Chapter 33 สถานะของลู่เชียนเชียน?
หลี่ชิงหยางที่ลงเขาไปในวันเดียวกัน จากนั้นก็ค้นหาร้านตัดเสื้อผ้าที่มีฝีมือ ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็กลับมาพร้อมกับเครื่องแบบสำนัก 200 กว่าชุด.
ขอเพียงแค่มีเงิน ทุกอย่างก็ง่ายไปหมด.
จุนซ่างเซียวที่สั่งให้ศิษย์เปลี่ยนชุดใหม่ ก่อนที่จะมารวมตัวกันที่ลานยุทธ์.
ไม่นานหลังจากนั้น ศิษย์ชายที่เปลี่ยนชุดก็ออกมา พวกเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงิน ด้านในเป็นชุดเสื้อแขนสั้น กางเกงเข็มขัด แม้แต่รองเท้าบูต ก็มีสีน้ำเงิน.
“ศิษย์พี่รอง ชุดของท่านหวือหวามาก?”
“คอเสื้อที่เปิดกว้างมาก เผยให้เห็นหน้าอกทั้งหมด หากสวมออกไปด้านนอกอาจจะกลายเป็นตัวตลกให้คนหัวเราะเยาะเป็นแน่!”
เหล่าศิษย์มากมายที่วิพากวิจารณ์กันเสียงดังอื้ออึง.
ภายในทวีปชิงหยุนชุดของพวกเขานั้นคล้ายกับชุดจากราชวงศ์โบราณที่โลกเดิม ส่วนชุดสำนักที่จุนซ่างเซียวออกแบบนั้น ดูกระชับและหวือหวาเป็นอย่างมาก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะโอดครวญเสียงดังระงม.
“เฮ้อ.”
หลี่ชิงหยางที่ถอนหายใจยาว.
เขาได้เห็นรูปแบบชุดที่เจ้าสำนักออกแบบก่อนหน้านี้แล้ว เป็นรูปแบบที่ดูทันสมัยไม่น้อย ทว่าเมื่อสวมจริงในวันนี้ เขาแทบทรุดไปเหมือนกัน.
จากนั้นไม่นาน.
เหล่าศิษย์หญิงก็ออกมาจากลานสวนด้านใน.
พวกนางสวมชุดสีแดง ตั้งแต่ข้อมือที่สวมเป็นปลอกแขนตาข่ายประณีต ชุดรัดรูปมองเห็นทรวดทรงองเอวที่คอดกิ่วเข้ารูป กระโปรงสั้นถึงเข่า พร้อมกับรองเท้าบู๊ตสีแดงที่ปกปิดเรียวขาขับเน้นให้ขาสองข้างดูเรียวงามเป็นพิเศษ.
ชุดของสตรี ที่แหวกแนวต่างจากเสื้อผ้าของสตรีในทวีปแห่งนี้ชัดเจน ชุดของสตรีในทวีปแห่งนี้จะเป็นเสื้อผ้าตัวใหญ่มีลายปักษ์.
ส่วนชุดที่จุนซ่างเซียวออกแบบนั้น จะเป็นชุดที่รัดรูป กระชับเหมือนกับชุดของทหารหญิง.
“ว้าว!”
“ศิษย์พี่ ช่างงดงามยิ่งนัก!”
เหล่าศิษย์ชายที่จ้องมองเป็นสายตาเดียวกัน ใบหน้าตื่นตะลึง เผยท่าทางหื่นกระหายเล็กน้อย.
“ศิษย์พี่ ดูพวกเขามองมาที่พวกเราสิ!”
“สวมชุดเช่นนี้ รู้สึกอับอายจริง ๆ!”
สตรีในทวีปชิงหยุน ค่อยข้างหัวโบราณ เสื้อผ้ามักจะปกปิดมิดชิด การที่จะมีคนสวมชุดที่คล้ายบุรุษเพศนั้น แน่นอนว่ายากจะยอมรับได้.
กับความคิดแนวโบราณที่ถูกฝักลึกมานาน ทำให้ชุดของจุนซ่างเซียวผิดแผกแหวกแนวเป็นธรรมดา.
แม้นยากจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องทำใจ.
เพราะนี้คือคำสั่งของเจ้าสำนัก ไม่สามารถขัดขืนได้.
“เอ๊ะ! ศิษย์พี่หญิงใหญ่มาแล้ว.
ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ตะโกนออกมาเป็นคนแรก ทุกคนที่จับจ้องมองไปยังที่ทางออกสวนด้านใน เห็นเพียงลู่เชียนเชียนที่สวมชุดงดงามเผ็ดร้อนในชุดสีแดง ร้องเท้าบู๊ตสีแดง พลางขมวดคิ้วแน่น.
สตรีผู้นี้สวมชุดสีขาวอยู่ตลอดเวลา เป็นเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ยากจะเข้าถึง เวลานี้เปลี่ยนมาสวมชุดสีแดงที่เผ็ดร้อน ทำให้ดูงดงามมีเสน่ห์ราวกับดอกุหลาบ.
อย่างไรก็ตาม..ดอกกุหลาบดอกนี้เต็มไปด้วยหนามแหลมคม ใบหน้าที่เย็นชา ดวงตาโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง มันราวกับจะไหม้ลามแผดเผาทุกคนที่มองมา.
เหล่าศิษย์ทุกคนเร่งรีบถอนสายตากลับมา ลอบเอ่ยกล่าวอยู่ในใจ “ใครที่ทำให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่โกรธขนาดนี้กัน?”
“ตึก ตึก!”
ลู่เชียนเชียนที่มาหยุดที่หน้าลานยุทธ์ เพราะว่าอาการหงุดหงิดโกรธเกรี้ยวของนาง ทุกย่างก้าวของนางพื้นดินถึงกับสั่นสะเทือน.
เหล่าศิษย์หลายคนที่ตามมาถึงกับหวาดผวา หลาย ๆ คนที่ยืนอยู่ห่าง ๆ จากศิษย์พี่หญิงใหญ่.
หลี่ชิงหยางที่ส่ายหน้าไปมา เขารู้ดีว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่กำลังโกรธ แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับชุดของเจ้าสำนักแน่นอน.
“แค๊ก แค๊ก.”
ในเวลาเดียวกัน จุนซ่างเซียวนั้นสวมชุดคลุมยาว ก้าวออกมาจากห้องโถง ข้อมือของเขาที่สวมปลอกข้อมือเป็นสีขาว แม้แต่รองเท้าบู๊ตเองก็เป็นสีขาว.
ชุดของเจ้าสำนักที่เหมือนกับนายน้อยตระกูลขุนนาง เสื้อผ้าขาวล้วนดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก.
“ไม่เลว ไม่เลวเลย.”
จุนซ่างเซียวก้าวเดินออกมา พร้อมกับกล่าวชื่นชมตัวเอง “ท้ายที่สุดก็ดูเหมือนกับเจ้าสำนักสักที.”
ขณะเดียวกัน เขาก็หันหน้าจับจ้องมองไปยังลู่เชียนเชียน พร้อมกับสีคางไปมา “สตรีที่งดงามอยู่แล้ว สวมชุดนี้แล้วยิ่งดูงดงามขึ้นอีก.”
ทว่าสายตาของลู่เชียนเชียนที่มองคนเวลานี้ราวกับมีเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ จนคนอื่น ๆ ต้องก้มหน้าปิดปากแน่น.
“เจ้าสำนัก.”
ลู่เชียนเชียนที่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา.“ข้าไม่ชอบสีแดง.”
จุนซ่างเซียวที่เผยยิ้ม “สีแดงเป็นสีของความสดใสและร่าเริง ไม่ใช่ว่าเป็นสีที่สตรีชื่นชอบมากที่สุดหรอกรึ?”
“น่ารังเกียจ น่ารังเกียจที่สุด.”ลู่เชียนเชียนเอ่ย.
จุนซ่างเซียวมุมปากกระตุก.
ต่อหน้าศิษย์มากมาย นางไม่ไว้หน้าเปิ่นจั้วเลยรึ? อ๊าก!
ลู่เชียนเชียนที่ตระหนักได้ว่าตัวเองกระทำตัวไม่เหมาะสม จึงได้สูดหายใจลึก ใบหน้าที่เอ่ย ออกมาด้วยความเจ็บปวด “หากเจ้าสำนักต้องการให้ข้าสวมใส่ชุดเช่นนี้ ศิษย์ก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับ.”
แม้นว่านางจะกล่าวเหน็บแนมจุนซ่างเซียวอยู่บ่อยครั้ง ทว่าอย่างไรก็ตาม นางก็เป็นศิษย์ หาไม่แล้วคงไม่มีใครสามารถบังคับให้นางสวมชุดที่ไม่ชอบนี้ได้แน่.
จากใบหน้าท่าทางของนางที่ดูเจ็บปวด จุนซ่างเซียวแอบคิดในใจ “ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบสีแดง บางทีอาจมีบางอย่างเกิดขึ้น ที่ทำให้นางรังเกียจและเจ็บปวด ไม่ต้องการจะจดจำมันเอาไว้.”
“เข้าใจแล้ว.”
เขาเอ่ย “ชิงหยาง เจ้าลงเขานำแบบที่ให้ไว้ ไปเปลี่ยนเป็นสีขาวให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเจ้า.”
“รับทราบ.”
หลี่ชิงหยางที่รับคำ พร้อมกับแอบคิดในใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เป็นใครมาจากใหนกัน?”
หลายวันมานี้ ลู่เชียนเชียน แม้ว่าจะดูสุขุมเงียบงัน ทว่าท่าทางของนางดูไม่ธรรมดาเลย แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากใหนกัน.
“เครื่องแบบสำนัก ในเมื่อเปลี่ยนกันหมดแล้ว การใช้ชีวิตในสำนักก็ถือว่าได้เริ่มขึ้นแล้ว นับจากพรุ่งนี้ ศิษย์พี่รองจะทำหน้าที่ในการสอนพวกเจ้าในทุก ๆ วัน.”
จุนซ่างเซียวทำการประกาศดัง.
หลี่ชิงหยางที่ยังไม่จากไป แทบทรุดล้มลงไปกองกับพื้น.
ตั้งแต่เข้าสำนักมา เขารับผิดชอบในการฟื้นฟูซ่อมแซมสำนักด้านนอก ด้านใน ช่วยแก้ไขกฎสำนัก และยังรับหน้าที่ไปสั่งตัดชุดเครื่องแบบของสำนักด้วย ตอนนี้ยังรับหน้าที่สั่งสอนทุกคน ทุกวันอีกรึ?
ข้าเป็นศิษย์ หรือพ่อบ้านกันแน่ ?
เฮ้อ.
หลี่ชิงหยางที่ถอนหายใจ “พลาดแล้ว ๆ”
“เอาล่ะ.”
จุนซ่างเซียวโบกมือ “แยกย้าย.”
“รับทราบ!”
ศิษย์ทุกคนที่รับคำสั่ง ก่อนที่จะแยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง.
“เชียนเชียน.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ตามข้าเข้ามาในห้องโถง เปิ่นจั้วมีอะไรจะพูดกับเจ้า.”
ลู่เชียนเชียนที่ตามเข้าไปในห้องโถง ขณะที่เดินเข้ามานางได้เอ่ยออกมาว่า “เมื่อสักครู่ ศิษย์ล่วงเกินเจ้าสำนัก ศิษย์ยินดีที่จะรับโทษ.”
จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่ที่นั่งเจ้าสำนัก มือขวาวางที่พนักพิง พร้อมกับเคาะนิ้วเบา ๆ “เปิ่นจั้ว หากจะลงโทษเจ้า คงลงโทษที่ด้านนอกไปแล้ว.”
ลู่เชียนเชียนที่กลายเป็นเงียบ.
จุนซ่างเซียวที่ยกมืออีกข้าง พร้อมกับยกหมอนขึ้นพิง “เจ้าเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งพักหนึ่งแล้ว เปิ่นจั้วเองก็ให้เจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่สุด ทว่าข้านั้นกับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าเลย”.
เขาที่เป็นคนเริ่ม.
ไม่มีความนัยน์ใด ๆ เพียงแค่เขารู้สึกว่า เขาเป็นเจ้าสำนัก ควรจะรับรู้เรื่องของศิษย์บ้างไม่ใช่รึ?
ลู่เชียนเชียนเอ่ย “ข้ามีนามว่าลู่เชียนเชียน นี่คือเรื่องของข้า.”
จุนซ่างเซียวถึงกับพูดไม่ออก “ความหมายของเปิ่นจั้วคือ เจ้ามาจากใหน เคยอาศัยอยู่ที่ใหน มีพี่น้องหรือไม่ บ้านเกิดอยู่ที่ใด.”
ลู่เชียนเชียนเอ่ย “ข้ามาจากด้านนอก พ่อแม่ตายแล้ว ไม่มีบ้านเกิดให้กลับไป.”
คำตอบที่ขอไปที จุนซ่างเซียวรู้สึกขัดใจเป็นอย่างมาก.
“เจ้าสำนัก.”
ลู่เชียนเชียนที่จับจ้องมองไปยังเขา ใบหน้าที่เผยความเย็นยะเยือบออกมา เอ่ยด้วยโทนเสียงลึกล้ำ “เรื่องบางอย่างรู้มาก ก็ไม่ใช่เรื่องดี มีแต่จะนำภัยพิบัติมาให้.”
“ภัยพิบัติ?”
จุนซ่างเซียวที่ยกมือสีคางไปมา ”ฟังดูแล้วดูน่ากลัวจริง ๆ.
“ไม่มีอะไร อย่าได้ใส่ใจเลย.”นางที่เอ่ยตัดปิดฉากบทสนทนาทันที
จุนซ่างเซียวที่โบกมือและเอ่ยออกมาว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการจะเอ่ย เปิ่นจั้วก็ไม่บังคับ มาพูดเกี่ยวกับเรื่องงานดีกว่า ข้าต้องการให้เจ้ารับหน้าที่ฝึกฝนศิษย์หญิง.”
“ศิษย์น้องรองสอนศิษย์ชาย ข้าสอนศิษย์หญิง แล้วเจ้าสำนักล่ะทำอะไร?”ลู่เชียนเชียนจ้องมองไปยังเขา.
“แค๊ก แค๊ก.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “แน่นอนว่าข้ารับผิดชอบในการกำกับดูแล ข้าจะลงไปชี้แนะเป็นครั้งคราวเพื่อขจัดความสับสนให้กับเหล่าศิษย์ทุกคน.”
ลู่เชียนเชียนที่กล่าวออกมาด้วยความสงสัย “ข้าเห็นเจ้าสำนักเตร็ดเตร่ไม่ทำอะไร เพียงแค่โบกไม้โบกมือสั่งการเท่านั้น ไม่ใช่รึ?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!”
จุนซ่างเซียวที่จงใจกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เปิ่นจั้วกำลังวางแผนพัฒนาสำนักอย่างแข็งขัน ให้พวกเจ้าช่วยแบ่งเบางาน เพื่อที่จะทำให้สำนักเป็นที่เลืองลือไปทั่วทวีป จะเรียกว่าเตร็ดเตร่ได้อย่างไร.”
“เลืองลือไปทั่วทวีป?”
ลู่เชียนเชียนเบ้ปาก กล่าวเสียงเบา “คงกำลังฝันอยู่.”