Chapter 65 มีคนกำลังดูแคลนศิษย์น้องของเจ้า ควรทำอย่างไร?
จุนซ่างเซียวได้พาศิษย์เดินทางไปยังเมืองลี่หยางก่อนเวลา หลังจากการผ่านฝึกฝนโหมดปิศาจ.
เป้าหมายหลัก ๆ นั้นเขาต้องการหาเวลาพักให้กับเหล่าศิษย์ ให้มีเวลาผ่อนคลาย ก่อนที่จะเข้าร่วมประลองยุทธ์สำนัก.
“เชียนเชียน.”
ระหว่างทาง จุนซ่างเซียวสอบถาม “หลายวันมานี้ เจ้าบ่มเพาะอยู่แต่ในค่ายกล ความแข็งแกร่งเป็นอย่างไรบ้าง?”
ลู่เชียนเชียนกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล “ก็ใช้ได้.”
กับคำพูดที่ไร้อารมณ์ของนาง จุนซ่างเซียวถึงกับไปไม่เป็น ก่อนที่เขาจะจดจ้องมองไปยังเซียวจุ้ยจื่อที่ก้มหน้าก้มตาตามมาโดยตลอด.
เขาคงจะคิดถึงเมืองลี่หยางแน่นอน จะเผชิญหน้ากับคนในเมืองนี้อย่างไร จะบังเอิญไปเจอกับคนตระกูลเซียวหรือไม่?.
“จุ้ยจื่อ.”
จุนซ่างเซียวขณะเดินทางได้ตบไปที่บ่าของเขาเอ่ยออกมาว่า “เป็นบุรุษ ต้องสง่าผ่าเผย เงยหน้ายืดอกอย่างอหังการ.”
“ครับ.”
เซียวจุ้ยจื่อที่พ่นลมหายใจยาว ดวงตาที่สั่นไปมา ก่อนที่จะกลายเป็นมั่นคง.
การเดินทางของพวกเขา ท้ายที่สุดก็มาถึงก่อนพลบค่ำ เวลานี้ได้มายืนอยู่ด้านหน้าประตูเมืองลี่หยางแล้ว.
ขณะที่พวกเขาหยุดก่อนเข้าเมืองนั้น ก็มีผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มหนึ่งจดจ้องมองไปยังเซียวจุ้ยจื่อในทันที.
“นั่นไม่ใช่ขยะตระกูลเซียวหรอกรึ?!”
“นี่เขา ต้องการจะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์สำนักจริง ๆรึ?!”
“ข้าคิดว่ามันเป็นเพียงข่าวลือ คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง!”
“เฮ้ เฮ้ ไม่มีรากวิญญาณ ไม่มีพลังบ่มเพาะ กับขยะเช่นนี้ยังกล้าเข้าร่วมอีก นี่เขาไม่รู้สึกอับอายขายหน้าบ้างรึ?”
ได้ยินเสียงของผู้คนกล่าวหยันนินทาต่อหน้า เซียวจุ้ยจื่อกำหมัดแน่น แต่จนแล้วจนรอด ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาลงช้า ๆ.
“เสี่ยวโม่.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
ซูเซียวโม่ตอบรับ “อยู่นี่ครับ!”
จุนซ่างเซียวที่ชี้ไปยังผู้ฝึกยุทธ์สองคนที่ว่ากล่าวนินทาเสียงดังต่อหน้า “มีบางคนกำลังทำให้ศิษย์น้องของเจ้าได้รับความอับอาย เจ้าควรทำอย่างไร?”
ซูเซียวโม่ที่เข้าใจในทันที เขาที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ร่างของเขาที่หมุนวนครึ่งก้าว เท้าที่ถีบผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสองเซถอยออกไป ก่อนจะอ้อมไปด้านหลัง ด้วยความเร็วจนผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสองไม่ทันได้ขยับด้วยซ้ำ.
“ฟิ้ว!”
จากนั้นร่างของเขาที่หมุนเป็นวง เตะ กวาดไปยังขาของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสองพร้อมกับถีบไปด้านหน้าจนทั้งสองล้มคว่ำหน้าจูบพื้นทันที.
“พรึด โครม! พรึด โครม!”
ในเวลานี้ ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสองคนที่ล้มลงกองกับพื้นพร้อม ๆ กัน.
ร่างทั้งสองที่ใบหน้าไถไปกับพื้น เสื้อผ้าหน้าผมร่างกายทั้งหมดเปียกชื้นเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก เปรอะไปหมด ดูน่าขยะแขยงเป็นอย่างมาก.
ซูเซียวโม่ที่กลับมายืนอย่างมั่นคง ปรบมือแปะ ๆ กล่าวออกมาว่า “ศิษย์น้องก็เหมือนพี่น้อง ดูแคลนเขา ก็เหมือนดูแคลนข้า.”
“ไม่เลว.”จุนซ่างเซียวพยักหน้ารับ.
หลี่ชิงหยางกล่าวเสียงเบา “เจ้าสำนัก ที่นี่เมืองชิงหยาง พวกเราไม่ควรจะสร้างความวุ่นวายตั้งแต่ต้น?”
จุนซ่างเซียวกล่าว “ไม่ได้อยู่ในเมือง ไม่ได้ผิดกฎอันใด.”
“มีเหตุผล.”หลี่ชิงหยางเอ่ย.
เขาคิดไม่ออกได้อย่างไรกัน? ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงลงมือก่อนหน้าไปแล้ว.
ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสองที่ถูกถีบไปกองบนพื้น ร่างกายที่ทั้งหน้าและหลังมีรอยเท้าปะทับเต็มไปหมด ร่างกายที่เปื้อนดิน เร่งรีบยืนขึ้น แม้นว่าจะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยกล่าวอะไรต่อไปอีก.
พวกเขาเป็นแค่ชาวเมือง ไม่มีกลุ่มอิทธิพลหนุนหลัง เพียงแค่ปากดีเลยต้องจ่ายไปด้วยราคาที่แพงไม่น้อย.
จุนซ่างเซียวจ้องมองไปยังคนทั้งสอง เอ่ยกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล “กล้าด่าว่าศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งต่อหน้าข้าเช่นนี้อีกครั้งล่ะก็ เปิ่นจั้วไม่ให้พวกเจ้าได้เห็นดวงตะวันขึ้นพรุ่งนี้แน่.”
เขาที่สะบัดแขนเสื้อ ก่อนที่จะนำศิษย์ของเขาเข้าไปในเมือง.
เซียวจุ้ยจื่อระหว่างก้าวเดินตาม หมัดที่กำแน่นของเขาที่คลายลง กล่าวออกมาว่า “เจ้าสำนัก ศิษย์พี่ ขอบคุณ.”
ซูเซียวโม่ที่ก้าวเข้ามาและตบไปที่บ่าของเขา เผยยิ้มพราย “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ากล่าวขอบคุณ ราวกับพวกเราเป็นคนนอกอย่างงั้นรึ?.”
เซียวจุ้ยจื่อเผยยิ้ม.
นับตั้งแต่รู้ว่าต้องเข้าร่วมงานประลองยุทธ์สำนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ส่องสว่างเป็นอย่างมาก.
คนของเมืองลี่หยาง จะดูแคลนเขาก็หาใช่เรื่องสำคัญ ข้ายังมีประมุข ยังมีศิษย์พี่มากมาย พวกเขาไม่เคยดูถูกข้า เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว......
ราวกับความมืดมิดที่ถูกปกคลุมเมื่ออยู่หน้าประตูเมือง ในเวลานี้เหมือนกับดวงตะวันกำลังขึ้นทางตะวันออก จิตใจที่หดหู่ เมื่อแสงอันเจิดจ้าส่องมา ก็เบาบางละลายหายไปอย่างรวดเร็ว.
......
“ท่าเท่าของผู้เยาว์คนนั้นเร็วมากจนมองตามไม่ทันเลย!”
“เมื่อกี้ เขาไม่ได้ใช้แม้แต่พลังวิญญาณ มันไม่ควรจะเร็วขนาดนี้!”
“นั่นคือศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งอย่างงั้นรึ?”
“ในความเห็นของข้า เขาควรจะเป็นศิษย์ที่มีฝีมือสูงที่สุดในสำนัก.”
“หรือว่าจะเป็นพรสวรรค์อันดับหนึ่งเมืองชิงหยางกัน?”
“ใช่ ๆ ข้าได้ยินมาว่าพรสวรรค์อันดับหนึ่งเมืองชิงหยางได้เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง หากเป็นเขาก็ดูจะสมเหตุสมผล.”
จุนซ่างเซียวที่นำศิษย์เข้าเมืองไปแล้ว ที่ด้านหน้ายังมีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนหนึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่ พวกเขาต่างก็คิดว่าซูเซียวโม่นั้นเป็นหลี่ชิงหยาง.
“พรสวรรค์อันดับหนึ่งเมืองชิงหยางอย่างงั้นรึ?”
คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินทางผ่านมา ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเทากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “หวังว่าจะได้พบกันในงานประลอง.”
ชายชราที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวออกมาว่า “ท่าเท้าของเด็กคนนั้นทรงพลังมาก ความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา หากพบกันในการประลอง เจ้าก็อย่าได้ประมาทดูแคลนศัตรูโดยเด็ดขนาด.”
“ทราบแล้ว ทราบแล้ว.”ชายหนุ่มที่กล่าวตอบรับอย่างเหนื่อยหน่าย.
“อาวุโส สำนักไท่กู่เจิ้งมีเพียงหลี่ชิงหยาง แต่กับกล้าส่งศิษย์อีกตั้งหลายคนเข้าร่วม ช่างมีความกล้าขนานใหญ่จริง ๆ.”ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวล้อ.
ชายชราที่ค่อนข้างระมัดระวังกล่าวออกมาว่า “กล้าส่งศิษย์เข้าร่วมประลองยุทธ์สำนัก ย่อมหมายถึงพวกเขามีฝีมือ ไม่ว่าจะพบใคร พวกเจ้าก็ต้องตั้งใจเต็มที่.”
“ครับ!”
ศิษย์ทั้งหมดของเขาที่กล่าวตอบรับเสียงดัง.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ คนที่พวกเขาประเมินไว้สูงนั้นคือซูเซียวโม่ ไม่ใช่สุดยอดพรสวรรค์อันดับหนึ่งเมืองชิงหยางแต่อย่างใด.
......
งานประลองยุทธ์สำนักจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ จุนซ่างเซียวที่นำศิษย์ทั้งห้าเข้าพักที่โรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง ทว่าระหว่างทางนั้น เพราะว่ามีเซียวจุ้ยจื่อเดินทางมาด้วย ทำให้สายตาทุกคนต่างก็จับจ้องมองมาไม่วางตา.
ขยะ ขอทานที่ถูกไล่ออกจากตระกูลเซียว แม้แต่บางคนที่เบ้ปากล้อเลียน แววตาของผู้ฝึกยุทธ์หลากหลายคนที่เต็มไปด้วยความรังเกียจดูแคลนอย่างรุนแรง.
“จุ้ยจื่อ.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “อย่าได้สนใจสายตาพวกเขา เพราะว่าเพียงแค่ฝูงหมามันเห่าเท่านั้น รอให้พวกมันได้เห็นพลังของเจ้า ในเวลานั้นพวกมันมีแต่จะกระดิกหางคุกเข่าเลียเท้าของเจ้า.”
เซียวจุ้ยจื่อที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าสำนัก ข้าจะทำให้พวกเขาคุกเข่าเลียเท้าของข้า ด้วยความแข็งแกร่ง.”
“เจ้าสำนัก ศิษย์น้อง พวกเราไม่ควรทำให้ชื่อหมาต้องเสียหาย!”ซูเซียวโม่กล่าว.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “หมาถือเป็นสัตว์เลี้ยงคอยปกป้องบ้านให้กับมนุษย์ มีความซื่อสัตย์อย่างหมดจด เป็นสหายที่ดีกับมนุษย์ของพวกเรา เป็นความจริงที่พวกเราไม่ควรนำชื่อมันมาทำให้เสียหาย.”
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ได้ยินเสียงพูดคุยกันโต้กลับ แววตาของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวทันที.
ซูเซียวโม่ที่กวาดตามองคนเหล่านั้น เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย “เจ้าสำนัก ศิษย์ทนดูพวกปากดีเหล่านี้ไม่ได้เลย เสียดายที่ไม่สามารถทำอะไรในเมืองได้ มันดูน่ารำคาญจริง ๆ.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “แค่พวกกากเดน.”
“กากเดน.”
ซูเซียวโม่วไม่เข้าใจคำดังกล่าวแม้แต่น้อย.
หลี่ชิงหยางเองก็ไม่เข้าใจ ทว่าด้วยน้ำเสียงของเจ้าสำนักแล้ว กากเดนนี้แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งไม่ดี.
จุนซ่างเซียวและซูเซียวโม่วที่กล่าวตอกกลับ ทำให้เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ดูแคลนเซียวจุ้ยจื่อแทบบ้า เพียงแต่ตอนนี้อยู่ในเมือง พวกเขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้.
แต่ควรจะเป็นโชคดีของคนเหล่านั้นมากกว่า หากไม่มีข้อห้ามด้วยนิสัยของจุนซ่างเซียว คงนำศิษย์ทุบตีนวดคนเหล่านั้นไปแล้ว.
เพียงไม่นานหลังจากนั้น มีคนกลุ่มหนึ่งที่มาหยุดที่โรงเตี้ยมดังกล่าว ในเวลานั้นเขาราวกับเห็นอะไรบางอย่าง ก้าวเข้ามาด้านใน เขาเป็นชายที่มีคนรับใช้ ล้อมหน้าล้อมหลัง.
“เป่ยเจี้ยน!”
แววตาของเซียวจุ้ยจื่อที่เปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม.
“เป่ยเจี้ยน?”ที่มุมปากของจุนซ่างเซียวกระตุก “คนกลุ่มนี้ทำตัวไม่เอาถ่าน ลอยไปลอยมาเหมือนกับอ้ายโจวตระกูลอ้ายที่ถูกเขาตะเพิดไปก่อนหน้านี้.”
เป่ยเจี้ยนที่ร้องออกมาเสียงดัง พลางก้าวเข้ามา “เฮ้ เฮ้ นั่นไม่ใช่พรสวรรค์พันปีจะมีสักครั้งของมนทลชิงหยางหรอกรึ? หลายปีไม่เห็นหน้ามาก่อน มาพบครั้งนี้ช่างน่าประทับใจเหลือเกิน.”
“เจ้าสำนัก พวกเราไปกันเถอะ.”เซียวจุ้ยจื่อที่เอ่ยกล่าวไม่ต้องการสนใจชายคนดังกล่าว.
เป่ยเจี้ยนที่ยังไม่หยุด “เฮ้ เฮ้ย คนรู้จักกัน ไม่คิดจะพูดคุยกันหน่อยรึ?”
ซูเซียวโม่ที่เกาศีรษะไปมา กล่าวออกมาว่า “เจ้าสำนัก เจ้าคนผู้นี้ มันป่วยอย่างงั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “คงงั้น.”
จุนซ่างเซียวนำศิษย์ทั้งห้าก้าวออกมาจากโรงเตี้ยม เสียงของเป่ยเจี้ยนยังคงกล่าวไล่มา “ยอดพรสวรรค์เก่าแก่ นายน้อยผู้นี้ก็เข้าร่วมงานประลองสำนัก หากว่าพบกันครั้งนี้ พวกเราต้องได้ประลองกันแน่นอน.”
“ใครกัน?”จุนซ่างเซียวสอบถาม.
เซียวจุ้ยจื่อเอ่ย “เป็นทายาทของตระกูลเป่ย ห้าปีที่แล้วเขากำลังลวนลามหญิงสาวกลางวันแสก ๆ ข้าจึงได้สั่งสอนเขาไป.”
จุนซ่างเซียวสีจมูกไปมา กล่าวออกมาว่า “พูดจาใหญ่โตพร้อมกับนิสัยชั่วร้ายเช่นนี้ หากพบกันในงานประลอง ช่วยสั่งสอนมันแทนเปิ่นจั้ว ด้วย บังอาจมาสร้างความลำบากหงุดหงิดให้ข้า เอาให้บิดามารดาของมันจำหน้าไม่ได้เลย.”
“ครับ!”