ตอนที่แล้วChapter 51 ฆ่าข้า ข้าจะฆ่ามัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 53 เชฟเหรียญทอง

Chapter 52 หลิวหว่านซี


หนึ่งคนในกลุ่มที่โกรธเกรี้ยวอย่างหนัก ยากจะสงบได้ แม้แต่แทบกลายเป็นบ้าคลั่ง.

ในทันทีที่กลุ่มอันธพาลวิ่งข้ามถนนมา เขาก็พุ่งเข้าหาเด็กหญิงทันที แววตาที่โกรธเกรี้ยวคล้ายจะเผาทุกอย่างให้เป็นจุน.

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะถึงตัวเด็กสาว บนไหล่ของเขาก็มีบางอย่างวางอยู่ ห่างออกไปไม่ถึงนิ้ว ความโกรธมากมายกลายเป็นความตายที่คุกคาม จนทำให้ขนทั่วร่างลุกตั้งชูชัน.

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว มันที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว.

“ไอ้หนู!”

“เจ้าแส่หาความตาย!”

“ใจกล้าเกินไปแล้ว กล้าขู่หัวหน้าของพวกเราอย่างงั้นรึ?”

เหล่าลูกน้องของเขาที่คำรามลั่นด่าว่าออกมาเสียงดัง.

ชายกล้ามใหญ่ที่เป็นหัวหน้าถึงกับใบหน้าบึ้งแทบพ่นโลหิตออกมาคำโต.

เหล่าจื่อกำลังถูกขู่อยู่นะเว้ยเฮ้ย ยังไปขู่มันอีก หากมันขยับ หัวข้าไม่ขาดรึไง!

“ฟิ้ว!”

จุนซ่างเซียวที่ขยับดาบสะบั้นมังกรเขียวเข้าไปอีก ใบดาบที่อยู่ห่างจากลำคอเพียงความหนาของกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น.

“ลูกน้องของเจ้า ดูเหมือนจะไม่เข้าใจคำว่าสุภาพสินะ.”

คมดาบที่เป็นประกาย.

แม้ไม่ต้องมองก็รับรู้ถึงความคม ชายกล้ามใหญ่ที่เป็นหัวหน้า เวลานี้สั่นเทิ้ม จนต้องกล่าวเสียงสั่น “สหาย...พี่ชาย! พี่ชายที่น่าเคารพ! ข้าจะกลับไปสั่งสอนพวกมันเอง! ....อย่าลดตัวลงมาใส่ใจพวกเราเลย!”

“ไอ้พวกสารเลว!”

ชายที่ถูกดาบวางพาดคอตะโกนเสียงดัง “ยังไม่รีบขอโทษพี่ชายที่น่าเคารพอีก.”

เหล่าลูกน้องอันธพาล เวลานี้ตระหนักได้ว่าพี่ใหญ่ตัวเองกำลังอยู่ในสถานะการณ์เป็นตาย จึงเร่งรีบเอ่ยเสียงอ่อย “พี่ชายที่น่าเคารพ พวกเราผิดไปแล้ว!”

จุนซ่างเซียวกล่าวออกมาเบา ๆ.“ข้าจะนับถึงสาม ให้รีบไสหัวไปซะ.”

“หนึ่ง......”

ยังนับไม่เสร็จด้วยซ้ำ กลุ่มอันธพาลที่วิ่งหนีตาหลีตาเหลือกไม่แม้แต่หันมามอง.

จุนซ่างเซียวที่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเก็บดาบสะบั้นมังกรเขียวและเอ่ยออกมาว่า พวกมันไปหมดแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว.”

เด็กสาวที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง ชะเง้อจ้องมองเหล่าปิศาจร้ายที่จากไป นางที่ยืนเขย่ง ก่อนที่จะหันกลับมาคุกเข่าลงด้านหน้า พร้อมกับเอ่ยกล่าวด้วยความเคารพ “ขอบคุณเจ้าสำนักจุนที่ช่วยเหลือ!”

จุนซ่างเซียวเอ่ยออกมาว่า “ข้าคงทนเห็นกลุ่มอันธพาล รังแกเด็กสตรีไม่ได้หรอก เจ้าไม่จำเป็นต้องคำนับข้าแต่อย่างใด.”

“อิอิ เจ้าสำนักจุนเป็นคนดีจริง ๆ.”เด็กสาวที่ยืนขึ้นเงยหน้าเผยยิ้มสดใสน่ารัก.

จุนซ่างเซียวที่จ้องมองนาง.

เด็กสาวที่มีอายุราว 13-14 ปี กำลังน่ารักสดใส เริ่มมีหน้าอกแต่ยังไม่โต ไว้ผมยาวสลวยทิ้งไปด้านหลัง ใบหน้าแววตาเป็นประกายดูเฉลียวฉลาด ช่างพูด แม้นว่าใบหน้าของนางจะมีฝุ่นจับบ้าง แต่รวม ๆ แล้วนับว่าเป็นสตรีที่งดงาม.

น่ารักเป็นอย่างมาก......

ขณะจุนซ่างเซียวกำลังพินิจจ้องมองอนางอยู่นั้น.

เด็กสาวที่มองมายังเขา พร้อมกับหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “เจ้าสำนักจุนท่านช่างน่ามอง.”

หมายความว่าอย่างไร เปิ่นจั้ว อัปลักษณ์มากรึ? ถึงได้เอ่ยว่าน่ามอง หรือว่าข้าเหมือนผู้หญิงกัน?

จุนซ่างเซียวที่ส่ายหน้าไปมาและเอ่ยออกมาว่า “ข้าต้องกลับแล้ว เจ้าเองก็รีบกลับบ้านก็แล้วกัน.”

“เจ้าสำนักจุน!”

เด็กสาวที่พุ่งขวางทางไว้ ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตา “ขอข้าเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งได้หรือไม่?”

นางที่เผยท่าทางน่าสงสาร ราวกับว่าได้รับคามเจ็บปวดมากมายมา.

จุนซ่างเซียวส่ายหน้าไปมาและเอ่ยกล่าวออกมาว่า “ขอโทษด้วย ข้ายังไม่คิดรับศิษย์ชั่วคราว.”

เขาเองก็ต้องการรับเด็กสาวที่น่ารักน่าชังผู้นี้เอาไว้เช่นกัน ทว่าจำนวนสมาชิกนั้นได้เต็มแล้ว การฝืนรับเข้ามา จะต้องถูกลงโทษหนัก.

เด็กสาวที่น้ำตาไหล อาบไปทั้งสองแก้ม ก่อนจะร้องไห้โฮ เสียงดัง.

เฮ้ย.

แค่บอกไม่รับ ถึงกับร้องไห้ออกมาเลยรึ?!

เด็กสาวที่ยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตา ใบหน้าที่เจ็บปวดรวดร้าว “ฮือฮือ...เจ้าสำนักจุน ข้าไม่เป็นศิษย์ก็ได้ ให้ข้าเป็นสาวใช้ทำงานให้กับสำนักก็พอ.”

ไม่ต้องบอกเลยว่าเจ้าสำนักจุน เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารสังหารอาวุโสสำนักหลิงชวนก่อนหน้านี้มา ทว่ากับการมาเห็นเด็กสาวร้องไห้ต่อหน้า เวลานี้ ก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน.

“เหว่ย เหว่ย อย่าร้อง......”

“แง้ แง้!”

เด็กสาวที่ร้องไห้โฮเสียงดังขึ้นยิ่งกว่าเก่า น้ำตาที่ราวกับห่าฝน ไหลปุด ๆ เผยใบหน้าท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวกับไร้สิ้นซึ่งหนทาง.

“นั่นเจ้าสำนักจุนรึ?”

“เด็กสาวคนนั้นเป็นใครกัน?”

“ไม่ใช่ว่านางถูกเขาข่มเหงเอาหรอกรึ?”

“ยี้! นี่หรือ คนที่เป็นเจ้าสำนัก เด็กเพียงนั้นยังข่มเหงรังแกได้ นี่ยังเป็นคนอยู่อีกรึ?!”

......

เด็กสาวที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง เหล่าคนที่ผ่านไปผ่านมา รอบ ๆ พวกเขา เวลานี้เริ่มเข้ามามุง จับจ้องมองวิพากวิจารณ์ ว่ากล่าวจ้องเขม็งไปยังจุนซ่างเซียว.

ใบหน้าของเจ้าสำนักจุนถึงกับเปลี่ยนสี ขาวซีดขึ้นเรื่อย ๆ.

“แง้ แง้ แง้!”เด็กสาวยังคงร้องไห้ไม่หยุด.

จุนซ่างเซียวที่ตะโกนออกมาเสียงดัง “อย่าร้อง!”

กึก!

เด็กสาวที่หยุดร้องในทันที.

ทว่าใบหน้าปากของนางที่เบ๊ะบิดเบี้ยว ดวงตาที่แดง คลอไปด้วยน้ำตาจ้องมองจุนซ่างเซียว ท่าทางดูน่าสงสารอย่างที่สุด!

“แง้ แง้!”

นางที่กลั้นไม่ไหว ร้องไห้โฮดังยิ่งกว่าเก่าอีก.

“เจ้าสำนักจุน ท่านเป็นถึงผู้ปกครองสำนัก แล้วยังรังแกข่มเหงรังแกนางอีก ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยรึ?”

“นางยังเด็กนัก เฮ้อ!”

จุนซ่างเซียวถึงกับพูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน “อย่าร้อง หยุดได้แล้ว เปิ่นจั้วตกลงก็ได้.”

เด็กสาวที่หยุดร้องยิ้มพราย แม้ว่าน้ำตายังคงอาบอยู่ทั้งสองแก้ม “ขอบคุณ ขอบคุณเจ้าสำนักจุน!”

ก่อนหน้านี้นางร้องไห้ราวจะเป็นจะตาย ทว่าเพียงแค่เขาตอบรับกลับเผยยิ้ม แม้แต่หัวเราะออกมาในทันที นี่นางเป็นนักแสดงรึอย่างไร ถึงได้เปลี่ยนแปลงท่าทางได้รวดเร็วขนาดนี้.

“เฮ้อ.”

จุนซ่างเซียวที่ส่ายหน้าไปมาก่อนที่จะเดินนำหน้า “ไปได้แล้ว.”

“เยี่ยมเลย เยี่ยมเลย!”

เด็กสาวที่เต้นไปมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ.

นางก้าวเดินตามและเอ่ยกล่าวแนะนำตัวออกมา “เจ้าสำนักจุน ข้าชื่อว่า หลิวหว่านซี ทุกคนต่างก็เรียกตู้ตู้ หลังจากนี้ท่านจะเรียกข้าว่า ตู้ตู้ก็ได้.”

หลิวหว่านซี่?

จุนซ่างเซียวที่แอบคิดในใจ “ชื่อสวยงามเหมือนอยู่ในบทกวีรึ? ใครตั้งชื่อให้นางกัน.”

(婉诗 wǎn shī บทกวีที่สง่างาม 诗情画意. ซือ ฉิง ฮว่า อี้. shī qíng huà yì. a scene full of poetic and artistic conception. (ทิวทัศน์หรือสิ่งของ)สวยงามเหมือนอยู่ในบทกลอนหรือภาพวาด)

แม้นว่าจะเพิ่งรู้จักกัน ทว่าเพียงแค่มอง เด็กสาวที่ยังไม่สุกงอม กับดูคุ้นเคยเข้ากับเขาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ.

“ยันต์ความเร็วเหลือเวลาเท่าใด?”

“ห้านาที.”

“ต้องนำเด็กนี่กลับไปด้วย คงไม่สามารถรีบกลับสำนักได้แล้ว เวลานี้คงทำได้แค่จ้างรถม้ากลับแล้วล่ะ.”

“โครก ๆๆ”

ขณะก้าวมาได้ไม่กี่ก้าว เสียงท้องของหลิวหว่านซี ก็ดังโครกครากเหมือนว่ากำลังหิวอย่างหนัก นางที่กุมท้องเอ่ยกล่าวอย่างน่าสงสาร “เจ้าสำนักจุน ข้าไม่ได้กินอะไรมาวันหนึ่งแล้ว.”

“แล้วเจ้าอยากกินอะไรล่ะ?”

“ข้าต้องการกินอาหารที่ภัตตาคารจันทร์ดารา ผัดลูกพุดอบน้ำผึ้ง เค้กพุทรา ตุ๋นเนื้อ และไก่ย่างถงจี่!”

เพียงแค่ลมหายใจเดียวนางก็เอ่ยกล่าวรายการอาหารออกมาสองสามชื่อแล้ว.

จุนซ่างเซียวถึงกับมุมปากกระตุก เพียงแค่ได้ยินชื่อ ไม่กี่ชื่อ เขาก็รู้สึกมึนตึบไปแล้ว.

จะให้กล่าวล่ะก็ ตั้งแต่ข้ามมิติมานี้ ทุก ๆ วันเขาได้กินเพียงข้าวเปล่าหรือไม่ก็ผักลวก บางวันโชคดีหน่อยก็เป็นก๋วยเตี๋ยวเท่านั้น ตอนนี้เขามีเงินแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะเพลิดเพลินกับอาหารดี ๆ สักหน่อย.

“กึก!”

จุนซ่างเซียวที่หยุดก้าวและเอ่ยออกมาว่า “นำทาง ไปยังภัตตาคารจันทร์ดารา.”

......

ภัตตาคารจันทร์ดารา.

นี่คือภัตตาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองชิงหยาง ข้าวผัดลูกพุดที่ขึ้นชื่อลือชา และยังมีอาหารที่มีชื่อเสียงอีกหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหารจานใหนก็เป็นอาหารขึ้นชื่อทั้งนั้น นี่ถึงจะเรียกว่าย อดอาหารของโลกใบนี้.

กับร้านอาหารที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ มีแขกจากแดนไกลเดินทางมาหลายพันลี้ เพื่อลิ้มรสชาติอาหารโดยเฉพาะอยู่เป็นจำนวนมาก.

ในเวลาเดียวกัน บนชั้นสามของภัตตาคาร จุนซ่างเซียวและหลิวหว่านซี่ที่ได้ โซ้ยอาหารราวกับห่าตั๊กแตนกวาดผ่านไร่อ้อย เพียงพริบตาเดียวจานเปล่าก็กองพะเนิน.

“เอิ๊ก!”

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม จุนซ่างเซียวได้ตบท้องพิงโต๊ะเรอเสียงดัง ”อาหารโลกนี้มันอร่อยชะมัด.

หลิวหว่านซีที่เขย่งใช้ไม้ตะเกียบเขี่ยไปบนผักที่เหลือด้านบน จากที่เวลานี้มันกองพูนขึ้นสูง “ข้าว่าผักนี้ดูเค็มเล็กน้อย ถือว่าผิดพลาด และผักนี้ก็ยังสุกไม่พอ มีน้ำมันเยิ้มออกมา ถือว่าเป็นงานที่ล้มเหลว!”

จุนซ่างเซียวถึงกับพูดไม่ออก “ข้าคิดว่าเจ้าก็กินไปตั้งมากมายหลายจานนะ.”

หลิวหว่านซีที่แลบลิ้นและเอ่ยออกมาว่า “เจ้าสำนัก ท่านก็รู้ เมื่อไหร่ที่คนกำลังหิวถึงขั้นสุด ก็ไม่สนใจแล้วว่าอาหารมันจะอร่อยหรือไม่อร่อย.”

ท่าทางน่ารักน่าชังของนาง ทำให้จุนซ่างเซียวอดไม่ได้ที่จะกล่าวล้อนางออกมา “เจ้าปรุงอาหารเป็นงั้นรึ?!”

“ข้าไม่ได้ปรุงอาหาร.”

หลิวหว่านซีเอ่ย “แต่เป็นศิลปะปรุงอาหารต่างหาก.”

จุนซ่างเซียวหมดคำจะพูด “แล้วปรุงอาหารกับศิลปะปรุงอาหารมันแตกต่างกันอย่างไรกัน?”

“แตกต่างกันมาก.”

หลิวหว่านซี่กล่าวออกมาอย่างจริงจัง “การปรุงอาหารก็คือการทำกับข้าวเพื่อกินเท่านั้น ส่วนศิลปะการทำอาหารมันได้รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน จัดการอย่างประณีต ยกตัวอย่าง การผัด การทอด เครื่องปรุง การควบคุมอาหาร การปรุงรสชาติ การเลือกภาชนะ การเลือกวัตถุดิบ การเตรียมวัตถุดิบ การหั่น.......”

“วิ้ง! พอ พอ!”

จุนซ่างเซียวที่ยกมือขึ้นหยุดนางทันที ยิ่งฟังยังมึน เขาที่เอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ “เจ้าทำอาหารเป็นอย่างงั้นรึ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว.”

หลิวหว่านซี่ยกมือขึ้นกอดอก ก้าวขึ้นยืนบนเก้าอี้ กล่าวอย่างภาคภูมิ “ศิลปะทำอาหารก็เป็นหนึ่งในวิถียุทธ์ในการสร้างอาหาร ข้านั้นถือว่าอยู่ในระดับเทวะเลย.”

“มันร้ายกาจขนาดนั้นเลยรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ยด้วยความสงสัย.

หลิวหว่านซี่ที่กล่าวด้วยรอยิ้ม “เจ้าสำนัก ไว้กลับไปถึงสำนักเมื่อไหร่ ข้าจะทำให้ท่านกิน ให้ท่านได้สดับรับรู้ว่าอาหารที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร.”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด