Chapter 54 กล้ารับกระบี่ของเปิ่นจั้วไหม?
“โอ้วสวรรค์ ในโลกนี้ยังมีของอร่อยขนาดนี้อยู่อีก!”
“ข้าไม่เคยกินข้าวผัดที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน ขออีกจาน...ไม่ ๆ ขอสองจานเลย!”
“ฝีมือของตู้ตู้กับศิษย์พี่รอง ต่างกันราวกับฟ้าและเหวเลย!”
ภายในโรงอาหารสำนัก เหล่าศิษย์ที่ได้แปลงร่างกายเป็นหมาหิวโซ โซ้ยข้าวผัดอย่างตะกละตะกลามแทบกลืนลิ้นตัวเองไปด้วย ทุกคนต่างก็กล่าวยกย่องอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ไม่เหลือข้าวติดจานเลยสักเม็ด.
กับข้าวผัดที่อร่อยขนาดนี้ พวกเขาไม่รู้จะบรรยายพรรณนาความอร่อยระดับโลกนี้ ออกมาได้อย่างไร มันอร่อยเกินไปแล้วจริง ๆ.
แม้แต่ลู่เชียนเชียนที่เป็นเทพธิดาน้ำแข็ง เวลานี้ยังนั่งกินอาหารไปมากกว่าหนึ่งจานในมุมหนึ่งของโรงอาหาร.
ส่วนหลี่ชิงหยางแทบไม่ต้องเอ่ยถึง.
หลังจากกินข้าวผัดแล้ว เขาแทบจะสรุปได้เลยว่าอาหารที่เขาทำก่อนหน้านี้ ก็เพียงแค่ขยะเท่านั้น.
เซียวจุ้ยจื่ออีกคนที่ค่อย ๆ ลิ้มรสช้า ๆ ใบหน้าที่เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่ลอบอุทานออกมาเบา ๆ “อาหารอร่อยระดับโลก.”
จุนซ่างเซียวเองก็กินไปสองจาน ตอนนี้แทบจะไม่สามารถยัดอะไรลงไปได้อีกแล้ว ท้องที่ป่องนั่งเหยียดอยู่บนเก้าอี้.
หลิวหว่านซี่ที่นั่งท้าวคางจดจ้องมอง ดวงตากระพริบปริบ ๆ กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนัก อาหารของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
จุนซ่างเซียวเอ่ยปากชม “เจ้าทำอาหาร อร่อยมากกว่าพ่อครัวภัตตาคารจันทร์ดาราซะอีก!”
ตอนนี้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เหล่าศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งเองก็พึงพอใจกันทุกคน ไม่คาดคิดจะโชคดีได้รับสุดยอดเชฟมา.
หลิวหว่านซี่ที่ยกริมฝีปากเผยยิ้ม กล่าวออกมาว่า “พ่อครัวภัตตาคารจันทร์ดาราก็แค่ระดับทั่วไป ส่วนข้านั้นคือแม่ครัวชั้นหัวหน้า ไว้ให้ข้าสำเร็จขั้นสูง ซะก่อนเถอะ ข้าจะทำอาหารที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทุกคนได้ลิ้มรอง.”
“ร้ายกาจขนาดนั้นเลยรึ?”จุนซ่างเซียวที่เผยท่าทางตื่นตระหนก.
ลู่เชียนเชียนที่ลอบมองพวกเขาคุยกัน จากนั้นก็ก้มหน้าลงกินข้าวผัดต่อไป.
หลิวหว่านซี่ที่หัวเราะ คริ คริ กล่าวออกมาว่า “เจ้าสำนัก ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่ในสำนักได้แล้วใช่ใหม?”
“ได้.”
จุนซ่างเซียวแทบไม่ต้องคิดเลยแม้แต่น้อย.
ข้าวผัดของหลิวหว่านซี่นั้นทำให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นศิษย์คนใหน ๆ ต่างก็ชื่นชอบ กล่าวชื่นชมกันไม่หยุด.
......
ยามค่ำคืนที่ความมืดปกคลุมท้องฟ้า ทำให้ดวงจันทราส่องประกายแสงโดดเด่นอยู่กลางนภา.
ลู่เชียนเชียนที่นั่งอยู่บนหลังคาห้องโถง มือทั้งสองข้างกอดเข่าคุดคู้ คางของนางที่วางค้ำบนเข่าที่ตั้งชัน กวาดตามองป่าเขาลำเนาไพรจดจ้องมองฉากที่งดงามด้านนอกสำนัก.
“ยังไม่นอนอีกรึ? พรุ่งนี้เจ้าต้องไปทำภารกิจอีกนะ.”จุนซ่างเซียวที่กระโดดขึ้นมาบนหลังคาเช่นกัน.
ลู่เชียนเชียนที่ไม่ได้หันไปมองเขาแม้แต่น้อย ดวงตาของนางยังคงจดจ้องมองภาพฉากที่ไกลออกไป ลมหนาวที่พัดโบก เข้ามาเป็นระยะ เป่าผมสีดำของนางปลิวสยายไปมา.
จุนซ่างเซียวที่นั่งลง ก่อนที่จะจ้องมองไปยังฉากที่นางมองไป และกล่าวออกมาว่า “เปิ่นจั้วรู้สึกว่า หากมีเรื่องกังวลอะไรในใจ ควรจะหาใครสักคนระบาย จะทำให้รู้สึกดีขึ้นได้.”
ลู่เชียนเชียนกล่าว “ข้าไม่มีเรื่องกังวลใด.”
จุนซ่างเซียวที่เผยยิ้มออกมา “เช่นนั้นเจ้าขึ้นมานั่งเล่นบนหลังคาเวลาค่ำคืน แค่เพียงต้องการชมดวงจันทร์เท่านั้นรึ?”
“ใช่.”
“......เป็นคนที่มีอารมณ์สุนทรีย์สินะ.”
ลู่เชียนเชียนกล่าว.“เจ้าสำนัก หลิวหว่านซี่นั้นไม่ธรรมดา.”
“ไม่ธรรมดา อย่างไรรึ?”จุนซ่างเซียวกล่าวสอบถาม.
ลู่เชียนเชียนเอ่ย “เท่าที่ข้ารู้มีเพียงตระกูลโอวหยางเมืองจักรพรรดิเทียนยวีเท่านั้น ถึงจะสามารถทำอาหารยกระดับความแข็งแกร่งได้.”
เมืองจักรพรรดิเทียนยวี?
จุนซ่างเซียวที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่ากับคำว่าเมืองจักรพรรดิ ก็ทำให้คิดว่ามันเป็นสถานะที่โดดเด่นน่าเกรงขามแล้ว.
“ตู้ตู้ไม่ได้มีแซ่โอวหยาง.”
“ชื่อเปลี่ยนได้ แซ่เองก็ปกปิดได้เช่นกัน.”
“ยกตัวอย่างเจ้าอย่างงั้นรึ?”
ลู่เชียนเชียนที่เปลี่ยนเป็นเงียบ จากนั้นก็ลุกขึ้นและกระโดดลงจากหลังคา.
ขณะที่กำลังเห็นอีกฝ่ายก้าวจากไป จุนซ่างเซียวก็ตะโกนออกไป “ลู่เชียนเชียน เจ้าอย่าลืม จำเอาไว้ เจ้าคือศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักไท่กู่เจิ้งตลอดไป.”
ลู่เชียนเชียนที่ชะงักและกล่าวออกมาว่า “ข้ารู้.”
จุนซ่างเซียวที่จ้องมองกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “หากว่าเจ้ามีศัตรูล่ะก็ กับความแค้นที่มี รอให้สำนักทรงพลัง เปิ่นจั้วจะเป็นคนช่วยเจ้าเอง สิบปีล้างแค้นยังไม่สาย อย่ารีบร้อน ทำอะไรโง่ ๆ ล่ะ.”
ดวงตาของลู่เชียนเชียนที่ส่ายไปมา ก่อนที่จะเร่งรีบกลับห้องไปอย่างรวดเร็ว.
จุนซ่างเซียวเองก็ลุกขึ้นกระโดดลงมาจากหลังคาและกลับห้องตัวเองเช่นกัน.
ลู่เชียนเชียนที่ยืนอยู่หลังประตูห้องตัวเอง กล่าวออกมาเบา ๆ “ข้ารู้ตัวเองดีอยู่แล้ว.”
......
เช้าวันถัดมา.
ดวงตะวันเริ่มทอแสง หลิวหวานซี่ในชุดกันเปื้อน เข้าครัวทำอาหาร อย่างรวดเร็ว อาหารจานผักที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งลาน เหล่าศิษย์มากมายที่ลุกขึ้นจากเตียงเร่งรีบออกจากห้องด้วยเสียงท้องที่ส่งเสียงเรียกร้องให้ต้องตื่นก่อนกำหนด.
“อุ้ย....อร่อยจริง ๆ!”
“ราวกับอาหารที่ข้ากิน ทำให้ข้ามีพลังเต็มเปี่ยมล้น ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าคงไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยแน่นอน!”
“ข้าขอน้ำซุปหน่อย!”
ภายในโรงอาหารสำนัก เหล่าศิษย์ที่กลายเป็นหมาโหยอีกครั้ง พวกเขายอมรับอาหารของหลิวหว่านซีอย่างราบคาบ.
หลังจากที่กินอาหารเสร็จ ศิษย์ทุกคน รู้สึกถึงพลังที่พลุ้งพล่าน แม้แต่สามารถบ่มเพาะพลังได้ดียิ่งกว่าวันก่อน.
“เชียนเชียน ชิงหยาง พวกเจ้าไปทำภารกิจได้แล้ว.”
จุนซ่างเซียวที่คาบตะเกียบ ก่อนที่จะก้าวออกมาจากโรงอาหารสำนัก.
“ตูมมมม!”
พริบตานั้น เสียงระเบิดดังสนั่นดังข้ามผ่านเข้ามา ในเวลาเดียวกันประตูสำนักก็ลอยโด่งกระเด็นครูดไปกับพื้นเสียงดังกึกก้อง.
ประตูของข้า......
ไม้ตะเกียบที่คาบไว้ในปากหล่นลงบนพื้นทันที เขาหันหน้าจ้องมองไปยังทางเข้า ร่างถึงกับแข็งค้างไปในทันที.
“กึก กึก กึก.”
ผู้บ่มเพาะวิถีดาบที่เพิ่งตื่นขึ้นเมื่อวานนี้ ก้าวเข้ามา ตะโกนออกมาเสียงดัง “มือดาบ หม่าหยงหนิง มาขอคำแนะนำจากเจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งโดยเฉพาะ!”
......
บนลานยุทธ์.
จุนซ่างเซียวที่ถือดาบสะบั้นมังกรเขียว จดจ้องมองด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก.
หลังจากทุกคนอิ่มเอมกับอาหาร ก้าวออกมาด้วยความพึงพอใจ ทันใดนั้นก็มีคนทำลายประตู สร้างความไม่พอใจให้กับทุกคนในทันที.
มือดาบที่มีนามว่า หม่าหยงหนิงกวาดตามองทุกคน ก่อนที่จะชักดาบออกมาจากฝัก กล่าวออกมาเสียงดัง “เท่าที่ดู เป็นเจ้ารึที่จะมาสู้กับข้า.”
“เป็นทวดแกนี่ล่ะ!”
จุนซ่างเซียวที่ก้าวออกไป แผ่พุ่งพลังมากกว่าสองพันจินเข้าไปในดาบสะบั้นมังกรเขียว(ชิงหลงไท่)ในทันที.
ไม่มียันต์ความเร็วแล้ว แม้ว่าคมดาบจะเปล่งประกายแผ่พลังที่แข็งแกร่งออกมา ทว่าก็ยังห่างไกลกับเมื่อครั้งเขาสังหารอาวุโสสำนักหลิงชวน.
“เคร้ง!”
หม่าหยงหนิงที่ยกดาบขึ้นรับ กล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ “นี่เจ้ายังก้าวไปไม่ถึงระดับศิษย์ยุทธ์อีกรึ?”
“ฟิ้ว!”
จุนซ่างเซียวที่ยกดาบ ฟันออกไป.
ทว่าหม่าหยงหนิงยังคงเอ่ยต่อ “หม่าโหมวนั้นได้เดินทางตะเวนประลอง กับสำนักต่าง ๆ กว่า 30 สำนักแล้ว ไม่เคยเห็นเจ้าสำนักที่อ่อนแอขนาดนี้มาก่อน!”
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว!”
จุนซ่างเซียวที่ตะวัดดาบฟันออกไปอีกครั้งและก็อีกครั้ง เสียงโลหะปะทะกันเสียงดังก้องกังวาน.
จากสิ่งที่เห็น ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนว่าจะอยู่ในระดับศิษย์ยุทธ์แล้ว การจะตั้งรับและหลบหลีกนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายเป็นอย่างมาก.
หม่าหยงหนิงที่รับการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามสองสามกระบวนแล้ว เขาที่ถูกบีบให้ถอยไปอยู่ที่มุมลานยุทธ์ “ไอ้หนู ความแข็งแกร่งของเจ้าอ่อนด้อยมาก หม่าโหมวไม่อยากรังแกเจ้า.”
“งั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวที่เก็บดาบสบั้นมังกรเขียว พร้อมกับนำกระบี่หานเฟิงระดับสามัญขั้นต้นออกมา พร้อมกับกล่าวออกมาว่า “เจ้ากล้ารับกระบี่ของเปิ่นจั้วหรือไม่?”
หม่าหยงหนิงที่จ้องมองไปยังกระบี่ที่แผ่กลิ่นอายความเย็นออกมา รับรู้ได้ในทันทีว่ากระบี่เล่มนี้ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย หากแต่ก็กล่าวออกมาเบา ๆ ว่า “เจ้าคิดว่าความแข็งแกร่งที่แตกต่างระหว่างพวกเรา สามารถทดแทนได้ด้วยอาวุธที่มีระดับสูงกว่า ได้อย่างงั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวที่ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ก่อนที่จะเริ่มร่ายรำทวงท่าของกระบี่ออกมา.
“ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!”
จุนซ่างเซียวที่กวัดแกว่งกระบี่ แสดงทักษะคลื่นกระบี่เก้าทบออกมา กระบวนท่าที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม....หลังจากกระบวนท่าที่แปด เขาก็กระโดดลอยขึ้นสูง ก่อนที่จะฟาดฟันโจมตีด้วยกระบวนท่าที่เก้ากลายเป็นคลื่นกระบี่เก้าชั้นรวมพลังพุ่งออกไปยังด้านหน้า.
ด้วยการเชื่อมชีพจรทั้งสิบเอ็ดจุด พร้อมกับวิชาบ่มเพาะเปลี่ยนเส้นเอ็น ทำให้เพลงกระบี่ ของเขาที่ใช้เวลานี้ ทรงพลังกว่าก่อนมาก!
“ซูมมมม!”
ปราณกระบี่ที่ผสานเข้ากับคลื่นกระบี่เก้าทบ พุ่งออกไปเป็นเหมือนดั่งไหมสีขาวที่ตัดผ่านอากาศแหวกห้วงสายลมพุ่งออกไปด้วยความเร็ว.
หม่าหยงหนิงที่แค่นเสียงเหยียดหยัน มือทั้งสองข้ากำด้ามดาบ ก่อนที่จะยกขึ้น แผ่พุ่งพลังวิญญาณเข้าไปในอาวุธ พร้อมกับโจมตีรับคลื่นกระบี่เก้าทบที่พุ่งมา!
“เคร้ง!”
ปราณกระบี่ที่พุ่งกระแทกดาบของหม่าหยงหนิง คลื่นความหนาวเย็นที่แผ่เข้าไปในใบดาบ ลามออกไปอย่างรวดเร็ว.
“แก๊ก แก๊ก!”
วินาทีถัดมา เสียงแตกร้าวของดาบก็ดังขึ้น พลังวิญญาณที่ปกคลุมใบดาบกำลังรั่วจากการทะลวงของปราณกระบี่ แม้แต่ถูกตีกลับคืนไปยังร่างของหม่าหยงหนิง.
“ตูมมมมม!”
คลื่นกระบี่เก้าทบที่ระเบิดดังก้อง จากนั้นดาบยักษ์ของหม่าหยงหนิงก็หักขาดเหลือเพียงครึ่ง ใบดาบส่วนบนที่ลอยเคว้งกระเด็นออกไปปักลงบนพื้น.
สายตาของหม่าหยงหนิงที่ชะงักงัน ก่อนจะทรุดลงนั่งกองบนพื้น แขนทั้งสองข้างที่ยังคงสั่นสะท้านกุม อีกครึ่งหนึ่งของดาบที่เหลืออยู่ พร้อมกับค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว “ดาบ...ดาบของข้า!”