ตอนที่แล้วChapter 49 ศัตรูในทางแคบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 51 ฆ่าข้า ข้าจะฆ่ามัน

Chapter 50 ดาบนี้ ของจริงหรือของปลอม?


หลังจากจุนซ่างเซียวทำลายค่ายวายุทมิฬแล้ว ก็ได้นำดาบสะบั้นมังกรเขียวของโจวเทียนป้ามาด้วย เดิมทีเขาวางแผนที่จะใช้เอง ไม่คาดคิดเลยว่าจะสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานในเวลานี้ได้.

เหว่ยอี้เล่อและเหว่ยอี้ไลย่อมเคยเห็นดาบสะบั้นมังกรเขียวมาก่อน เขามองหน้ากันและกันโดยไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา ทั้งสองที่เคยไปยังเทือกเขาทมิฬ พบกับโจวเทียนป้า ย่อมเคยเห็นว่ามันถูกสะพายอยู่ด้านหลังโจวเทียนป้าอยู่ตลอดเวลา.

นี่เขาเป็นคนทำลายค่ายวายุทมิฬจริง ๆ รึ?

เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้!

เพียงแค่ระดับเปิดชีพจรไม่มีทางทำสำเร็จ จะต้องมีความลับแอบซ่อนอยู่อย่างแน่นอน!

จุนซ่างเซียวเอ่ย “เจ้าเมืองเซี่ย ในเมื่อรู้ว่ามันคือดาบของโจวเทียนป้า จุนโหมวสามารถใช้มันเป็นหลักฐานได้หรือไม่?”

เจ้าเมืองเซี่ยที่ลังเล.

เขายากจะเชื่อเรื่องนี้จริง ๆ เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งสามารถทำลายค่ายวายุทมิฬจนสิ้นซากจริง ๆ รึ? ทว่าใความเห็นของเขา หลักฐานยืนยันนอกจากศพแล้ว ก็มีเพียงดาบสะบั้นมังกรเล่มนี้เท่านั้น ทำให้ภายในใจเขาคาดการความเป็นไปได้สองอย่าง.

อย่างแรก คือมีคนทำลายค่ายวายุทมิฬก่อนแล้ว จากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นไปบนเทือกเขาทมิฬ.

อย่างที่สอง ค่ายวายุทมิฬถูกเขาทำลาย ทว่ามีใครช่วยเขา.

“เจ้าสำนักจุน.”

เจ้าเมืองเซี่ยกล่าว “จะเป็นอะไรหรือไม่? ที่จะเอ่ยเกี่ยวกับวิธีในการกำจัดค่ายวายุทมิฬ?”

“ติ้ง!”

“ภารกิจสนับสนุนถูกกระตุ้นเปิด.”

อีกแล้วงั้นรึ?

จุนซ่างเซียวที่เปิดหน้าจอคอนโซนระบบ ภารกิจ ทำให้เจ้าเมืองเชื่อว่าโฮสน์ทำลายค่ายวายุทมิฬ[ยังไม่สำเร็จ]

“ดูเหมือนว่า เพียงแค่ดาบสะบั้นมังกรเขียว จะไม่พอให้เขาเชื่อสินะ.”

เจ้าสำนักจุนที่เงียบไปชั่วครู่และเอ่ยออกมาว่า “เจ้าเมืองเซี่ย ความเป็นจริงนั้น เพียงแค่จุนโหมวนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายค่ายวายุทมิฬได้โดยสมบูรณ์.”

เจ้าเมืองเซี่ย : “มีคนช่วยอย่างงั้นรึ?”

จุนซ่างเซียวที่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “ไม่ใช่คน แต่เป็นภูตวิญญาณ.”

“ภูตวิญญาณ?”

เจ้าเมืองเซี่ยที่งงงัน.

จุนซ่างเซียวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากจะกล่าวจริง ๆ ก็คือภูตวิญญาณบรรพบุรุษ.”

“ภูตวิญญาณบรรพบุรุษ?”เจ้าเมืองเซียยังไม่เข้าใจ.

จุนซ่างเซียวเอ่ย “เจ้าเมืองเซี่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าสำนักไท่กู่เจิ้งครั้งหนึ่งเคยเป็นนิกายโบราณ?”

“ได้ยินมาบ้างเล็กน้อย.”

เจ้าเมืองเซี่ยได้ยิน.

ดูเหมือนว่าเรื่องสำนักกู่เจิ้งฉบับจาริกตะวันออก(ไซอิ๋ว) ถูกพูดคุยทับเรื่องเดิมไปแล้วสินะ.

จุนซ่างเซียวเอ่ย “สำนักไท่กู่เจิ้งแม้ว่าจะไม่รุ่งโรจน์เช่นยุคโบราณ ทว่าบรรพชนนั้นได้มอบภูตวิญญาณบรรพบุรุษส่งต่อมาเรื่อย ๆ เมื่อสำนักต้องพบกับอันตราย สามารถประทับสิงร่างจุนโหมว เพื่อเพิ่มพลังต่อสู้ได้.”

เจ้าเมืองเซี่ยที่กล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ “ในโลกนี้มีตัวตนที่แปลกประหลาดเช่นนี้ด้วยรึ?”

“อืม.”

“เช่นนั้น เจ้าก็หมายความว่าบรรพชนรุ่นก่อนได้มอบภูตวิญญาณบรรพบุรุษเพื่อประทับสิงร่างของเจ้า จากนั้นก็ทำลายล้างค่ายโจรวายุทมิฬอย่างงั้นรึ?”

“ไม่ผิด.”

จุนซ่างเซียวพยักหน้ารับ.

ตัวเขาที่มีเพียงระดับเปิดชีพจร การจะทำลายค่ายวายุทมิฬด้วยตัวคนเดียวคงยากจะมีคนยอมรับได้ ดังนั้นเขาจึงได้เอ่ยถึงภูตวิญญาณบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ใด ๆ ด้วยนั่นเอง.

“อืม อืม.”

เจ้าเมืองเอ่ย “เป็นอะไรที่น่าพิศวงจริง ๆ.”

เหว่ยอี้ไลกล่าว “เจ้าเมืองเซี่ย ไอ้เด็กเวรนี้พูดจาไร้สาระ ท่านไม่ควรเชื่อมัน.”

เหว่ยอี้เล่อที่เผยยิ้ม “เจ้าสำนักจุน ข้าต้องการถามจริง ๆ ในเมื่อสำนักไท่กู่เจิ้งมีภูตวิญญาณบรรพบุรุษ ทำไมถึงได้ตกต่ำเป็นเพียงสำนักระดับเก้า?”

จุนซ่างเซียวเอ่ย ออกมาเสียงเบา.“บรรพชนรุ่นแรกเพราะทำเรื่องฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ฟ้าดิน จึงได้ถูกผนึกเอาไว้ใต้เทือกเขาห้านิ้ว สำนักถูกสาป แม้แต่ตกต่ำจนมาถึงตอนนี้.”

จะมีอะไรให้พูดล่ะ หากไม่ให้เหล่าจื่ออวดอ้างคุยโต?

คำพูดที่เอ่ยอ้างนั้นเจ้าสำนักจุนได้เอ่ยกล่าวออกมาเกี่ยวกับประวัติสำนักไท่กู่เจิ้ง ล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่มาจากนิยายจาริกตะวันออกแทบทั้งสิ้น.

“เรื่องไร้สาระทั้งนั้น!”

“เจ้าต้องการแหกตาสร้างเรื่องมากมายเท่าไหร่ถึงจะพอใจ!”

ไม่ว่าจะถูกขัดคออย่างไร จุนซ่างเซียวก็ยังคงเล่าเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่ออกมาไม่หยุด สองพี่น้องเหว่ยอี้เล่อแทบไม่อยากเชื่อว่าศัตรูของเขาจะขี้โม้ไร้ยางอายขนาดนี้.

เจ้าเมืองเซี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักจุน จะแสดงการเข้าทรงประทับร่างของภูตวิญญาณบรรพบุรุษได้หรือไม่?”

จุนซ่างเซียวที่กล่าวด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “ภูตวิญญาณบรรพบุรุษนั้นจะเข้าทรงประทับร่างด้วยตัวเอง ไม่สามารถแสดงออกมาให้เห็นเองได้ จุนโหมวยากจะแสดงให้ดู.”

“ถุยยยยย”

เหว่ยอี้ไลแค่นเสียง “พูดโยกโย้ตั้งนาน ที่แท้ก็แค่โกหก.”

เหว่ยอี้เล่อเผยยิ้มอย่างชั่วร้าย กล่าวออกมาว่า “ดูเหมือนว่าภูตวิญญาณบรรพบุรุษประทับร่างเข้าทรงอะไรนั่น ก็แค่พูดจาไม่มีมูล ท่านเจ้าเมืองจะเชื่อไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าได้อย่างไร.”

จุนซ่างเซียวหาได้สนใจคนทั้งสอง “เจ้าเมืองเซี่ย กระบวนการกำจัดโจรภูเขา และดาบโจวเทียนป้า ยังไม่สามารถรับรองเปิ่นจั้วได้อีกรึ? ยังต้องการอะไรเพิ่มอีก?”

โถ่โว้ย น้ำลายแห้งล่ะ ยังไม่สำเร็จอีก?

ดูเหมือนว่าเจ้าเมืองคงจะไม่เชื่อง่าย ๆ แน่.

ระบบกล่าว “เจ้าเมืองแตกต่างจากคนทั่วไป มีประสบการณ์มากมาย จะเชื่อเจ้าง่าย ๆ ได้อย่างไร.”

“นั่นก็จริง.”

กำลังพิจารณารึ?

มีประสบการณ์ จนยากจะเชื่ออย่างงั้นรึ?

ก็ข้าเป็นคนจัดการเอง ยังต้องการอะไรอีก รีบเชื่อ เร็ว ๆเข้า.

“ติ๊ง!”

“ยินดีกับโฮสน์ภารกิจสนับสนุนสำเร็จแล้ว ได้รับ 10 แต้มสนับสนุน.”

“ติ๊ง!”

“คะแนนสนับสนุน: 86 / 100.”

ระบบ“......”

จุนซ่างเซียว“......”

เจ้าเมืองเซี่ยที่เผยยิ้ม “ปริศนาที่ทุกคนสงสัย ท้ายที่สุดก็ถูกคลายแล้ว.”

“เจ้าสำนักจุน.”เขาที่ยกมือขึ้นประสานเอ่ยออกมาว่า.

“เปิ่นเฉิงจู่ ขอบคุณท่านแทนประชาชนทุกคนในมนทลชิงหยาง ที่กำจัดภัยพิบัติค่ายโจรวายุทมิฬที่คุกคามพวกเรามาหลายปี.”

สองพี่น้องเหว่ยอี้เล่อถึงกับกลายเป็นโง่งมไปในทันที.

คำพูดที่ไร้สาระเช่นนั้น เจ้าเมืองยังเชื่ออีกรึ?

จุนซ่างเซียวที่ตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าก็รีบกล่าวออกมาอย่างจริงจังว่า “ข้าก็เป็นหนึ่งในคนมนทลชิงหยาง ถือเป็นงานของผู้กล้าทุกคน ในฐานะสำนักยุทธ์ การกำจัดมารร้ายถือว่าเป็นหน้าที่ พึงกระทำแล้ว.”

“ถือเป็นงานของผู้กล้า กำจัดมารร้ายคือหน้าที่พึงกระทำสินะ!”

แววตาของเจ้าเมืองที่เผยความชื่นชม ก่อนที่จะโบกมือ นำเงินรางวัลหนึ่งพันทองออกมา “เปิ่นเฉิงจู่ไม่เคยปฏิบัติอย่างไร้คุณธรรมกับผู้กล้า เจ้าสำนักจุนโปรดรับไปเถอะ!”

จุนซ่างเซียวที่ตาหลีตาเหลือกเร่งรีบเก็บเข้าแหวนมิติทันที พร้อมกับยกมือประสานไปด้านหน้า.“ขอบคุณ!”

ไม่มีแม้แต่เอ่ยปฏิเสธลังเลสักนิด ช่างเป็นชายที่หน้าหนาอย่างแท้จริง.

“เจ้าเมืองเซี่ย.”

เหว่ยอี้ไลที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด กล่าวออกมาว่า “หนึ่งพันทองถือเป็นจำนวนไม่น้อย ขอให้ท่านใคร่ครวญให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกคนไร้ยางอายคนนี้หลอกเอาได้.”

“ใช่แล้ว.”

เหว่ยอี้เล่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใครจะรู้ว่าดาบนี้คือของจริงหรือไม่ ขอพวกเราช่วยดูให้เจ้าเมืองดีหรือไม่.”

มารดาเถอะ.

น่ารำคาญชะมัด.

จุนซ่างเซียวแค่นเสียงเย็นชา “อาวุโสทั้งสอง คิดว่าเปิ่นจั้วเป็นพวกสิบแปดมงกุฎอย่างงั้นรึ?”

เหว่ยอี้เล่อเผยยิ้ม “เจ้าสำนักจุน อย่าได้เข้าใจผิด พวกเราเพียงต้องการเป็นผู้พิสูจน์เรื่องนี้.”

“พิสูจน์ความจริงอย่างงั้นรึ?”

จุนซ่างเซียวที่จับด้ามดาบ “หากต้องพิสูจน์ว่านี่เป็นของจริง เปิ่นจั้วต้องเอาชนะพวกเจ้าให้ได้สินะ.”

“ถูกต้อง.”เหว่ยอี้เล่อกล่าวตอบรับทันที.

......

บานลานยุทธ์.

จุนซ่างเซียวที่ถือดาบสะบั้นมังกรเขียว คิดในใจ “ยันต์ความเร็วเหลือเวลานานเท่าใด.”

ระบบตอบ “20 นาที.”

“20 นาทีรึ?”

จุนซ่างเซียวที่เผยยิ้มขึ้นมา “คงต้องรีบจัดการ ไม่เช่นนั้นคงไม่ทันกลับสำนักแน่.”

“โครม.”

เหว่ยอี้หนูที่ถือแส้โซ่ ก่อนที่จะเอ่ยกล่าวกับเจ้าเมืองเซี่ย “อาวุธไม่มีตา หากเกิดอุบัติเหตุอันใด ขอให้เจ้าเมืองเป็นพยานด้วย.”

เฮ้ย ๆ มันลืมไปแล้วรึไงว่าเพียงต้องการทดสอบว่าดาบเป็นของจริงหรือปลอม.

“ได้.”

เจ้าเมืองเซี่ยที่ราวกับเห็นเป็นเรื่องสนุก ไม่ได้ปฏิเสธ “เปิ่นเฉิงจูจะเป็นพยานให้เอง กระบี่ไม่มีตา อาจจะมีอุบัติเหตุขึ้นได้.”

หลังจากได้ยินคำตอบ เหว่ยอี้เล่อจดจ้องมองไปยังจุนซ่างเซียว เผยจิตสังหารที่รุนแรงออกมา “เจ้าสำนักจุน เจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง?”

“เข้ามา.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.

“ฟิ้ว!”

เหว่ยอี้เล่อที่แผ่พลังวิญญาณระดับศิษย์ยุทธ์ไปยังแส้โซ่ทันที แส้โซ่ที่ราวกับอสรพิษเลื้อยออกไปด้วยความเร็ว.

แข็งแกร่งทรงพลัง เห็นชัดเจนว่าเป้าหมายคือทำลายหมายชีวิตของเขา.

“ลงมือหนักไปแล้ว.”เจ้าเมืองเซี่ยที่ส่ายหน้าไปมา.

เขาพอจะได้ยินมาบ้างว่าที่ลานรับศิษย์ พวกเขามีความแค้นกัน แต่คาดไม่ถึงเลยว่าอาวุโสสำนักหลิงชวนคิดจะใช้โอกาสนี้ล้างแค้นอีกฝ่าย.

แล้วอีกฝ่ายล่ะจะรับมือได้ไหม?

ระหว่างที่เจ้าเมืองจับจ้อง ก็เป็นจุนซ่างเซียวที่ก้าวมาด้านหน้า กลายเป็นความว่างเปล่า หลบหลีกแส้โซ่ด้วยความเร็วสูง.

“นี่มัน......”

เจ้าเมืองเซี่ยถึงกับตะลึงงัน.

“ฟิ้ว!”

ในเวลาเดียวกัน จุนซ่างเซียวก็มาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเหว่ยอี้ไล สายตาที่เย็นชาดุร้าย เหวี่ยงดาบด้วยความเร็วสูงเห็นเพียงเงา.

“พรึด ซี่!”

ได้ยินเพียงเสียงโลหิตกระฉูด ศีรษะของเหว่ยอี้ไลลอยออกไป.

จุนซ่างเซียวยืนอยู่ด้านหลังศพ ก่อนที่จะขยับเก็บดาบคืน กล่าวออกมาอย่างไร้อารมณ์ “อาวุโสเหว่ย ดาบของข้า เป็นของจริงหรือของปลอม?”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด