Chapter 45 ค่าชดเชยหนึ่งเหรียญ
“ใช่แล้ว.”จุนซ่างเซียวเอ่ย “ทายาทตระกูลท่าน เป็นข้าที่สั่งสอนไปเอง.”
ใบหน้าของอ้ายชางเกอที่ยังสุขุม ทว่าแววตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว.
เขาที่ออกไปจัดการเรื่องภายนอกมาสองวัน เมื่อคืนเขาได้รับพิราบสื่อสารส่งมา เอ่ยว่าอ้ายโจวถูกทำร้าย เขาจึงเร่งรีบเดินทางมา แต่ก็ไม่รู้รายระเอียดทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง.
หากเป็นศิษย์ของสำนักตบตีกัน อ้ายชางเกอพอเข้าใจได้ ต้องไม่ลืมว่าจิตใจที่ร้อนรุ่ม พลังเต็มเปี่ยมของผู้เยาว์นั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น.
ทว่ากับการที่เจ้าสำนักลงมือ ไปต่อยตีกับผู้เยาว์ ไม่คิดว่ามันเสื่อมเสียเกียรติ หรือไม่?
อ๋า ใช่แล้ว.
เจ้าสำนักของสำนักขยะ ก็ไม่ต่างจากเศษขยะ ไม่ได้รู้จักวางสถานะตัวเอง กระทำตัวต่ำ ๆ มีอะไรต้องแปลกใจ.
นับตั้งแต่แรกแล้ว อ้ายชางเกอก็เผยความเหยียดหยันอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ยิ่งดูแคลนมากกว่าเดิม “เจ้าสำนักจุน เจ้าเป็นเจ้าสำนัก ผู้ปกครองสำนัก ลดตัวไปต่อยตีกับผู้เยาว์ ไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยรึ?”
จุนซ่างเซียวยักไหล่ “ทายาทตระกูลของท่าน นำคนมาหาเรื่องและทุบตีศิษย์ของข้า แม้แต่เอ่ยอ้างตระกูลตัวเองข่มขู่เปิ่นจั้ว การที่ข้าสั่งสอนเขา มีอะไรเกินไปรึ?”
“คนที่ขโมยยาของตระกูลอ้าย เป็นศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งอย่างงั้นรึ?”อ้ายชางเกอที่ใบหน้ามืดครึ้มเย็นชา.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ไม่ผิด.”
อ้ายชางเกอแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าสำนักจุน ศิษย์ของท่านขโมยยาของตระกูลข้า และทายาทตระกูลข้าถูกท่านทำร้าย ต้องชำระบัญชีสองเรื่อง.”
บรรยากาศที่กลายเป็นอึมครึมขึ้นมาทันที.
“อาวุโสอ้ายต้องการคิดบัญชีอย่างงั้นรึ?”จุนซ่างเซียวที่เผยยิ้มใจเย็น ราวกับเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก.
หากไม่มีภารกิจสนับสนุน บางทีเขาอาจจะเอ่ยกล่าวด้วยเหตุผล ค่อย ๆ พูดคุยกับฝ่ายตรงข้าม สะสางความแค้นในครั้งนี้ ทว่าตอนนี้เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น แม้แต่จงใจยั่วยุอีกฝ่ายด้วยซ้ำ.
อ้ายชางเกอที่เอ่ยออกมาเบา ๆ “เจ้าสำนักจุน ทำร้ายทายาทของข้า ขโมยเม็ดยาของตระกูลข้า ต้องการจะชดใช้อย่างไร.”
“ย่อมได้.”
จุนซ่างเซียวที่ส่งเงินออกไปหนึ่งเหรียญเงิน กล่าวออกมาว่า “นี่ถือว่าเป็นค่าชดเชย ถือว่าความแค้นทั้งสองข้อ หายกัน.”
อ้ายชางเกอที่ไม่รับ เหรียญเงินที่หล่นลงไปบนเท้าของเขา แววตาที่เย็นชา แผ่ออกมา เขาเอ่ยออกมาว่า “เจ้าสำนักจุน เจ้าต้องการสร้างความอับอายให้กับอ้ายโหมว ต้องการสร้างความอับอายให้กับตระกูลอ้ายของข้าอย่างงั้นรึ?”
หนึ่งเหรียญเงินสำหรับคนทั่วไปถือว่าเป็นจำนวนมหาศาล ทว่าสำหรับอาวุโสตระกูลอ้ายย่อมไม่เห็นมันอยู่ในสายตา กับการที่จุนซ่างเซียวส่งเงินจำนวนนี้ออกมา เท่ากับเป็นการสร้างความอับอายให้กับตัวเอง
“เปิ่นจั้วต้องการชดเชยด้วยความจริงใจ.”
“หากคิดว่าเป็นการดูแคลน ข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้.”
จุนซ่างเซียวที่ผายมือ แสดงท่าทางราวกับว่าไม่ใส่ใจกับการกระทำของตัวเอง.
อ้ายชางเกอที่ไม่สามารถระงับความโกรธเอาไว้ได้แล้ว แค่นเสียงเย็นชา “ข้าเห็นแก่พันธมิตรร้อยสำนัก อ้ายโหมวจึงพูดคุยกับเจ้าสำนักจุนดี ๆ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าไม่สมควรที่จะได้รับเกียรตินั้น!”
“พูดจาไร้สาระอยู่ได้.”
จุนซ่างเซียวกล่าว “เจ้าต้องการต่อสู้อย่างงั้นรึ?”
ต้องไม่ลืมว่าอ้ายชางเกอเป็นอาวุโสตระกูลอ้าย จึงได้รักษาภาพพจน์และยกมือประสานหน้าอกเอ่ยกล่าวออกมาว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักจุนเอาชนะอาวุโสสำนักหลิงชวนในเมืองชิงหยาง อ้ายโหมวจึงต้องการขอคำชี้แนะบ้าง.”
“เช่นนั้นก็เข้ามา.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
อ้ายชางเกอที่เผยยิ้มเล็กน้อย กล่าวออกมาว่า “ที่นี่ไม่เหมาะที่จะประลอง ทำไมไม่เข้าไปในลานยุทธ์ของสำนักไท่กู่เจิ้งล่ะ?”
เจ้าคนนี้ต้องการที่จะสั่งสอนข้าต่อหน้าศิษย์รึ? ต้องการให้ข้าได้รับความอับอายต่อหน้าคนของตัวเอง จุนซ่างเซียวที่เข้าใจความคิดฝ่ายตรงข้ามได้ เขาผายมือขึ้น “เชิญ.”
แล้ว...ไม่มีใครต้องการเงินหนึ่งเหรียญเงินอย่างงั้นรึ?
......
บนลานยุทธ์.
จุนซ่างเซียวและอ้ายชางเกอที่ยืนอยู่ห่างกันสิบจั้ง(3.33 m) ต่างก็จ้องมองกันและกัน บรรยากาศที่ดูอึมครึมเล็กน้อย ต่างคนต่างใช้สายตาข่มขวัญกัน.
“คน ๆ นั้นคืออาวุโสตระกูลอ้ายอย่างงั้นรึ?”
“กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั่น ควรจะมีดินแดนศิษย์ยุทธ์!”
รอบ ๆ ลานยุทธ์ เหล่าศิษย์ที่ไม่ได้ไปทำภารกิจ ต่างก็พูดคุยกันเสียงต่ำ จ้องมองมาด้วยท่าทางหวั่นเกรง.
แม้นว่าระดับศิษย์ยุทธ์จะเป็นเขตแดนที่สองของการบ่มเพาะในทวีปชิงหยุน ต่อหน้ายอดฝีมือหาได้มีอะไรเลย ทว่าต่อหน้าเขตแดนเปิดชีพจร ถือว่าทรงพลังเป็นอย่างมาก.
“เจ้าสำนักจะเอาชนะเขาได้รึ?”
“หัวหน้าใหญ่ โจรภูเขา เทือกเขาทมิฬก็มีระดับศิษย์ยุทธ์ เจ้าสำนักยังสังหารมาได้เลย การจะเอาชนะเขาคงไม่มีปัญหา.”
“ไม่ผิด ไม่ผิด.”
ทุกคนที่เผยท่าทางวางใจ.
อ้ายชางเกอที่ได้ยินเสียงพูดคุยกัน เขาก็ตกใจเล็กน้อย “เจ้าเป็นคนสังหารโจรภูเขาเทือกเขาทมิฬอย่างงั้นรึ?”
“มีปัญหาอะไรอย่างงั้นรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
ปัญหา ปัญหาใหญ่เลยไม่ใช่รึไง!
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ทางการและเหล่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักใหญ่ที่ร่วมมือกัน บุกเข้าโจมตีป้อมปราการวายุทมิฬซ้ำอีกครั้ง.
ท้ายที่สุดนะรึ? หลังจากที่พวกเขาเริ่มลงมือ ก็พบว่าฐานป้อมปราการนั้นได้ถูกไฟไหม้ ลานยุทธ์มีศพที่ถูกเผากว่าสองร้อยศพ.
ในเวลานั้นทุกคนถึงกับกลายเป็นโง่งม.
ผ่านไปนานเหมือนกัน พวกเขาถึงตระหนักได้ว่า ค่ายวายุทมิฬถูกทำลายสิ้นแล้ว.
ข่าวนี้เพิ่งปรากฏขึ้นไม่นานมานี่เอง ข่าวโจรภูเขาที่ถูกสังหารกระจายไปทั่วมนทลชิงหยางเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นเรื่องใหญ่โตที่ถูกกล่าวถึง ประชาชนเมืองต่าง ๆ โหมกระหน่ำข่าว แม้แต่ตีฆ้องฉลองชัยกันยกใหญ่ เป็นการเฉลิมฉลองไปทั่วบ้านทั่วเมือง.
ผู้คนต่างก็พูดคุยกัน ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนจัดการโจรภูเขาที่สร้างหายนะตลอดหลายปีที่ผ่านมา?
ผู้ฝึกยุทธ์บางคนถึงกับคาดเดาว่าคงเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ ทว่า หลังจากตรวจสอบอยู่เกือบเดือน แต่กับไม่สามารถระบุใครได้.
ทุกคนยังคงสงสัยอยู่เนือง ๆ ว่าเป็นใครกันแน่ แม้แต่คาดเดาว่าเขาอาจตายไปพร้อมกับการล้างบางโจรภูเขาในครั้งนั้นแล้ว.
และไม่กี่วันมานี้เริ่มมีข่าวลือแปลก ๆ ว่าอาจมียอดยุทธ์ที่มีพลังฝึกตนลึกล้ำผ่านมาเทือกเขาทมิฬ และลงมือจัดการโจรภูเขาไป.
พวกเขาคิดว่าโจรภูเขานั้นชั่วร้าย เป็นปิศาจร้ายที่สร้างหายนะให้กับคนบริสุทธ์มากมาย จนทำให้สวรรค์โกรธเกรี้ยว ส่งเซียนลงมาสู่โลกมนุษย์ พร้อมกับกำจัดความชั่วร้ายออกไป.
หลากลายความคิด หลากหลายข่าวลือที่โหมกระหน่ำไปทั่วมนทลชิงหยาง เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากนั่นเอง.
ในเวลาเดียวกัน เจ้าเมืองชิงหยางหลังจากยืนยันโจรภูเขาถูกสังหารไปหมดแล้ว ถึงกับประกาศอย่างเป็นทางการ หวังว่าคนที่จัดการปิศาจร้ายจะปรากฏตัวและยอมรับเงินตอบแทนที่มีมูลค่าถึงหนึ่งพันทอง.
หนึ่งเหรียญทองเท่ากับสิบเหรียญเงิน หนึ่งพันทองก็เท่ากับหนึ่งหมื่นเงิน!
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์มากมายถึงกับดวงตาลุกวาวในค่าตอบแทนดังกล่าว ถึงกับยอมเสี่ยงแกล้งว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมคนนั้น และท้ายที่สุดก็ถูกจับขังคุกไปคนแล้วคนเล่า.
เรื่องของค่ายวายุทมิฬถูกกำจัดไปนั้น เป็นเรื่องใหญ่มาก แน่นอนว่าอ้ายชางเกอ ย่อมได้ยิน ทว่าภายในใจของเขา คนที่นำความยุติธรรมกำจัดมารร้ายสังหารโจรภูเขาจำนวนมากไป อย่างน้อยต้องมีพลังบ่มเพาะมากว่าระดับศิษย์ยุทธ์.
ทว่าตอนนี้?
ศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้ง คาดไม่ถึงจะเอ่ยว่า เป็นเจ้าสำนักของพวกเขาเป็นยอดยุทธ์คนนั้นอย่างงั้นรึ?
“ชิ.”
อ้ายชางเกอที่เอ่ยออกมาเล็กน้อย “เจ้าสำนักจุน เรื่องกำจัดโจรภูเขา หากเจ้าเป็นคนทำจริง ๆ แล้วทำไมถึงไม่ไปขอรับเงินรางวัลที่มูลค่าถึงหนึ่งพันทองล่ะ?”
ขอเพียงเป็นคนธรรมดา ย่อมไม่มีใครเชื่อแน่นอนว่า จุนซ่างเซียวระดับเปิดชีพจร จะสามารถทำลายค่ายวายุทมิฬที่แข็งแกร่งได้.
“รับเงินรางวัลหนึ่งพันทองอย่างงั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
อ้ายชางเกอกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล “เจ้าสำนักจุน ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้หมด แต่เจ้ากับไม่รู้อย่างงั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวถึงกับพูดไม่ออก.
แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไงล่ะ?
อย่างไรก็ตาม ด้วยเชาว์ปัญญาที่มี ก็สามารถคาดเดาได้เช่นกัน เรื่องกำจัดโจรภูเขาคงกระจายไปทั่วแล้ว และมีรางวัลถึงหนึ่งพันทอง บางทีเงินรางวัลนี้คงจะเป็นเงินรางวัลที่ทางการมอบให้.
“คงต้องไปยังเมืองชิงหยางเพื่อดูหน่อยแล้ว.”
จุนซ่างเซียวที่ต้องการพัฒนาสำนัก แม้ว่าจะมีระบบคอยช่วยเหลือจำนวนมาก ทว่าเงินก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี.
“ฟิ้ว!”
อ้ายชางเกอที่สะบัดมือออกไป บนมือของเขานั้นปรากฏกระบี่ยาวสามฉื่อ (0.33 m) ปรากฏขึ้น พร้อมเอ่ยออกมาว่า “ได้ยินเจ้าสำนักจุนนั้นมีกระบี่คุณภาพระดับสูง อ้ายชางเกอต้องการชื่นชมเป็นบุญตา.”
กระบี่ในมือของเขามีอักขระที่สลักอยู่ ดูคล้ายกับอสูรมังกรที่มีชีวิต กลิ่นอายความคมของกระบี่ที่แผ่ออกมา สามารถบอกได้ว่ามันเป็นศาสตราวุธที่มีคุณภาพไม่ธรรมดา.
“ได้ดั่งที่เจ้าหวัง.”
จุนซ่างเซียวที่สะบัดมือออกไป กระบี่หานเฟิงระดับสามัญขั้นต้นก็ปรากฏขึ้น กลิ่นอายที่เย็นยะเยือบแผ่ออกไปทั่วลานยุทธ์ทันที.
“เป็นกระบี่ที่ดี!”
“แต่ไม่คู่ควรกับคนระดับต่ำเช่นเจ้า.”
“......”