ตอนที่แล้วChapter 6 ยอมรับกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 8 ถูกดูหมิ่นจากทุกสำนัก

Chapter 7 ขวางหูขวางตาก็ไสหัวไปซะ


“เจ้าไม่เคยได้ยินข่าวรึไง? เจ้าสำนักไปเที่ยวหอนางโลม ถูกเจ้าหน้าที่ทางการจับขังคุก จากนั้นก็พยายามแหกคุกจนถูกตัดหัว เหตุเกิดเมื่อครั้งการชุมนุมรับศิษย์ร้อยสำนักครั้งที่แล้วนี่เอง!”

“ไม่ได้ยินเลย แล้วยังเหลือเจ้าสำนักอีกรึ?”

“สมองมีปัญหารึไง ไม่ได้ยินหรือไง เขาบอกว่าเป็น เจ้าสำนักรุ่นสอง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีพลังบ่มเพราะเพียงเปิดชีพจรขั้นสาม.”

“เปิดชีพจร ดูเหมือนว่ารุ่นสองจะไม่ได้รับสมบัติตกทอดจากเจ้าสำนักรุ่นแรก เพียงแค่เปิดชีพจรขั้นที่สาม ไม่คิดเลยว่าจะหาญกล้าเปิดสำนักต่ออีก?”

จุนซ่างเซียวที่ยืนเด่นอยู่ด้านหน้าประตูเมือง โดยไม่สนสายตาและคำพูดของคนรอบ ๆ เลยแม้แต่น้อย.

แน่นอน คำพูดของคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยการดูแคลนและเสียงหัวเราะ.

เจ้าสำนักของสำนักไท่กู่เจิ้งคนก่อน ดูเหมือนว่าจะมีชื่อเสียงเล็กน้อย กลายเป็นคนที่ถูกพูดถึงในร้านน้ำชาและสถานที่ชุมนุมต่าง ๆ เป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าเป็นการพูดถึงในอีกด้านเป็นชื่อเสียงด้านลบอย่างไม่ต้องสงสัย.

จุนซ่างเซียว เดินไปตามถนนของเมืองชิงหยาง มีคนมากมายที่พูดคุยนินทาต่อหน้าเขา เหยียดหยันตัวเขาไม่หยุด ทำให้จุนซ่างเซียวรู้สึกเศร้าขึ้นมาเช่นกัน.

แม้นว่าเขาจะเป็นเจ้าสำนัก ทว่ากับถูกปฏิบัติไม่ต่างกับเศษขยะที่เหม็นโฉ่ว ผู้คนต่างดูแคลนและเหยียดหยันแสดงท่าทางรังเกียจต่อเขาไม่หยุด.

ไม่ได้การ ไม่ได้การแล้ว.

กับชื่อเสียงเหม็นโฉ่วเช่นนี้ การจะเฟ้นหาเหล่าผู้มีพรสวรรค์เข้าสำนักแทบเป็นไปไม่ได้ เส้นทางสร้างสำนักของเขาเต็มไปด้วยขวากหนามจริง ๆ.

แม้นว่าเขาจะมีระบบช่วย ทว่าเขาก็ถูกผูกมัดด้วยระเบิดเวลา กับเส้นตายที่ถูกกำหนดไว้แล้ว เป็นอะไรที่น่าอนาถ หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ เส้นทางที่รออยู่ มีแต่ความตายเท่านั้น.

ลู่เชียนเชียนที่เอ่ยด้านข้าง “เจ้าสำนัก ท่านยังต้องการเข้าร่วมรับศิษย์ร้อยสำนักต่อไปอีกหรือไม่?”

สตรีผู้นี้.

ไม่คิดที่จะปลอบใจเยียวยาจิตใจของเปิ่นจั้วเลยอย่างงั้นรึ?

“ฟู่!”

จุนซ่างเซียวที่ถอนหายใจยาว กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “วางใจได้ เปิ่นจั้วต่อให้คลื่นใหญ่ลมแรง ก็หาได้ยอมแพ้ง่าย ๆ.”

“คลื่นใหญ่ลมแรงอย่างงั้นรึ?”

ลู่เชียนเชียนที่เบ้ปากกล่าวออกมาเบา ๆ “ดูเหมือนว่าตั้งแต่เด็กจนโต จะไม่เคยแม้แต่ออกมาจากหมู่บ้านชิงหยางเลยสินะ.”

ฮึ ฮึ ฮึ.

เหล่าจื่อมีความเป็นตายรออยู่ เพียงแค่คลื่นใหญ่ลมแรงมีอะไรต้องกลัวกัน?

จุนซ่างเซียวที่ไม่สนใจคำติฉินนินทา ที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ เดินหน้ามุ่งตรงไปยังทิศตะวันตกของเมือง เพื่อไปยังสถานที่ชุมนุมร้อยสำนัก.

ตลอดเส้นทาง.

มีผู้คนมากมายที่กล่าวดูถูกตามหลังไม่หยุด.

คำดูแคลนล้อเลียนหาได้มีผลใด ๆ จุนซ่างเซียวยังคงเชิดหน้า ก้าวไปบนเส้นทางอย่างภาคภูมิ.

ก้าวเดินราวกับว่าเป็นวีรบุรุษที่ได้รับความดีความชอบ.

สำหรับผู้มาจากต่างโลก เขาย่อมมีใบหน้าที่หนากว่าคนปรกติ.

หากเป็นจุนซ่างเซียวคนก่อน หรือคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง กับคำพูดถากถาง ดูถูกดูแคลนเหล่านี้ คงกลายเป็นบ้าหรือพ่นโลหิตออกมาแล้ว.

ลู่เชียนเชียนที่ก้าวตามห่าง ๆ จ้องมองด้านหลังเจ้าสำนักที่ดูสุขุมต่อหน้าผู้คนมากมาย กำลังล้อเลียนถากถางไม่หยุด พร้อมกับคิดอยู่ในใจ “ยังทนได้อีกรึ?”

คาดไม่ถึงเลยว่าจะยังทนได้.

เพราะนางคิดว่าจุนซ่างเซียว สามารถใช้กำลัง เพื่อปิดปากหลายคนให้ปิดปากได้.

ฝากไว้ก่อน!

ต้องมีสักวัน ข้าจะให้พวกเจ้าพูดถึงสำนักไท่กู่เจิ้ง ด้วยสายตาเคารพเทิดทูนอย่างสมบูรณ์!

ด้วยภารกิจหลักที่ระบบมอบให้ หากมัวแต่รับฟังสนใจคำพูดเยาะเย้ยถากถางเช่นนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร!

เรื่องในอดีตเขาต้องปล่อยมันผ่านไป ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มต้น ยังมีเรื่องที่หนักหนายิ่งกว่านี้รออยู่.

......

เมืองชิงหยางนั้นมีขนาดใหญ่มาก.

เพียงแค่พื้นที่ทิศตะวันตก สถานที่ใช้เป็นพื้นที่ชุมนุมรับศิษย์ก็มีสำนักนับร้อยมารวมกัน ย่อมกว้างขวางไม่ธรรมดาอยู่แล้ว.

จุนซ่างเซียนที่นำลู่เชียนเชียนก้าวเดินไปยังพื้นที่ดังกล่าว เขากวาดสายตาจับจ้องมองไปยังพื้นที่โล่งมีซุ้มชั่วคราวของสำนักยุทธ์มากมายมาตั้งเอาไว้ และที่ด้านหน้าก็มีป้ายสำนักแขวนอยู่.

สำนักดาบใหญ่!

กลุ่มมังกรทอง!

ป้อมปราการจิงหยิงซาน!

สำนักมังกรคำราม......

ป้ายสำนักที่ดูระยิบระยับเด่นสะดุดตา เพียงแค่มองก็ทำให้ตาพล่ามัวแล้ว.

มีบางซุ้มมีผู้เยาว์ชายหญิง ที่มาพร้อมกับพ่อแม่ ญาติหรือเพื่อน เขาไปสอบถามรายระเอียดสำนักไม่หยุดหย่อน.

รายระเอียดคร่าว ๆ-

สำนักเป็นอย่างไร?

มีสมาชิกเท่าไหร่?

มีวิชาบ่มเพราะระดับใหน?

พลังบ่มเพาะถือเป็นส่วนสำคัญ ที่จะเป็นการกำหนดอนาคตว่า จะทำให้พวกเขาก้าวไปถึงระดับไหนนั่นเอง.

จากการเฝ้ามองและสังเกตเหตุการณ์ จุนซ่างเซียวถึงกับส่ายหน้า ลอบคิดในใจ “งานชุมนุมรับศิษย์ร้อยสำนัก? ดูไม่ต่างจากนิทรรศการหางานเลย!”

“เจ้าสำนัก.”

ลู่เชียนเชียนที่กล่าวเสียงเบา “พวกเราจะต้องหาพื้นที่วาง ตั้งซุ้ม และโต๊ะรับสมัคร เพื่อให้คนเข้ามาสอบถาม.”

ในเมื่อมาแล้ว ยังไงก็ต้องไปให้ถึงที่สุด.

จุนซ่างเซียวกวาดตามองรอบ ๆ ก่อนที่จะชี้ไปยังพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง “ที่นั่นไม่เลว.”

ลู่เชียนเชียนที่มองตาม คิ้วของนางที่ขมวดเล็กน้อย “ด้านซ้ายเป็นสำนักดาบใหญ่กองกำลังระดับแปด ด้านขวาเป็นสำนักพยัคฆ์คำรามกองกำลังระดับแปดเช่นกัน ท่านคิดที่จะตั้งตรงกลางขวางทางหน้าซุ้มพวกเขาเลยรึ?”

จุนซ่างเซียวกล่าวตอบ “สองสำนัก ในเมื่อเป็นกองกำลังลำดับแปด พวกเขาย่อมสร้างความสนใจต่อสายตาผู้คนมากมาย การที่พวกเราไปอยู่ตรงกลางย่อมมีคนจับจ้องมองด้วยเช่นกัน.”

ลู่เชียนเชียนที่ครุ่นคิดเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวออกมาว่า “มีเหตุผล.”

“ไป.”

จุนซ่างเซียว “ตั้งซุ่มที่ด้านหน้านี้ล่ะ.”

จุนซ่างเซียวนำลู่เชียนเชียน ไปยังที่ว่างที่ประกบด้วยกองกำลังระดับแปดสองสำนัก ก่อนที่จะนำผ้ากระโจม ออกมาสร้างเป็นซุ้มขนาดเล็กขึ้น.

งานชุมนุมรับศิษย์ร้อยสำนักนั้นเกิดขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นวันฝนตกแดดออก ไม่มีการเลื่อน ทำให้กระโจมของหลายสำนักนั้นหรูหราคงทนไม่ธรรมดา.

ยกตัวอย่างกระโจมของสำนักดาบยักษ์ด้านซ้ายและกระโจมของสำนักพยัคฆ์คำรามด้านขวา.

สองสำนักนับว่ามีความแข็งแกร่งอยู่เล็กน้อย ซุ้มของพวกเขา ต้องบอกว่าหรูหราใหญ่โต จนแทบจะบอกว่าฟุ่มเฟือยเกินจริงไปแล้ว.

สำนักไท่กู่เจิ้งที่นำซุ้มแบบหยาบ ๆ ไปตั้งระหว่างกลางยิ่งเกิดการเปรียบเทียบ ทำให้ซุ้มของจุนซ่างเซียวกากขยะอย่างรุนแรง.

อย่างไรก็ตาม.

นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ.

ซุ่มของสองสำนักที่หรูหรา เมื่อมีซุ่มกาก ๆ เหมือนรังนกปรากฏขึ้นตรงกลาง ย่อมทำให้ง่าย กลายเป็นจุดสนใจมากขึ้นทันที.

เป็นการอาศัยสำนักอื่นสร้างความสนใจขึ้นมานั่นเอง.

กล่าวได้ว่าจุนซ่างเซียวใช้การเกาะคนอื่นเพื่อสร้างความสนใจก็คงไม่ผิดนัก.

หลังจากนั้นไม่นานคนของสำนักดาบใหญ่พูดคุยกันเสร็จ ขณะออกมาจากกระโจมถึงกับต้องอุทานเสียงดัง “เป็นสำนักใหนกันที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาตั้งซุ้มขวางทางสำนักดาบใหญ่ของข้ากัน?”

คนของสำนักพยัคฆ์คำรามเองก็เห็นแล้วเช่นกัน.

ศิษย์คนหนึ่งของสำนักที่สบถเสียงดัง “มารดามันเถอะ กล้ามาตั้งซุ้มขวางหน้าทางเข้าสำนักพยัคฆ์คำราม หาญกล้าเกินไป ไปกินดีหมีมาจากใหนกัน?”

ประจวบเหมาะกับ จุนซ่างเซียวที่นำป้ายสำนักออกมาแขวน.

หลังจากที่พวกเขามองเห็นป้าย “สำนักไท่กู่เจิ้ง” ใบหน้าของทั้งสองสำนักถึงกับเผยท่าทางเหยียดหยันดูแคลนขึ้นมาทันที.

“เพ่ย.”

ศิษย์ของสำนักพยัคฆ์คำรามถึงกับคำรามลั่น “เป็นสำนักที่เจ้าสำนักไปเที่ยวหอนางโลมแล้วถูกจับนี่เอง กล้ามากที่มาตั้งซุ้มหน้าสำนักพยัคฆ์คำรามของข้า หน้าด้านไร้ยางอาย!”

“ถุยยยย!”

จวีซีสำนักดาบใหญ่ได้ชี้นิ้วไปยังจุนซ่างเซียว กล่าวออกมาด้วยความเดือดดาล “ที่นี่คือเขตแดนของสำนักดาบใหญ่ รีบเก็บซุ้มกาก ๆ แล้วไสหัวไปให้พ้นซะ.”

(執事 Zhíshì  ความหมายคือ หัวหน้าผู้รับผิดชอบ)

ทั้งสองสำนักไม่เห็นสำนักไท่กู่เจิ้งอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ต้องไม่ลืมว่ากองกำลังระดับเก้าและแปดนั้น มีความต่างชั้นกันอยู่ไม่น้อย.

ลู่เชียนเชียนที่เอ่ยกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล “สถานที่งานรับศิษย์ร้อยสำนัก ถูกจัดโดยเจ้าเมืองชิงหยาง กลายเป็นเขตแดนของสำนักเล็ก ๆ ระดับแปดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

จุนซ่างเซียวถึงกับพูดไม่ออก.

สำนักระดับแปดขนาดเล็ก ลิ้นของนางช่างรุนแรงยิ่งนัก.

ส่วนเขาที่เป็นสำนักระดับเก้า นี่ไม่กลายเป็นขยะหรอกรึ? นี่มันเป็นการตีวัวกระทบคราด ด่าเขาไปด้วยหรือไม่?!

ได้ยินว่า สำนักเล็ก ๆ ระดับแปด คำพูดดังกล่าวทำให้จวีซีสำนักดาบใหญ่โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที หากแต่ไม่มีคำพูดอะไรจะโต้เถียง.

ไม่ผิด.

ตำแหน่งสถานที่แห่งนี้ถูกจัดเตรียมโดยเจ้าเมืองชิงหยาง.

พวกเขาเป็นเพียงสำนักระดับแปด แม้แต่สำนักระดับเจ็ดก็ยังไม่กล้า เอ่ยว่าเป็นพื้นที่ของตัวเอง.

ศิษย์สำนักพยัคฆ์คำรามเวลานี้โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เพราะคำพูดของลู่เชียนเชียน ที่เอ่ยกล่าวว่าสำนักลำดับแปดเล็ก ๆ นั่นได้หมายรวมถึงสำนักพวกเขาด้วยนั่นเอง.

จุนซ่างเซียวที่ก้าวเดินออกมาและเอ่ยกล่าวออกไปว่า “งานรับศิษย์ร้อยสำนักกำลังเริ่มขึ้นแล้ว ข้าเองก็เป็นหนึ่งในร้อยสำนัก ควรถือว่าเป็นสหายของทุกท่าน ไม่เห็นจำเป็นต้องโกรธเกรี้ยวขนาดนั้นเลย.”

“หากเจ้าสำนักหวังยังอยู่ พวกข้า ก็อาจจะให้เกียรติในฐานะหนึ่งในร้อยสำนัก แต่ว่า....เวลานี้พวกเจ้าถึงกับกล้าดูแคลนจวีซีสำนักดาบใหญ่ มันเป็นคนละเรื่องกัน!”

“ใช่แล้ว.”

ศิษย์สำนักพยัคฆ์คำรามคนหนึ่งที่เอ่ยกล่าวเสียงดัง “ศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งได้จัดงานเลี้ยงส่ง สลายสำนักกันไปแล้ว สำนักของพวกเจ้าเองก็ล่มสลายหายไปแล้ว คิดจะมาเล่นสนุกอะไรในเมืองชิงหยางกัน.”

จุนซ่างเซียวที่ใบหน้าเปลี่ยนสีไปเหมือนกัน การถูกดูแคลนจากคนทั่วไปตลอดเส้นทาง เขาสามารถทนได้ ต้องไม่ลืมว่ามันเป็นเรื่องปรกติของโลก ทว่าเขาไม่สามารถทนได้กับการที่สองสำนักรุมด่าว่า ไม่มีสำนักของเขาเวลานี้ได้อีก.

“ทั้งสอง.”

เขาที่สีจมูกไปมา ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เปิ่นจั้วต้องการที่จะตั้งซุ้มที่นี่ในวันนี้ หากทุกคนเห็นแล้วไม่สบายใจ ขวางหูขวางตา สามารถเก็บซุ้มของตัวเองแล้วไสหัวไปซะ.”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด