Chapter 37 เจ้าสนใจใครบ้างไหม?
หลังจากกลับมายังที่พักของตัวเอง จุนซ่างเซียวถึงกับลูกขึ้นเต้นด้วยความยินดี “ศิษย์มากมายทะลวงชีพจรสำเร็จ สำนักไท่กู่เจิ้งกำลังแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า เดี๋ยว ๆ ข้าต้องสุขุม!”
เขาสั่งให้หลี่ชิงหยางเรียนรู้ที่จะปรับตัว เขาจะตื่นเต้นเกินเหตุได้อย่างไร ไม่ได้ ไม่ได้.
ถึงเขาจะพูดเช่นนั้น.
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น จนไม่อาจระงับเอาไว้ได้เหมือนกัน.
จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไรเพราะว่าเมื่อเหล่าศิษย์ทรงพลัง ไม่ได้หมายความว่าสำนักต้องทรงพลังขึ้นด้วยรึ? หากเป็นไปตามเส้นทางนี้ ภารกิจหลักสำนัก ก็มีโอกาสสำเร็จสูง เขาก็จะสามารถจัดการเรื่องระเบิดเวลาได้.
หากไม่เพราะเส้นตายของระเบิดเวลาล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ที่จุนซ่างเซียวจะกระตือรือร้นในการพัฒนาสำนักไท่กู่เจิ้งขนาดนี้ เขาคงใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอย่างไร้กังวลไปแล้ว.
“วันนี้ข้าจะบ่มเพาะ รวบรวมพลังวิญญาณเพื่อทะลวงเส้นชีพจร หวังว่าจะทะลวงผ่านไปยังขั้นที่สิบเอ็ดได้.”
เขาที่นั่งสมาธิพร้อมกับบ่มเพาะโคจรวิชาฝึกฝนในทันที.
50 แต้มสนับสนุน จุนซ่างเซียวไม่คิดที่จะซื้อสินค้าชั่วคราว อย่างแรกมันยังไม่จำเป็น อย่างที่สอง เขาต้องการที่จะทะลวงเส้นชีพจรด้วยตัวเองดู.
และสิ่งสำคัญที่สุด เขาที่ลอบคิดในใจ หากสามารถทะลวงชีพจรได้ด้วยตัวเองได้ เขาอาจจะสามารถทำภารกิจลับได้สำเร็จ อาจจะได้รางวัลแต้มสนับสนุนด้วย.
หนึ่งคืนที่เขาบ่มเพาะพลัง.
จุนซ่างเซียวรวบรวมพลังวิญญาณเพียงพอและเริ่มต้นทะลวงเส้นชีพจร!
เช้าวันถัดมา เขาก็ก้าวออกจากห้องด้วยความห่อเหี่ยว พร้อมกับสูดหายใจลึก “กับโอกาสความสำเร็จที่สูงขนาดนี้กับล้มเหลว หรือว่าข้าจะไม่สามารถทะลวงระดับได้ด้วยตัวเองกัน?”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร.”
“ข้ายังมีวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นที่ไม่ธรรมดา ไว้อีกสักสองสามวันควบรวมพลังวิญญาณได้เพียงพอ ครั้งหน้าอาจจะสำเร็จก็ได้!”
จุนซ่างเซียวที่ปลอบใจตัวเอง และก้าวเข้ามาในห้องโถง.
หลี่ชิงหยางที่ก้าวเข้ามาด้วยความตื่นเต้นดีใจเช่นกัน.“เจ้าสำนัก ศิษย์ทะลวงผ่านระดับเปิดชีพจรขั้นที่สิบเอ็ดแล้ว!”
“งั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวกล่าว “ไม่เลว.”
ภายในใจที่แอบโอดครวญเหมือนกัน “รากวิญญาณระดับสูง น่าอิจฉาจริง ๆ อ๊าก ๆ!”
หลี่ชิงหยางที่ยังคงเก็บสถิติเหมือนกับเมื่อวาน วันนี้มีศิษย์ 20 คนทะลวงชีพจร สำเร็จ 12 คน ล้มเหลวแปดคน.
บางทีเพราะคำพูดของเจ้าสำนักเมื่อวาน ทำให้เวลานี้เขาได้ปรับตัวได้แล้วจริง ๆ.
จุนซ่างเซียวกล่าว “บอกศิษย์ที่ทะลวงชีพจรล้มเหลว นี่เพียงแค่ความล้มเหลวชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่ล้มเหลวตลอดไป ขอเพียงยังมีจิตใจที่มั่นคง ย่อมสำเร็จได้อย่างแน่นอน.”
คำพูดดังกล่าวนี้ คล้ายว่ากำลังปลอบใจตัวเขาด้วยหรือไม่?
......
สองสามวันหลังจากนั้น.
ด้วยการบ่มเพาะด้วยวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น ศิษย์ทุกคนเกือบที่จะสามารถยกระดับจากพลังบ่มเพาะเดิมไปยังระดับใหม่ได้ทั้งหมด ภายในสำนักเวลานี้เต็มไปด้วยบรรยากาศคึกครื้น.
“มันยอดเยี่ยมมาก!”
“ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า จะทะลวงเส้นชีพจรได้ง่ายขนาดนี้!”
“วิชาบ่มเพาะที่เจ้าสำนักคิดค้น ราวกับวิชาเทพสวรรค์!”
ขณะที่ศิษย์ทะลวงชีพจรสำเร็จ ต่างก็ตื่นเต้นดีใจ บ้างก็ชื่นชมเทิดทูน จุนซ่างเซียวเป็นอย่างมาก.
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เจ้าสำนักจุนกับรู้สึกโศกเศร้าอย่างหนัก เพราะว่าเขาล้มเหลวในการทะลวงชีพจรครั้งที่สองอีกแล้ว.
เขาที่นั่งห่อเหี่ยวเศร้าใจ เอ่ยออกมาอย่างขมขื่น “เพิ่มความสำเร็จในการทะลวงชีพจร 50% ดูเหมือนว่าตั้งแต่รีเฟรชได้วิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นระดับเทวะ โชคของข้าก็หายไปทั้งหมดแล้ว.”
แม้นว่าจะล้มเหลวถึงสองครั้งแล้ว ทว่าก็ยังได้ประโยชน์หลายอย่างเช่นกัน.
เส้นปราณ กล้ามเนื้อและอวัยวะภายในทั้งห้าเวลานี้ เห็นชัดเจนว่ามันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก.
เหล่าศิษย์ทุกคนเองก็ด้วย.
และยิ่งไปกว่านั้นรูปร่างที่เข้ารูปกระชับ ยิ่งเหล่าศิษย์สตรีเวลานี้ รูปร่างเพรียวงามสมส่วนเป็นอย่างมาก.
ด้วยการบ่มเพาะ ด้วยวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น ไม่เพียงแต่ยกระดับการบ่มเพาะ ร่างกายยังแข็งแรง สาวกทั้งบุรุษและสตรี เวลานี้ล้วนแต่มีรูปร่างโดดเด่นกันทุกคน.
“เจ้าสำนัก.”
หลี่ชิงหยางที่ก้าวเข้ามาหา “เหล่าช่างฝีมือมากันแล้ว ให้เริ่มซ่อมแซมลานสวนด้านในเมื่อไหร่?”
“วันนี้เลย.”
“ครับ.”
......
เพราะว่าลานสวนด้านในกำลังซ่อมแซมปรับปรุง จุนซ่างเซียวจึงต้องออกมาจากตำหนักชั่วคราว.
“ตึก ตึก.”
ลู่เชียนเชียนที่ก้าวเดินออกมา รองเท้าบู๊ตสีขาวที่สร้างเสียงบนพื้น เพราะว่าบ่มเพาะด้วยวิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ขาทั้งสองข้างของนางเรียวงามสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก.
นี่คือสาวงามที่อยู่บนจุดยอดอย่างแท้จริง รูปร่างที่เกินจะต้าน โค้งเรียวได้รูปราวกับหยกสลัก.
หากไปอยู่ในโลกเดิมของจุนซ่างเซียว เธอคือสุดยอดนางแบบที่โด่งดัง ชิงตำแหน่งกวาดทุกรางวัลของดารานำฝ่ายหญิงอย่างไม่ต้องสงสัย.
จุนซ่างเซียวสีคางไปมา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม “เป็นสาวงาม จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง.”
ลู่เชียนเชียนที่หยุดกึก ขณะพบว่ามีคนจ้องมองและพูดคุยกับนาง คิ้วของนางที่ขมวดไปมา เอ่ยออกมาว่า “พวกผู้ชาย สนใจที่จะมองผู้หญิงขนาดนั้นเลยรึ?”
“สนใจ.”
จุนซ่างเซียวที่กล่าวออกมาตามตรง.
บุรุษทุกคนย่อมชอบมองสตรีผู้งดงาม หากไม่มองผู้หญิงที่งดงามสิ ถือว่าผิดปรกติ.
“......”
ลู่เชียนเชียนที่เงียบไปชั่วขระ.
นางที่คาดไม่ถึงเลยว่า เจ้าสำนักจะกล่าวอย่างเปิดเผยเช่นนั้น.
“เชียนเชียน.”
จุนซ่างเซียวกล่าว “ด้วยอายุของเจ้าแล้ว มีคนสนใจบ้างหรือไม่?”
กับสตรีที่งดงามเช่นนี้ การได้เป็นคนรักนับว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม เจ้าสำนักจุนเองก็ไม่ต้องการจะอยู่เป็นหมาโสดไปตลอดชีวิตแน่นอน อย่างน้อยก็ควรจะมีอะไรทำให้เบิกบานใจบ้าง.
“มีใครสนใจรึ? หมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าหมายถึงความรัก...ไม่ใช่ ไม่ใช่ หากจะพูดถึงคำพูดในทวีปชิงหยุน ระหว่างคนสองคน ควรจะมีความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปข้างหน้าอีกขั้น.”
“ท่านกำลังจะเอ่ยถึงว่าตกหลุมรักใครนะรึ?”
“ใช่ ใช่ ข้าหมายถึงคนรัก เกี่ยวกับความรัก......”
ราวกับเป็นคำพูดต้องห้าม ดวงตาของลู่เชียนเชียนที่แผ่จิตสังหารที่รุนแรงออกมา.
จุนซ่างเซียวถึงกับสั่นสะท้าน ยังกล่าวไม่จบด้วยซ้ำต้องกลืนคำพูดลงไป ก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อในทันที “เจ้ามาที่นี่ มีอะไรต้องการพูดกับเปิ่นจั้วอย่างงั้นรึ?”
ลู่เชียนเชียนที่เก็บจิตสังหารและเอ่ยออกมาว่า “เจ้าสำนัก ไม่ใช่ว่าควรจะตัดผ่านระดับได้แล้วรึ?”
สตรีผู้นี้ นางมีพรสวรรค์ที่ชอบพูดจี้จุดอ่อนคนอื่นรึอย่างไรกัน!
จุนซ่างเซียวที่กุมหน้าอก กล่าวออกมาด้วยความเจ็บปวด “เชียนเชียน นี่เจ้าจงใจกล่าวเหน็บแนมเปิ่นจั้วอย่างงั้นรึ?”
ลู่เชียนเชียนเอ่ย “ท่านเป็นเจ้าสำนัก เป็นผู้นำของสำนักไท่กู่เจิ้ง หากไม่สามารถยกระดับพลังฝึกตนได้ จะสั่งการ สั่งสอนศิษย์ให้ปฏิบัติตามได้อย่างไร?”
“วางใจได้.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เปิ่นจั้ว หากต้องการยกระดับพลังบ่มเพาะละก็ ไม่เกินเสี้ยวนาทีอยู่แล้ว.”
ไม่ใช่ว่าโม้เกินควร ทว่าด้วยคะแนนสนับสนุนที่สามารถแลกเปลี่ยนพลังฝึกตนได้ ไม่อาจกล่าวได้ว่าจะตัดผ่านไปยังระดับศิษย์ยุทธ์ได้ ทว่าการจะทะลวงชีพจรทั้งสิบสองก็เป็นเรื่องง่าย ๆ นิดเดียว.
ลู่เชียนเชียนที่โพลงออกมา “หากไม่สามารถทำได้ ก็ควรพิจารณามอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้กับข้า ข้าจะนำพาสำนักไท่กู่เจิ้ง กลายเป็นผู้มีอำนาจในมนทลชิงหยางนี้ แห่งอย่างรวดเร็ว.”
เขารู้ดีว่า สตรีผู้นี้มีใจต้องการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักของเขา.
จุนซ่างเซียวก้าวเข้าไปยืนอยู่ด้านหน้านาง ห่างกันเพียงหนึ่งเมตร สายตาทั้งสองข้างที่จ้องมองสบตากัน เขากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เป็นผู้มีอำนาจในมนทลชิงหยางอย่างงั้นรึ? เป้าหมายช่างเล็กนัก เปิ่นจั้วนั้นคิดว่าจะเป็นผู้มีอำนาจทั่วทั้งทวีปชิงหยุนเลย.”
เพราะว่าเข้ามาใกล้ ทำให้ได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากร่างกายของนาง.
“ชิ!”
ลู่เชียนเชียนแค่นเสียงเย็นชา.
ทว่านางที่ไม่หลบตาแม้แต่น้อย ยังคงจ้องมองและเอ่ยกล่าวออกมาว่า “ท่านคิดว่าจะพัฒนาสำนัก เพียงเพราะมีแค่วิชาบ่มเพาะระดับเทวะอย่างเดียวนะรึ?”
“แล้วต้องมีอะไรล่ะ?”
“นิกายที่ทรงพลังนั้น มีรูปแบบการบ่มเพาะที่เป็นระบบสมบูรณ์แบบ มีอาวุโสที่โดดเด่นคอยสอน และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายตลอดจนทรัพยากรที่เพรียบพร้อม ยกตัวอย่างทักษะยุทธ์และเม็ดยา สิ่งเหล่านี้ เจ้าสำนักมีงั้นรึ?”
“ไม่มีตอนนี้.”จุนซ่างเซียวที่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากแต่หลังจากนี้จะมี.”
“หวังไว้เช่นนั้น.”
ลู่เชียนเชียนกล่าว “ข้าขอไปชี้แนะศิษย์คนอื่นก่อน.”
“ฟิ้ว!”
หลังจากออกมาจากห้องโถงแล้ว นางที่พ่นลมหายใจเล็กน้อย พยายามที่จะทำให้จิตใจกลับคืนสู่ปรกติ “เห็นชัดเจนว่าเจ้าสำนักมีพลังบ่มเพาะต่ำกว่าข้า ทำไมข้าถึงรู้สึกกระวนกระวายหวาดหวั่นเช่นนี้กัน?”
“ดูเหมือนว่า ความเข้าใจในวิชาลับหัวใจเหมันตร์ลึกล้ำของข้าจะยังไม่พอเพียง ทำให้ไม่สามารถควบคุมจิตใจให้สงบเหมือนผืนน้ำได้.”