Chapter 66 ถางเกอก็คือถางเกอของเจ้าตลอดกาล
เพราะว่าเซียวจุ้ยจื่อเป็นคนในเมืองนี้ จึงทำให้ง่ายที่จะถูกดูแคลนเหยียดหยัน จุนซ่างเซียวหลังจากพาพวกเขาออกมาจากโรงเตี้ยมก็หาที่พักผ่อน.
ลู่เชียนเชียนและหลี่ชิงหยางไม่ออกจากห้องเลย พวกเขาที่บ่มเพาะในห้องต่อ ปรับสภาพร่างกาย ให้พร้อมในการเข้าร่วมงานประลองวันพรุ่งนี้.
ส่วนจุนซ่างเซียวนั้นได้ออกไปแก้เบื่อ ไปยังตลาดสมุนไพรเพื่อหาซื้อวัตถุดิบปรุงยา ท้ายที่สุดก็สามารถปรุงเม็ดยาฟื้นฟูได้อีกสองสามเม็ด ส่วนเม็ดยาอื่นนั้นไม่สามารถรวบรวมได้เลย.
“เฮ้อ.”
“การจะปรุงยาเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนว่าจะยากสักเล็กน้อย.”
เขาที่หวังว่าจะสามารถปรุงยาเม็ดยารวมวิญญาณ เม็ดยาบูรณะร่างกายและเม็ดยาผสานวิญญาณ ยาเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่สำคัญในการบ่มเพาะ สำหรับศิษย์ของเขาหรือแม้แต่ตัวเขาเองด้วย.
“คนนั้นเขาคือ เจ้าสำนักไท่กู่เจิ่ง!”
“ยังหนุ่มอยู่เลย น่าเสียดายที่สมองมีปัญหา คิดได้ไงนำศิษย์มาเข้าร่วมประลองยุทธ์สำนัก.”
“ก็มาเป็นตัวประกอบไง มีอะไรผิดปรกติกัน.”
“งานนี้มีศิษย์สำนักต่าง ๆ มากมายเข้าร่วม พลังบ่มเพาะขั้นต่ำก็สูงกว่าเปิดชีพจรขั้นที่สิบแล้ว สำนักระดับเก้า เกรงว่าคงตกรอบตั้งแต่แรกเห็น ๆ”
ไม่เพียงแค่กล่าวดูแคลนเซียวจุ้ยจื่อเท่านั้น เหล่าผู้ฝึกยุทธ์และคนจรต่างก็กล่าวหยันเขาไม่หยุดหย่อน ทำให้จุนซ่างเซียวรู้สึกเศร้าใจไม่น้อย.
ขยะ สำนักระดับเก้า ไม่ว่าจะไปซอยใหนถนนเส้นใหน สายตาของทุกคนราวกับรุมทึ้งเขาด้วยความรังเกียจ เป็นอะไรที่แปลกประหลาดจริง ๆ.
จุนซ่างเซียวหาได้สนใจแต่อย่างใด หลังจากเสร็จธุระที่เขาต้องการ เขาก็กลับที่พัก จวบจนถึงวันประลองเช้าวันถัดมา เขาก็นำศิษย์ทั้งห้าออกไป.
ในเวลานี้ ยังเช้าดวงตะวันยังไม่ทอแสงด้วยซ้ำ หากแต่บนถนนนั้นกับเต็มไปด้วยผู้คน.
งานประลองยุทธ์สำนักนั้น เป็นงานใหญ่ของมนทลชิงหยางที่จัดขึ้นทุกสองปี มีผู้ฝึกยุทธ์จากภายนอกเดินทางมาก่อน 3-5 วันแล้ว.
“คนของสำนักไท่กู่เจิ้งออกมาแล้ว!”
“วึ้ง วิ้ง ดวงตะวันยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ ดูเหมือนจะอดรนทนไม่ได้ ที่จะได้เข้าร่วมงานประลองยุทธ์ ทำราวกับว่าตัวเองมีหวัง.”
“ดูนั่นเซียวจุ้ยจื่อไม่มีพลังวิญญาณเลย นี่เขายังคิดจะเข้าร่วมประลองยุทธ์อีกรึ? อยากโดนทุบขนาดนั้นรึอย่างไรกัน.”
“ดูผู้หญิงคนนั้น ราวกับว่าไม่มีพลังวิญญาณเลย นี่คิดจะส่งศิษย์เช่นนี้เข้าไปต่อสู้รึ? นี่คือว่าการประลองเป็นการเล่นปาหี่ รึอย่างไร?”
“สำนักระดับเก้า ดูเหมือนว่าจะมีเพียงหลี่ชิงหยางที่พอมีความสามารถ แต่ศิษย์คนอื่น ๆ ยังคิดเพ้อฝัน คาดหวังอยู่อีกรึ?”
เสียงที่กระซิบกระซาบแม้แต่นินทาต่อหน้าต่อตา จุนซ่างเซียวที่เมิน ทำทีเป็นไม่ได้ยิน ก้าวนำศิษย์ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังสถานที่แข่งขัน.
ภายนอกของทุกคนที่ดูสุขุมเป็นอย่างมาก หากแต่ในใจที่ร้อนรุ่มโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรง แม้แต่ต้องการระบายกับคู่แข่งขันที่ต้องพบเจอเพื่อตบปากคนเหล่านั้น.
หลี่ชิงหยาง ซูเซียวโม่และ เถียนซี ที่เก็บความโกรธเอาไว้ มันถูกสะสมเอาไว้มากขึ้นและก็มากขึ้น เตรียมที่จะนำไปปลดปล่อยในการประลอง.
......
เมืองทิศใต้ เป็นสถานที่จัดการแข่งขันยุทธ์สำนัก.
เมื่อครั้งที่จุนซ่างเซียวมาลงทะเบียน พื้นที่แห่งนี้ยังเป็นลานยุทธ์ที่ใหญ่โต หากแต่ตอนนี้มีการสร้างกำแพงขึ้นรอบ ๆ โค้งเป็นรูปวงกลม เป็นเหมือนสนามกีฬาขนาดใหญ่คล้ายกับสนามประลองอารีน่าชาวโรมันเป็นอย่างมาก.
บนสนามประลองนั้นมีประตูทางเข้าหลายทาง ที่เวลานี้มีเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ของสำนักต่าง ๆ มากมายมารวมตัวกัน ซึ่งด้านหน้านั้นจะมีชายวัยกลางคนที่คอยตรวจสอบแผ่นป้ายไม้ไผ่เพื่อยืนยันตัวตน.
ขณะที่จุนซ่างเซียวเดินเข้ามา สายตาที่แบ่งแยกก็เกิดขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้น “อ๋า เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งมาแล้วอย่างงั้นรึ?”
คำพูดที่คล้ายกับเป็นการทักทาย ทว่ากับเป็นการจงใจเรียกแขกจากเหล่าผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆให้หันมามอง.
เป็นความจริง.
เพียงแค่สิ้นเสียงเท่านั้น แทบจะทุกคนรอบ ๆ ทางเข้าต่างก็หันหน้ามามอง เป็นสายตาเดียวกัน.
แม้นว่าใบหน้าจะเผยรอยยิ้ม ทว่าแววตานั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยันดูแคลนจนเห็นได้ชัด.
การเข้าร่วมประลองยุทธ์สำนักครั้งนี้ แม้แต่สำนักระดับแปดยังมีไม่กี่สำนัก การที่มีสำนักระดับเก้า มาเข้าร่วม ทำให้พวกเขาแทบกลั้นขำไม่อยู่.
จุนซ่างเซียวหาได้สนใจที่จะทักคนเหล่านั้น เขานำศิษย์ตรงไปยังทางเข้า ก่อนที่จะยื่นป้ายแผ่นไม้ไผ่แสดงสถานะศิษย์ออกมา.
เหล่าสำนักระดับสูงจำนวนมากที่จ้องมองอย่างสนใจ ราวกับว่าได้พบกับตัวโง่งมที่กำลังจะได้รับความโชคร้าย.
“ศิษย์พี่ สำนักไท่กู่เจิ้งไม่ใช่สำนักระดับเก้ารึ? นี่พวกเขาคิดจะเข้าร่วมประลองยุทธ์สำนักจริง ๆ รึ?”
“คงจะมาทัศนะศึกษาละมั้ง.”
“พรึด ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าว่าแม่ง! มาหาความตายมากกว่า.”
เหล่าศิษย์สำนักอื่น ๆไม่เห็นสำนักไท่กู่เจิ้งอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย.
ไม่มีใครให้ค่ากับสำนักที่มีระดับต่ำอยู่แล้ว บางทีหากพวกเขาพบกับสำนักระดับเจ็ดคงแม้แต่คุกเข่าเลียเท้าก็เป็นได้.
หลังจากใช้แผ่นป้ายไม้ไผ่ยืนยันตัวตน จุนซ่างเซียวก็กล่าวออกมาว่า “พวกเราไป.”
เซียวจุ้ยจื่อที่ยังไม่ก้าวเข้าไป ยังคงยืนอยู่หน้าทางเข้า หมัดที่กำแน่น เล็บที่จิกเข้าไปในเนื้อ แววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว จดจ้องมองไปยังคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ที่ทางเข้า.
จุนซ่างเซียวและคนอื่น ๆ ต่างก็สังเกตเห็นได้ ขณะจ้องมองไปพร้อม ๆ กัน ก็พบผู้เยาว์ที่ผอมในชุดสีน้ำเงินยืนอยู่.
“ถางเกอจุ้ยจื่อ.”
เขาที่กล่าวทักทายออกมาก่อน ทว่ารอยยิ้มนั้นกับดูน่าเกลียดยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาทั้งสองข้างที่เผยความหยิ่งผยองออกมา.
“นั่นมันเซียวหลินเย่.”
“ผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดของตระกูลเซียว.
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ อาวุโสจากสำนักระดับหกได้รับเขาเป็นศิษย์สายตรงด้วย.”
“ดูเหมือนว่า เขาจะเข้าร่วมประลองยุทธ์สำนักในครั้งนี้ด้วย?”
ผู้คนรอบ ๆที่กล่าวซุบซิบเสียงเบา.
เซียวหลินเย่?
ที่มุมปากของจุนซ่างเซียวที่กระตุกและลอบกล่าวในใจ “หากเพิ่มอักขระ หลงอีกตัว ชื่อของหมอนี้ คงจะเป็นพระเอกในนิยายได้เลย.”
เซียวจุ้ยจื่อเอ่ย “ข้าไม่ใช่คนตระกูลเซียวอีกต่อไปแล้ว คำว่าถางเกอ มิอาจรับได้.”
เซียวหลินเย่ที่ยังคงเผยยิ้มออกมา “หากไม่เพราะถางเกอจุ้ยจื่อ ไม่สามารถเปิดชีพจรได้ ถางตี้คนนี้คงไม่สามารถเข้าร่วมสำนักหยินกู่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้น ถึงถางเกอจะถูกไล่ออกจากตระกูลไปแล้ว ถางตี้ ก็ถือว่าท่านคือถางเกอของข้าตลอดไป.”
堂弟(tángdì/ถางตี้) ลูกพี่ลูกน้อง(ที่อายุน้อยกว่าและเป็นผู้ชาย)
จุนซ่างเซียวที่ไม่เห็นความซาบซึ้งจากสายตาของเขาแม้แต่นิดเดียว หนำซ้ำยังเห็นชัดเจนว่า นี่เป็นเพียงการกล่าวเย้าแหย่ประชดประชันด้วยซ้ำ.
“เจ้าสำนัก พวกเราไปเถอะ.”เซียวจุ้ยจื่อไม่สนใจที่จะปฏิสัมพันธ์กับคนตระกูลเซียว เขาที่เดินผ่านไป.
เซียวหลิงเย่ที่ก้าวออกมาขวางทาง พร้อมกับกล่าวกระซิบไปที่หู “ถางเกอ ความจริงก็คือความจริง เจ้าคือตัวแทนที่ผิดพลาดในอดีต ส่วนข้า เซียวหลินเย่เป็นอนาคตของตระกูลเซียว.”
เซียวจุ้ยจื่อที่ก้มหน้าทันที ราวกับใบมีดที่คมกริบกำลังกรีดหัวใจของเขา.
เขาและเซียวหลินเย่.
ครั้งหนึ่งเมื่อครั้งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เขาไม่เคยลังเลที่จะใช้พลังวิญญาณช่วยอีกฝ่ายเปิดชีพจร ความสัมพันธ์ของเขาเวลานั้นเหนือกว่าคำว่าพี่น้องด้วยซ้ำ.
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รากวิญญาณของเขาถดถอย อีกฝั่งก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ แม้แต่หยิ่งผยองและดูถูกดูแคลนเขามากกว่าคนอื่น ๆ ซะอีก.
“ถางเกอ.”
เซียวหลินเย่ที่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ยังจำได้ไหมครั้งหนึ่งข้าเคยเอ่ยว่าสักวันจะเหนือกว่าเจ้า จะแข็งแกร่งกว่า ตอนนี้เป็นเช่นนั้นแล้ว.”
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
ใบหน้าของเขาที่ความสุขจนล้นออกมาจากใบหน้า รอยยิ้มที่บ้าคลั่ง ราวกับเป็นคนบ้า.
คิ้วของจุนซ่างเซียวที่ขมวดคิ้วแน่น.
เขาที่ฝึกฝนสร้างความมั่นใจให้กับศิษย์ของตัวเองอย่างยากลำบาก มารดามันเหอะ! ได้ตัวร้ายนี้กับคิดจะมาทำลายให้พังไปหมดในตอนนี้เลยรึ? อยากให้เหล่าจื่อยิงหัวมันให้ตายไปตอนนี้รึย่างไง?
ในเวลานั้น เซียวจุ้ยจื่อที่ก้มหน้าหัวเราะออกมา จนไหล่ของตัวเองสั่นไปมา.
“ถางเกอหัวเราะอะไรอย่างงั้นรึ?”เซียวหลินเย่เอ่ย.
เซียวจุ้ยจื่อที่เงยหน้าหันขวับ ใบหน้าที่เคร่งขรึมเต็มไปด้วยความปรีดี “ข้าหัวเราะให้กับตัวเอง เจ้ามันช่างอ่อนแอนัก เป็นข้าต่างหากที่ควรจะกล่าวเย้ยเหยันเจ้า.”
แววตาของเซียวหลิวเย่ที่เผยความโกรธเกรี้ยวออกมา.
เซียวจุ้ยจื่อที่ตบไปที่ไหล่เขา กล่าวออกมาด้วยความอหังการ “หลินเย่ จำเอาไว้ให้ดี ถางเกอก็คือถางเกอของเจ้าตลอดกาล ไม่มีรากวิญญาณ ไม่มีพลังบ่มเพาะ เจ้าก็ไม่สามารถเหนือกว่าข้าได้.”
กล่าวจบ เขาก็ก้าวเดินเข้าไปในลานยุทธ์ด้านในทันที.
จุนซ่างเซียวที่ก้าวไปด้านหน้าและหยุดที่ด้านหน้าเซียวหลินเย่อย่างตั้งใจ กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงได้ยินไม่ชัด ถางเกอเจ้าบอกว่า เจ้าเป็นได้แค่เงาของเขาไปตลอดชั่วชีวิต.”
“น่ารังเกียจ!”
ใบหน้าของเซียวหลินเย่ที่เคร่งขรึม ตะโกนไปยังด้านหน้า “เซียวจุ้ยจื่อ งานประลองยุทธ์สำนักในครั้งนี้ ข้าจะทำให้เจ้า ทำให้ตระกูลเซียว ทำให้ทุกคนได้รู้ ว่าเขาเซียวหลินเย่เหนือกว่าเจ้า!”
“ฝันไปเถอะ.”เสียงของเซียวจุ้ยจื่อที่ตอกกลับมาอย่างไม่แยแส.
จุนซ่างเซียวที่เผยยิ้มอย่างพอใจ.
ความกังวลของเขาก่อนหน้านี้ เซียวจุ้ยจื่อที่อาจถูกคำพูดทำลายความมั่นใจ ความจริงแล้วไม่มีผลใด ๆ กับเขาเลย.
......
ลานประลองยุทธ์ที่เหมือนกับสนามกีฬาอารีน่ายุคโรมัน รั้วรอบ ๆ ที่มีที่นั่งยกสูงเรียงเป็นขั้นบันได ล้อมรอบเวทีที่อยู่ตรงกลาง ที่นั่งรอบ ๆจากการสังเกตด้วยสายตาสามารถจุคนได้ราว ๆ สองแสนคน.
เหล่าสำนักต่าง ๆ ที่เข้ามา จะมีซุ้มเฉพาะให้ เป็นพื้นที่รอคอยสำหรับคนที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน.
หลังจากจุนซ่างเซียวนำศิษย์เข้ามาด้านใน เขาก็มายังพื้นที่รอคอย ซึ่งพื้นที่รอบ ๆ นั้นมีเหล่าศิษย์ของสำนักระดับสูงมากมายกระจายกันอยู่ คำนวณคราว ๆ มีจำนวนหลายร้อยคน.
แน่นอน.
หลังจากเข้ามาแล้ว สามารถมองเห็นเหล่าผู้เข้าแข่งขันที่มีแววตาหยิ่งยโสจดจ้องมองมาเช่นกัน.
ในพื้นที่รอของผู้เข้าร่วมการแข่งขัน มีที่นั่งสำหรับเหล่าอาวุโสสำนักที่นำศิษย์มาเข้าร่วมงานด้วย.
“เหล่าตัวตนระดับสูงของสำนักที่นำศิษย์มา โปรดแยกตัวออกมาด้านหลัง ขึ้นไปยังที่นั่งที่จัดเตรียมเอาไว้ด้วย.”ชายวัยกลางคนที่เอ่ยกล่าวออกมาเสียงดัง.
จุนซ่างเซียวจ้องมองไปยังศิษย์ทั้งห้า กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “แม้นว่าด้านนอกจะมีเสียงที่ทำให้เสียสมาธิ แต่อย่าเอามาใส่ใจ ตั้งใจทำให้ดีที่สุด อย่ายอมแพ้อะไรง่าย ๆ!”
“รับทราบ!”
หลี่ชิงหยางและคนอื่น ๆ พยักหน้ารับ.
จุนซ่างเซียวที่ก้าวออกมาจากพื้นที่ดังกล่าว และขึ้นไปยังที่นั่งที่ถูกเตรียมเอาไว้ ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน.
“เจ้าสำนักจุน.”
ขณะที่เขานั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง เขาก็พบกับอาวุโสคนหนึ่งที่ร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ ยกมือประสานกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “หากว่ารอบแรก ศิษย์ของข้าต้องพบกับศิษย์ของท่าน หากว่าพวกเขาลงมือแรงไปหน่อย ได้โปรดขออภัยแทนด้วย.”
“อืม.”
จุนซ่างเซียวที่พยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก.
ด้านซ้ายด้านขวา ล้วนแต่เป็นคนของสำนักที่มีระดับสูงกว่าเขา พวกเขากำลังพูดคุยเสียงเบา.
ราวกับว่า ในรอบแรกทุกคนต่างก็คาดหวังจะได้พบเจอศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้ง เพราะอย่างน้อยก็รับประกันได้ว่า จะได้รับชัยชนะเข้ารอบอย่างแน่นอน.
จากนั้นไม่นาน เหล่าผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักต่าง ๆ ได้จ้องมองไปยังพื้นที่เดียวกันด้วยความสนใจ ศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้ง กำลังจะขึ้นเวที เขากำลังกระโดดขึ้นไปบนเวทีประลองแล้ว.
จุนซ่างเซียวที่พิงหลังไปบนเก้าอี้ มือทั้งสองข้างที่วางบนพนักพิงอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากผู้คนรอบข้างเลย.
การแสดงที่ยอดเยี่ยม กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว......……