อสู้อย่างไรซึ่งรอยขีดข่วน ที่ดูเหมือนว่าการต่อสู้ค่อนข้างรุนแรง แต่ท้ายที่สุดก็สามารถทุ่มอีกฝ่ายลงเวทีได้สำเร็จ.

การต่อสู้เช่นนี้เป็นการต่อสู้ที่ป่าเถื่อนไร้ซึ่งความงดงามเป็นอย่างมาก!

“เฮ้ย!”

ซูเซียวโม่ที่กล่าวออกมาด้วยความตกใจ “กายเนื้อของศิษย์น้องแข็งแกร่งขนาดนี้เลยรึ?”

หลี่ชิงหยางที่กล่าวอย่างจริงจัง “ศิษย์น้องใช้เครื่องปั้นกล้ามเนื้อวันละสิบชั่วยามทุกวัน ย่อมเหนือกว่าพวกเราเป็นธรรมดา.”

กับกายเนื้อที่แข็งแกร่งของเซียวจุ้ยจื่อ ต้องยกผลประโยชน์ให้ห้องปั้นกล้ามเนื้อครึ่งหนึ่ง ทว่าอีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นเพราะเม็ดยาบูรณะร่างกายระดับต้นที่เขากินเข้าไปต่างหาก.

ในเวลานี้ ทุกเซลล์อณูกล้ามเหนือของเขานั้นทรงพลังแข็งแกร่งเกินบรรยาย.

ในเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงสิบวัน จุนซ่างเซียวที่สร้างอสูรที่มีกายเนื้อแข็งแกร่งออกมา ไม่เพียงการป้องกันที่ไม่ธรรมดา ยังมีพลังโจมตีที่หนักหน่วงรุนแรงอีกด้วย.

นี่คือชัยชนะของการฝึกฝน นี่คือศิษย์ของเขา.

ไร้ซึ่งพลังวิญญาณ? ไร้ซึ่งรากวิญญาณ?

แต่ขออภัย เพียงแค่กำปั้นลุ่น ๆ ก็เอาชีวิตเจ้า เพียงแค่กำลังจากร่างกายก็สามารถหยุดลมหายใจของเจ้าได้.

“ติ๊ง!”

“ศิษย์ทั้งห้าเข้ารอบสี่แล้ว ภารกิจมหากาพน์สำเร็จ 30% โฮสน์ได้รับ 20 แต้มสนับสนุน.”

“ติ๊ง!”

“คะแนนสนับสนุน : 102 / 500.”

เขาที่จ้องมองไปยังคะแนนสนับสนุนที่เวลานี้มันมีเกินร้อยแต้มแล้ว ทำให้ใบหน้าของจุนซ่างเซียวนั้นเต็มไปด้วยความดีใจ.

“หากข้ารีเฟรชร้านค้าตอนนี้ จะได้สินค้าที่ยอดเยี่ยมรึเปล่านะ?”

“ติ๊ง!”

“คะแนนสำนับสนุนสำนัก: 92 / 500.”

จุนซ่างเซียวที่รีเฟรชแล้วเริ่มเปิดค้นหารายการ ร้านค้ามือใหม่ในทันที ซึ่งมีสินค้าใหม่ปรากฏขึ้น.

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสินค้ารายการแรกปากของเขาถึงกับกระตุก เวทย์เปลี่ยนรูป กล้องขยายแปดเท่า “นี่มันกล่องส่องทางไกลติดปืน อ๊าก!”

จุนซ่างเซียวที่คลิกดูรายระเอียดทันที-สินค้า : เวทย์เปลี่ยนรูป กล้องส่องทางไกลขยายแปดเท่า.

แนะนำ :ใช่ส่องมองพื้นที่ไกลออกไป ช่วยขยายการมองเห็น ทำให้สามารถมองเห็นเป้าหมายที่ไกลออกไปได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับติดตั้งกับปืนยิงระยะไกล.

ผล : ใช้ติดตั้งบนปืนยาว(ไรเฟิล) หลังจากเปิดใช้งาน สามารถล็อกเป้าอัตโนมัติภายในระยะการยิง.

ประสิทธิภาพ : ถาวร.

ข้อเสีย : ระบบล๊อกเป้ายิงหลังจากยิงไปแล้ว มีระยะพร้อมใช้งาน 1 ชั่วโมง(คูลดาวน์)

ราคา : 20 แต้มสนับสนุน.

เห็นข้อแนะนำการใช้ จุนซ่างเซียวถึงกับพูดไม่ออก “ล๊อกเป้าหมายอัตโนมัติ นี่มันเป็นอาวุธที่โคตรโกงเลยไม่ใช่รึ?”

ระบบกล่าว “โฮสน์มาจากต่างโลก มีระบบสนับสนุน นี่ก็เท่ากับการโกงตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว.”

หากจะกล่าวเช่นนี้....

ใช่ ถูกต้อง ดังที่เจ้ากล่าว.

จุนซ่างเซียวเอ่ย “แล้วอย่างไร ไม่แนะนำให้ข้าซื้อรึ?”

ระบบกล่าว “กล่องส่องทางไกลแปดเท่า นั้น จะช่วยเพิ่มความสามารถให้กับปืนไรเฟิล การจะรีเฟรซให้ได้ปืนไรเฟิลนั้นมีโอกาสต่ำมาก ๆ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้โฮสน์ซื้อสิ่งดังกล่าว.”

“เจ้าไม่คิดว่าข้าจะโชคดีบ้างรึ?”จุนซ่างเซียวกล่าว.

เขายังคงกวาดตามองสินค้าชิ้นอื่น ๆต่อไป ทว่าผลสุดท้ายแล้วเป็นอะไรที่น่าเศร้ามาก สินค้าที่ปรากฏขึ้นมาใหม่นั้นไม่มีประโยชน์กับเขาเลย.

เอาล่ะ.

เผื่อว่าจะโชคดี....

ในเมื่อไม่มีอะไรทีเป็นประโยชน์ จุนซ่างเซียวก็กดรีเฟรซอีกครั้งทันที หากแต่กับไม่สามารถกดได้.

ระบบกล่าว “การจะรีเฟรซร้านค้านั้น โฮสน์จำเป็นต้องซื้อสินค้าก่อนหนึ่งอย่าง ถึงจะสามารถรีเฟรซได้.”

“โอ้ย ๆ !”

จุนซ่างเซียวรู้สึกอารมณ์พุ่งขึ้นมาในทันที “เหล่าจื่อใช้สิบแต้มสนับสนุน ไม่มีประโยชน์เลย แล้วยังบังคับให้ซื้อของหนึ่งอย่างก่อนรีเฟรซอีก มันจะมากเกินไปแล้ว!”

กับสินค้ามากมายที่ไร้ประโยชน์ ยังจะให้เขาซื้ออีก แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไรกัน?

“งั้น ก็ซื้อกล้องส่องทางไกลแปดเท่าไปเลย หากว่ามีโชค อาจจะรีเฟรซได้ปืนไรเฟิลก็ได้.”

“ปืนเล็กยาว(สไนเปอไรเฟิล)ในร้านสินค้ามือใหม่นั้น มีโอกาสรีเฟรซได้ 1% ขอให้โฮสน์พิจารณาให้ดี.”

“แล้วปืนยาว(ไรเฟิล)ประเภทอื่น ๆล่ะ?”

“5%”

“แล้วกล้องส่องทางไกลแปดเท่านี้ล่ะ?”

“0.1..%”

จุนซ่างเซียวดวงตาเบิกกว้าง กล่าวออกมาว่า “โอกาสกล้องส่องทางไกลต่ำยิ่งกว่าปืนเล็กยาวซะอีก แน่นอนว่าจะต้องซื้อ!”

เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ซื้อทันที.

“ติ๊ง!”

“โฮสน์ใช้ 20 แต้ม ได้รับเวทย์เปลี่ยนรูป กล้องส่องทางไกลแปดเท่า 1 ถูกส่งไปยังแหวนมิติแล้ว.”

“ติ๊ง!”

“คะแนนสนับสนุนสำนัก: 82 / 500.”

เจตจำนงของจุนซ่างเซียวที่ถูกส่งออกไป นำมันออกมาด้านนอก ตรวจสอบกล้องส่องทางไกลแปดเท่า แม้นว่าจะไม่ต้องติดกับปืนไรเฟิล แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้ เขาที่ใช้มันส่องไปยังพื้นที่ไกลออกไป สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน.

เพราะว่าต้องติดกับปืนยาว จึงไม่สามารถใช้ฟังก์ชันพิเศษของมันได้ แต่การใช้ส่องดูพื้นที่ไกลออกได้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว.

อาวุโสสำนักต้าหงที่ลอบมองมา กล่าวออกมาด้วยความสงสัย “เจ้าสำนักจุน ในมือของเจ้า มันคืออะไรอย่างงั้นรึ?”

“ของเล่น.”จุนซ่างเซียวที่ตอบรับอย่างไร้อารมณ์.

ขณะกล่าวเขาที่ลอบคิดในใจ “ที่เขาถาม ให้ข้าตอบเพื่อต้องการให้ข้าได้รับความอับอายสินะ.”

“การต่อสู้รอบที่สี่ คู่ที่หนึ่ง ลู่เชียนเชียน ปะทะ ซีหงเหล่ย!”

บนเวทีการต่อสู้ กรรมการที่เริ่มประกาศ การต่อสู้รอบที่สี่คู่แรก จุนซ่างเซียวที่จ้องมองไปยังลู่เชียนเชียนด้วยกล้องส่องทางไกล ไปยังเวทีการแข่งขัน.

ภายใต้การมองอย่างใกล้ชิด เขาที่มองเห็นใบหน้าที่งดงามสมบูรณ์แบบของนาง แทบจะอดถอนหายใจไม่ได้ ”สตรีผู้มีความงามเหลือล้ำ ความงามไร้ที่เปรียบ บุรุษทรงปัญญาสร้างชาติ สตรีมากสามารถล่มเมือง.

ชม้ายคราแรกล่มเมือง ชายตาอีกคราล่มชาติ กับฮ่องเฮาองค์แรกของราชวงศ์หาน หลี่เหยี่ยนเหนียง ความงามที่เป็นเอกนั่นสามารถนำมาพรรณนาความงามของลู่เชียนเชียนได้เลย.”

“เริ่มได้!”กรรมการประกาศ.

ซีหงเหล่ยรับรู้ว่าลู่เชียนเชียนมีพลังวิญญาณที่ลึกล้ำ ดังนั้นจึงขยับซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว....หากแต่กับไร้ซึ่งประโยชน์ เพราะว่าถึงจะขยับไปมาอย่างไร เขากับสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณที่ราวกับน้ำทะเลซัดสาดผลักเขากระเด็นออกไปแทบจะในทันที.

“ศิษย์ยุทธ์!”

“สตรีผู้นี้จะต้องมีระดับศิษย์ยุทธ์อย่างแน่นอน!”

การเห็นผู้ฝึกยุทธ์เปิดชีพจรระดับสิบสอง ถูกผลักลงเวทีด้วยพลังวิญญาณ ทุกคนต่างก็คาดเดาว่าพลังฝึกตนของลู่เชียนเชียนจะต้องอยู่ในระดับศิษย์ยุทธ์อย่างไม่ต้องสงสัย.

จุนซ่างเซียวที่จับจ้องมองนางด้วยกล้องสองทางไกลแปดเท่า ลอบกล่าวออกมาในใจ “นี่นางก้าวไปถึงระดับศิษย์ยุทธ์ได้แล้วอย่างงั้นรึ?”

ไม่ ไม่ควรจะมีระดับศิษย์ยุทธ์.

ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น.

ดูเหมือนว่านางจะมีวิชาบ่มเพาะของตัวเองอีก ไม่ใช่แค่วิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นเท่านั้น.

วันนั้น เมื่อครั้งที่ล้อมสังหารหมาป่าเพลิงปฐพี กลิ่นอายของนาง ดูไม่ได้ต่างจากหลี่ชิงหยางมากนัก.

อีกอย่างตลอดหลายวันมานี้ ลู่เชียนเชียนที่เข้าร่วมฝึกฝนโหมดปิศาจ นางไม่ได้เพิ่มความแข่งแกร่งของร่างกายเลย มีเพียงฝึกฝนพลังวิญญาณ แต่กับมีพลังที่เหนือกว่าระดับเปิดชีพจรขั้นที่สิบสองซะอีก!

“เจ้าสำนักจุน.”

อาวุโสสำนักต้าหงที่ส่ายหน้าไปมา เผยยิ้มออกมาว่า “เจ้าช่างมีศิษย์ที่น่าเกรงขามจริง ๆ ซ่อนเอาไว้ได้ดีมาก เท่าที่ข้าดู โซนการต่อสู้ที่สาม ที่หนึ่งคงไม่มีใครขวางได้แล้ว.”

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดต่างก็เห็นด้วย สามรอบของลู่เชียนเชียนเอาชนะด้วยพลังวิญญาณที่เหนือล้ำกว่าคู่ต่อสู้ได้อย่างสิ้นเชิง!

จุนซ่างเซียวเอ่ย “โซนการต่อสู้ที่สามไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ยังไงก็ได้ที่หนึ่งอยู่แล้ว.”

อาวุโสสำนักต้าหงที่ส่ายหน้าไปมา จดจ้องมองไปยังโซนต่อสู้ที่สอง จ้องมองไปยังชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีเทา เอ่ยออกมาว่า “เขามีนามว่า จางเหลิงเหอ เป็นศิษย์ของสำนักระดับหก ความแข็งแกร่งระดับศิษย์ยุทธ์ น่าจะเป็นคนที่ได้ที่หนึ่งในโซนนั่น.”

“โอ้ว?”

จุนซ่างเซียวที่ยกกล้องส่องทางไกลแปดเท่า มองออกไป พบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่มุมปากยกขึ้นมาเล็กน้อย เต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยอง.

“อยู่ในโซนเดียวกันกับเสี่ยวโม่ ตามผังแล้วน่าจะพบกับเสี่ยวโม่ในคู่สุดท้าย”

อาวุโสต้าหงที่ชี้ไปยังเซียวหลินเย่โซนการต่อสู้ที่สี่และเอ่ยออกมาว่า “นั่นเป็นศิษย์ของสำนักหยินกู่สำนักระดับหก เป็นตัวเก็งที่จะได้ชัยในโซนนั้น.”

“สัด.”

จุนซ่างเซียวพบว่า ทายาทตระกูลเซียวนั่นอยู่ในโซนการต่อสู้ที่สี่.

ในเวลานั้น บนโซนที่สี่มีแปดคนที่เหลืออยู่ จากแผนผังแล้วเขาจะต้องพบกับเซียวจุ้ยจื่อในในรอบรองโซนสี่ เพื่อที่จะหาผู้เข้าชิงในโซนนี้.

เพ่ย! อยู่ในโซนเดียวกัน มันจะบังเอิญไปไหม.....

“รอบที่สี่คู่ต่อสู้ที่หก เป่ยเจี้ยน ปะทะ เซียวจุ้ยจื่อ!”

จุนซ่างเซียวที่ดวงตาเบิกกว้าง นี่คือคนที่พบกันที่โรงเตี้ยมก่อนหน้านี้ ทายาทตระกูลเป่ยที่พูดจาไร้สาระหาเรื่องเซียวจุ้ยจื่อก่อนหน้า กำลังขึ้นเวที.

มารดาเถอะ.

ไปรวมอะไรอยู่ในโซนที่สี่กันหมด!

เห็นความบังเอิญที่เกิดขึ้น ถึงกับต้องถอนหายใจ ดูเหมือนว่าเซียวจุ้ยจื่อจะพบกับความกดดันที่ไม่ธรรมดาซะแล้ว.

“งามล่มเมือง”

หากให้กล่าวถึงคงไม่พ้นสี่สุดยอดหญิงงามของจีนไปอย่างเเน่นอน ซึ่งแต่ละคนต่างมีความงามถึงขั้นล่มบ้านล่มเมืองกันเกือบทั้งสิ้น อันที่จริงในประวัติศาสตร์จีนยังมีหญิงงามอีกหลายคนทีเดียวที่มีตำนานเกี่ยวพันกับการล่มสลายของบ้านเมืองอยู่ ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงจีนงามนักหรืออย่างไร ถึงเป็นสาเหตุให้แต่ละราชวงศ์ล่มสลายกันเป็นว่าเล่น (บ้านเรามีตำนานเมืองล่มเพราะกินปลาไหลเผือก อ่อ แต่อันนั้นก็เป็นคนละเรื่องกัน) ทว่า สาวงามที่เป็นต้นเค้าของสำนวน “งามล่มเมือง” จริงๆ นั้น มีอยู่สองคน คือ เปาซื่อ กับหลี่ฟูเหริน

ลำดับแรก ขอเล่าเรื่องของเปาซื่อก่อน เปาซื่อเป็นคนในยุคราชวงศ์โจวตะวันตก เมื่อ 779 ปีก่อนคริสตกาล ชาวแคว้นเปา แคว้นนี้มีธรรมเนียมเรียกผู้หญิงโดยให้เรียกชื่อแคว้นก่อน ตามด้วยแซ่ตระกูล ดังนั้น คำว่า เปาซื่อ จึงบอกให้รู้ว่า นางเป็นคนแคว้นเปา เกิดในตระกูลซื่อ ช่วงนั้นแคว้นโจวปกครองโดยฮ่องเต้โจวอิวหวาง เมื่อตอนที่พระองค์ทรงสั่งให้ยกทัพไปปราบแคว้นเปาจนแตก ก็รับนางเปาซื่อเข้ามาเป็นพระสนมในครั้งนั้น เปาซื่อมีหน้าตาที่สวยสดงดงามจนฮ่องเต้ทรงรักใคร่อย่างยิ่ง ถึงขั้นปลดฮองเฮากับรัชทายาทออกจากตำแหน่ง แล้วยกเปาซื่อกับลูกชายขึ้นดำรงตำแหน่งแทน แต่เปาซื่อมีจุดที่น่าเสียดายอยู่อย่างเดียว คือนางไม่เคยมีรอยยิ้มเลย ฮ่องเต้ทรงคิดหาหนทางมากมายทำให้นางยิ้มแต่ไม่เคยสำเร็จ สุดท้ายทรงนึกแผนการออกมาได้อย่างหนึ่ง คือรับสั่งให้จุดไฟพร้อมตีกลองส่งสัญญาณว่ามีข้าศึกบุกประชิด ทั้งแม่ทัพนายกองและอ๋องทั้งหลายตามชายแดนเห็นสัญญาณก็รีบระดมทัพมาเมืองหลวงทันที เพื่อจะรู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด เปาซื่อพอเห็นแม่ทัพแต่ละคนหน้าเหวอไปตามๆ กันก็หัวเราะออกมา ฮ่องเต้เมื่อทรงเห็นดังนั้นก็พอพระทัยมาก คราวหลังเลยแกล้งจุดไฟตีกลองส่งสัญญาณอีกหลายครั้ง (นี่มันเด็กเลี้ยงแกะภาคภาษาจีนชัดๆ) กระทั่งท้ายที่สุดแคว้นเซินยกทัพมาตีเมืองจริงๆ (เจ้าแคว้นเซินก็คือพระราชบิดาของฮองเฮาองค์ก่อน จะเรียกว่าพ่อตาแก้แค้นแทนลูกสาวก็คงได้) คราวนี้ไม่ว่าจะจุดไฟกับตีกลองอย่างไร ก็ไม่มีทัพไหนยกมาช่วยแล้ว เมืองจึงถูกตีแตก ฮ่องเต้โจวอิวหวางถูกปลงพระชนม์ ราชวงศ์โจวตะวันตกจึงถึงคราวสูญสลาย ส่วนเปาซื่อเองก็หายสาบสูญไป (หลังจากนี้รัชทายาทองค์เดิมก็ได้ย้ายไปตั้งเมืองหลวงใหม่ทางตะวันออก พร้อมสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้นมาอีกครั้ง เรียกว่าราชวงศ์โจวตะวันออก) ตำนานเรื่องนี้ได้รับการบันทึกไว้ในพงศาวดารจีนหลายเล่ม รวมถึง “สื่อจี้” ผลงานบันทึกประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของจีนที่รวบรวมและเรียบเรียงโดยซือหม่า เชียน แต่ล่าสุดเมื่อปี ค.ศ. 2012 มหาวิทยาลัยชิงหวาแห่งปักกิ่งได้ชำระหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ถูกค้นพบล่าสุดออกมา พบว่าไม่มีบันทึกเรื่องฮ่องเต้โจวอิวหวางแกล้งจุดไฟสัญญาณ หลักฐานบันทึกแค่ว่าโจวอิวหวางทรงมีรับสั่งยกทัพไปตีแคว้นเซินก่อน แต่แคว้นเซินได้รวบรวมพันธมิตรตีกลับจนราชวงศ์โจวตะวันตกพ่ายแพ้ และเห็นว่าเรื่องราวของเปาซื่อน่าจะเป็นเพียงนิทานชาวบ้านเท่านั้น ถึงแม้เรื่องจริงจะเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบได้ แต่ชื่อและเรื่องราวของนางที่ได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเล่าขานสืบต่อกันมาเกือบสามพันปีนั้นก็เป็นเรื่องจริง ดังที่จะกล่าวต่อไป

ที่เรามักได้ยินกันว่า งามล่มเมืองเอย งามล่มชาติเอย หรืองามล่มบ้านล่มเมืองทั้งหลายนั้น มาจากสำนวนจีนคือ “倾国倾城”( qīng guó qīng chéng)  หรือ “倾城倾国”ก็มี แปลตรงตัวว่า “ล่มชาติล่มเมือง” ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกใน “ซือจิง” (诗经) ซึ่งเป็นหนังสือรวมบทกวีเล่มแรกของประวัติศาสตร์จีน เมื่อศตวรรษที่ 11 – 6 ปีก่อนคริสตกาล “ซือจิง” รวบรวมบทกวีโบราณระหว่างสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกตอนต้นจนถึงสมัยชุนชิวตอนกลาง ก็คือช่วงเวลาเดียวกันกับเรื่องของเปาซื่อนั่นเอง  บทกวีใน “ซือจิง” แบ่งเป็นสามส่วนคือ เฟิง หย่า และซ่ง ในส่วนของ “หย่า” (雅) ที่เป็นบทกวีประกอบดนตรีเพื่อใช้ขับร้องนั้น ยังแบ่งย่อยออกเป็นสองส่วน ได้แก่ “ต้าหย่า” (大雅)กับ “เสี่ยวหย่า” (小雅)บทกวีที่รวบรวมไว้ในหมวดนี้ส่วนใหญ่เขียนขึ้นในช่วงสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกทั้งสิ้น เพียงแต่ “ต้าหย่า” เน้นไปที่ช่วงต้นของราชวงศ์ ส่วน “เสี่ยวหย่า” เขียนขึ้นในช่วงปลายของราชวงศ์เสียส่วนใหญ่ ที่บอกว่ามีเรื่องราวของเปาซื่อปรากฏอยู่ในนี้นั้น มีอยู่สองบท คือ บทที่ชื่อว่า “จานอั๋ง” (瞻卬) ที่แปลว่า เฝ้ามอง อยู่ในส่วนของ “ต้าหย่า” กวีนิพนธ์บทนี้ความยาว 7 บท 62 วรรค วรรคละสี่คำ บรรยายถึงความคับแค้นต่อการปกครองที่กดขี่ข่มเหง ชาวบ้านลำบากยากเข็ญ ฮ่องเต้ลุ่มหลงในอิสตรี ซึ่งมีการตีความกันว่าฮ่องเต้ในกวีนิพนธ์บทนี้ก็คือ โจวอิวหวาง และสตรีผู้นั้นก็คือเปาซื่อ  และก็มีอยู่วรรคหนึ่งเขียนไว้ว่า “哲夫成城,哲妇倾城。” หมายถึง “บุรุษทรงปัญญาสร้างชาติ สตรีมากสามารถล่มเมือง” นี่คือคำว่า “ล่มเมือง” ที่นับว่าปรากฏเป็นหลักฐานในยุคแรกสุด ขณะเดียวกันในส่วนของ “เสี่ยวหย่า” ก็มีกวีนิพนธ์บทหนึ่งที่ระบายความคับแค้นใจของผู้แต่งต่อบ้านเมืองในลักษณะคล้ายๆ กัน ชื่อว่า “เจิงเยว่” (正月) แปลว่า เดือนอ้าย ยาว 13 บท 94 วรรค วรรคละสี่คำ ในนั้นมีวรรคหนึ่งว่า “赫赫宗周,褒姒烕之。”  แปลได้ว่า “ราชวงศ์โจวอันเกรียงไกร ล่มสลายด้วยเปาซื่อ” ให้สังเกตคำว่า “倾城” ที่ปรากฏในช่วงนั้นหมายถึงบ้านเมืองล่มจมจริงๆ ไม่ได้มีความหมายแฝงในเชิงการชมความงามใดๆ

อีกประมาณ 850 ปีต่อมา คำว่า “倾国倾城” (ล่มชาติล่มเมือง) ก็ปรากฏขึ้นในพงศาวดารจีนอีกครั้งหนึ่ง ในหนังสือ “ฮั่นซู” (汉书) ซึ่งเป็นบันทึกรวมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกทั้งหมด เรียบเรียงโดยปัน กู้ และปัน เจา น้องสาว (หนังสือเล่มนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นพงศาวดารเฉพาะสมัยเล่มแรกของจีนอีกด้วย) ในนั้นมีหมวดหนึ่งชื่อว่า “ไว่ชีจ้วน” (外戚传)เป็นหมวดเรื่องราวพระประยูรญาติสายนอกของฮ่องเต้ ได้แก่ ราชตระกูลทางไทเฮาหรือฮองเฮา และมีอยู่บทหนึ่งที่รวบรวมเรื่องราวของฮองเฮาและมเหสีที่มีบทบาทสำคัญ 25 คนในสมัยนั้น หนึ่งในนั้นคือ หลี่ฟูเหริน มเหสีเอกของฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้

หลี่ฟูเหริน มีช่วงชีวิตอยู่ในรัชสมัยฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้ ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ฟูเหรินเป็นชื่อตำแหน่งมเหสีในสมัยนั้น ฐานะเป็นรองจากฮองเฮา ชื่อเดิมของนางคือหลี่ซื่อ หมายถึงเป็นหญิงสาวจากตระกูลหลี่ (ผู้หญิงจีนโบราณระบุตัวตนจากแซ่ของพ่อกับแซ่ของสามีเท่านั้นจริงๆ)  ครั้งหนึ่งในสมัย 111 ปีก่อนคริสตกาล ขณะนั้นฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้ทรงครองราชย์มาแล้ว 29 ปี หลี่ เหยียนเหนียนได้โอกาสเข้าเฝ้าฯ เพื่อแสดงดนตรีหน้าที่นั่ง เขาได้ร้องเพลงขึ้นมาบทหนึ่งว่า “北方有佳人,绝世而独立,一顾倾人城,再顾倾人国。宁不知倾城与倾国,佳人难再得!” แปลแบบถอดความคือ “ทางเหนือมียอดหญิงงาม ทั่วแผ่นดินมีเพียงหนึ่งเดียว ชม้ายคราแรกล่มเมือง ชายตาอีกคราล่มชาติ  หาได้รู้ล่มชาติล่มเมืองไม่ เพียงเพราะหญิงงามนั้นยากพานพบอีก” ฮ่องเต้ทรงสงสัยว่ามีหญิงงามแบบนี้อยู่ในโลกจริงหรือ กระทั่งทอดพระเนตรเห็นน้องสาวของหลี่ เหยียนเหนียน ถึงทรงรู้ว่าหญิงงามนางนี้มีอยู่จริง พระองค์ทรงพอพระทัยอย่างมากและรับตัวเข้าวัง แต่งตั้งให้เป็นฟูเหริน ได้ชื่อว่าเป็นมเหสีที่ทรงรักใคร่เอ็นดูมากที่สุดในรัชสมัยของพระองค์ แต่เสียดายที่หลี่ฟูเหรินมีชีวิตต่อมาเพียงแค่ประมาณ 10 ปีก็สิ้นพระชนม์ พระองค์ได้รับการจัดพิธีศพในรูปแบบพระราชพิธีสำหรับฮองเฮา และได้รับสถาปนาเป็นฮองเฮาในรัชสมัยถัดมา นับเป็นฮองเฮาองค์แรกในประวัติศาสตร์จีนที่ได้รับการสถาปนาหลังจากสิ้นพระชนม์ไปแล้ว

นับจากนั้น สำนวน “倾国倾城” (ล่มชาติล่มเมือง) ก็แพร่กระจายไปในหมู่กวีจีน เพื่อใช้เปรียบเปรยถึงความงามของหญิงสาว โดยเฉพาะในยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ซึ่งเป็นยุคที่กวีนิพนธ์เฟื่องฟูขั้นสุด เป็นยุคสมัยที่มีกวีคนสำคัญปรากฏมากที่สุด ทั้งเรื่องราวของเปาซื่อ หลี่ฟูเหริน กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กวีนำมาแต่งเป็นบทกวีรำพันชีวิตที่ราวกับโศกนาฏกรรม เช่น หู เจิง แต่งกลอนเล่าเรื่องราวของเปาซื่อ และ ไป๋ จวีอี้ แต่งกลอนเพื่อเล่าเรื่องของหลี่ฟูเหริน ส่วนคำว่า “倾国”(ล่มชาติ) หรือ “倾城”(ล่มเมือง) ก็ปรากฏกระจัดกระจายอยู่ในบทกวีต่างๆ เพื่อสื่อเป็นนัยถึงความพิลาสของเหล่าหญิงงาม เช่น วรรคหนึ่งในบทกวีชื่อ “เฟยเอี้ยนเพียน”(飞燕篇) (บทเฟยเอี้ยน) ของหวาง ฮั่น มีว่า“明月薄蚀阳精昏,娇妒倾城惑至尊。”(จันทราบังแสงสุริยัน งามซึ้งล่มเมืองยั่วราชันต์) เป็นบทกวีที่เล่าเรื่องของเจ้า เฟยเอี้ยน ฮองเฮาในฮ่องเต้ฮั่นเฉิงตี้ วรรคแรกในบทกวีชื่อ “ฉางเฮิ่นเกอ” (长恨歌) (เพลงแค้นนิรันดร์) ของ ไป๋ จวีอี้ มีว่า “汉皇重色思倾国,御宇多年求不得。” (กษัตริย์ฮั่นใฝ่ฝันงามล่มชาติ ครองราชย์นานปียังไม่พบ) ก็คือเรื่องราวของหยางกุ้ยเฟยในฮ่องเต้ถังเสวียนจง โดยใช้คำว่ากษัตริย์ฮั่นมายั่วล้อถึงฮ่องเต้ถังเสวียนจง ส่วนคำว่า  “งามล่มชาติ”  ในที่นี้ก็เป็นคำอุปมาหมายถึงสาวงาม  หรือวรรคหนึ่งใน “กู่เฟิง” (古风) (ลำนำโบราณ) ของหลี่ ไป๋ ก็มีว่า “眉目艳皎月,一笑倾城欢。” (ขนงเนตรงามดั่งจันทร์ แย้มยิ้มหนึ่งเย้าล่มเมือง) วรรคนี้มีคนตีความต่างกันออกไป บ้างก็ว่ามาจากตำนานรอยยิ้มล่มเมืองของเปาซื่อ บ้างก็ว่าไม่ใช่แต่มาจากบทเพลงของหลี่ เหยียนเหนียนที่ว่า “一顾倾人城,再顾倾人国。” (ชม้ายคราแรกล่มเมือง ชายตาอีกคราล่มชาติ) ต่างหาก โดยแผลงคำว่า“顾” (ชายตา) เป็น “笑” (รอยยิ้ม)

ถึงแม้สำนวน “倾国倾城” (ล่มชาติล่มเมือง) จะนำมาใช้สื่อในความหมายว่างามหยาดเยิ้ม แต่ก็แฝงด้วยท่าทีดูหมิ่นอยู่ในที ด้วยความงามของสตรีที่มากเกินไปก็มักนำหายนะมาให้ แต่ปัจจุบันสำนวนนี้ ไม่ได้มีน้ำเสียงในทางลบแบบนั้นอีกแล้ว กลายเป็นว่าออกจะยกย่องเชิดชูด้วยซ้ำ คำว่า “倾”(qīng)  ที่เคยมีความหมายว่า 倾倒 (qīng dǎo) พังลง หรือ倾覆 (qīng fù) ล้มคว่ำลง กลายมามีความหมายว่า 倾心 (qīng xīn)  ผูกใจรัก และ 倾慕 (qīng mù) ชื่นชมศรัทธา ไปแทน เมื่อปี ค.ศ. 2009 กู้ม่าน นักเขียนนิยายชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ออกผลงานแนวรักโรแมนติกชื่อว่า《微微一笑很倾城》ซึ่งชื่อนิยายก็คือการเล่นคำล้อกับสำนวน “一笑倾城”(หนึ่งยิ้มล่มเมือง) เพื่อสื่อถึงความสวยของนางเอกในเรื่องที่ชื่อว่า เวยเวย นั่นเอง นิยายเรื่องนี้เอามาสร้างเป็นละครโทรทัศน์กับภาพยนตร์เมื่อปีที่แล้วพร้อมกันในชื่อเดียวกัน โด่งดังข้ามฟากมาถึงแฟนนิยายและซีรีส์จีนในไทยอยู่พอสมควร นิยายฉบับแปลภาษาไทยให้ชื่อว่า “เวยเวย…ยิ้มนิดพิชิตใจ” ส่วนฉบับละครและภาพยนตร์มีชื่อแบบไม่เป็นทางการว่า “เวยเวย เธอยิ้มโลกละลาย” ไม่รู้ว่าผู้อ่านถูกใจชื่อไหนมากกว่ากัน

สุดท้าย ถ้าจะให้สรุปว่าใครสมควรเป็นเจ้าของสำนวน “งามล่มเมือง” ระหว่างเปาซื่อกับหลี่ฟูเหรินสองนางนี้ ถึงแม้หลี่ฟูเหรินจะได้รับการยกย่องว่า “งามล่มเมือง” ก็จริง แต่ถ้าดูจากยุคสมัย เปาซื่อมีตำนานร่วมสมัยกับหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่ครั้งราชวงศ์โจวตะวันตก อีกทั้งเรื่องราวชีวิตก็สอดคล้องกับความหมายดั้งเดิมของสำนวน เพราะฉะนั้นหากต้องเลือก ผู้เขียนก็คงต้องยกให้เปาซื่อเป็นเจ้าของสำนวน “งามล่มเมือง” อย่างแท้จริง...

จบ...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  คุณบุษรา เรืองไทย

เเละเว็บ https://www.siamreview.com

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด