Chapter 239 ศิษย์ข้าดุร้ายมาก.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “พวกเจ้าเดินช้ามาก พวกเราเดินนำหน้า จะหาว่าข้าขวางทางได้อย่างไร จะให้กล่าวล่ะก็ หากเจ้าไม่เรียกพวกเราหยุด ตอนนี้พวกเราคงเข้าเมืองไปแล้ว ไม่มีทางขวางทางเจ้า.”
คำอธิบายที่มีเหตุผล ไม่มีปัญหาตรงใหน.
ทว่าเหล่าชาวยุทธ์ที่อยู่ลอบ ๆ ครุ่นคิดในใจ สำนักไท่กู่เจิ้งนอกมนทลที่ไม่เคยเห็น นี่ไม่รู้จักสำนักอี้โชวรึอย่างไร? ไม่รีบขอโทษ เดียวก็เกิดปัญหาหรอก!
เฮ้อ.
สายตาของทุกคนที่จ้องมองมาเป็นสายตาเดียว.
เจ้าสำนักน้อยอี้โชวที่คาดไม่ถึงกับคำอธิบายเป็นอย่างมาก จึงเอ่ยกล่าวออกมาเล็กน้อย “เสือดาวของข้านั้นกำลังหิวอยู่เล็กน้อย พวกเจ้าเดินนำหน้าข้า แล้วมันโกรธ อาจจะฉีกร่างของพวกเจ้ากินก็ได้ คงไม่อยากตายสินะ.”
สำนักนอกมนทล แน่นอน เขาต้องแสดงความน่าเกรงขามออกมา.
กับสำนักระดับแปด ที่เดินทางมายังมนทลปิงหยาง ต้องสั่งสอนซะหน่อย.
“ที่แท้ก็เป็นห่วงพวกเรานี้เอง.”
จุนซ่างเซียวยกมือขึ้นประสานกันเอ่ยออกมาว่า “ขอบคุณนายน้อยมาก ไว้พบกันใหม่.”
กล่าวจบ เขาก็นำเย่ซิงเฉินก้าวเข้าไปในประตูเมือง.
เจ้าสำนักน้อยที่แววตาเผยความโกรธเกรี้ยวออกมา.
เขาที่สั่งเสือดาวลายดำ พุ่งเข้าไปหา.
ไม่ได้คิดจะโจมตี คิดจะสั่งมันอ้าปากคำราม แสดงความโกรธเกรี้ยว เพื่อขู่คนทั้งสอง.
อย่างไรก็ตาม.
ยังไม่ได้คำรามออกมาด้วยซ้ำ!
เย่ซิงเฉินที่หันหลังกลับ พร้อมกับใช้หมัดระเบิดออกมาทันที.
“ตูมมมมมมมมมม!”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว.
หมัดที่เต็มไปด้วยพลังกระแทกร่างเสือดาวลายดำกระเด็นออกมาหลายสิบก้าว ก่อนที่ขาทั้งสี่ของมันจะทรุด ลงไปนอนกองบนพื้น.
ส่วนเจ้าสำนักน้อยที่หล่นลงพื้นคลุกฝุ่น สภาพอเนจอนาถเป็นอย่างมาก.
“เจ้าสำนักน้อย!”
ศิษย์คนอื่น ๆ ที่วิ่งเข้ามาหา.
เหล่าชาวยุทธ์นอกประตูเมืองที่ดวงตาเบิกกว้างกลมโต.
โอ้วสวรรค์!
ผู้เยาว์ที่มีอายุ 17-18 ปี หมัดของเขานั้นแม้แต่ ทุบเสือดาวที่มีระดับศิษย์ยุทธ์ขั้นปลายให้ล้มลงไปได้ พลังน่าเกรงขามนัก.
เรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญ คือเขากล้าโจมตีสัตว์ขี่ของเจ้าสำนักน้อย สำนักอี้โชวระดับหกอย่างคาดไม่ถึง นี่ไม่ต้องการมีชีวิตแล้วอย่างงั้นรึ?
“ซิงเฉิน.”
จุนซ่างเซียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทำไมต้องลงไม้ลงมือด้วย.”
เย่ซิงเฉินที่ดึงหมัดกลับคืน เอ่ยออกมา “ศิษย์เกรงว่าเจ้าสัตว์ร้ายนั่นจะโจมตีเจ้าสำนัก.”
“งั้นรึ?”
จุนซ่างเซียวที่หันหน้าจ้องมองไปยังเจ้าสำนักน้อยที่มีคนพยุงแขน กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “นายน้อย โปรดเก็บสัตว์เลี้ยงของเจ้าด้วย และอย่าให้เข้าใกล้เปิ่นจั้ว เพราะว่าศิษย์ของเปิ่นจั้วนั้นอารมณ์ไม่ดีนัก.”
“......”
ทุกคนที่มุมปากกระตุก.
หมัดเดียวล้มเสื้อดาวลายดำได้ นับว่าดุร้ายจริง ๆ!
“เจ้า......”
เจ้าสำนักน้อยที่โกรธเกรี้ยว ขณะจะตะโกนออกมา ก็เห็นทั้งสองคนเข้าไปในเมืองแล้ว ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ร้องตะโกนในใจ “ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!”
เขาที่ขี่เสือดาวลายดำเข้ามา เป็นที่จับตาต่อผู้คนเป็นอย่างมาก.
แต่ท้ายที่สุด สัตว์ขี่ของเขากับถูกทุบจนสลบ แม้แต่ตัวเองยังหล่นกระเด็นคลุกฝุ่น ขายหน้าขายตาเป็นอย่างมาก เขาจะยอมรับได้อย่างไร.
แค้นนี้ต้องชำระ!
ทว่าในเมืองสุ่ยหยางนั้น ไม่อนุญาตให้ต่อสู้กัน ทำให้เขาได้แต่สะกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ รอให้การประลองสำนักจบสิ้น ค่อยลงมืออีกครั้ง!
“ชายคนนั้นกล่าวว่าเปิ่นจั้ว นี่เขาเป็นเจ้าสำนักงั้นรึ? หรือว่าจะเป็นประมุขสำนักไท่กู่เจิ้ง จุนซ่างเซียว?”
“ควรจะเป็นเช่นนั้น!”
“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อไม่นานมานี้ สำนักไท่กู่เจิ้งได้นำศิษย์ไปท้าประลองสำนักเห่าฉี และยังได้รับชัยชนะกลับมาทั้งหมด.”
“วิ้ง วึ้ง ผู้กล้า ช่างมีอายุเยาว์วัยนัก”
เหล่าชาวยุทธ์ที่พูดคุยกันเสียงดังไม่หยุดหย่อน.
พวกเขาไม่ได้แสดงท่าทางดูแคลนจุนซ่างเซียว แม้แต่เผยท่าทางยกย่องด้วยซ้ำ ต้องไม่ลืมว่าสำนักระดับแปดเอาชนะสำนักระดับหกได้นั้น เรื่องนี้ไม่เคยมีมาก่อน!
......
เมืองสุ่ยหยางนั้นใหญ่มาก ดูคึกคักไม่น้อย.
หลังจากจุนซ่างเซียวนำเย่ซิงเฉินเข้ามาในเมือง จากนั้นก็ก้าวเดินตามป้ายบอกทาง มุ่งตรงไปยังเมืองทิศใต้เพื่อลงทะเบียนการแข่งขัน.
การเข้าร่วมประลองการแข่งขัน จะต้องลงทะเบียนก่อน เหล่ากลุ่มอิทธิพลอื่น ๆ ที่ส่งตัวตนระดับสูงไปลงทะเบียนล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นผู้คนที่นี่จึงไม่ได้มากมายนัก.
“สำนัก.”
จุนซ่างเซียวที่ยืนอยู่หน้าชายผู้หนึ่งที่รับลงทะเบียน.
“มนทลชิงหยาง สำนักไท่กู่เจิ้ง”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เสมียนที่ตกใจ เงยหน้าขึ้นมอง “สำนักจากทนทลชิงหยาง มาเข้าร่วมประลองมนทลปิงหยางอย่างงั้นรึ?”
“ไม่ได้รึ?”จุนซ่างเซียวเผยยิ้มออกมา.
แน่นอนว่าได้ หากแต่ไม่ค่อยมีนัก ที่สำนักจากต่างมนทลจะเข้าร่วมประลอง.
เสมียนรับสมัครเพิ่งได้ยินมาว่ามีคนจากต่างมนทลมาเข้าร่วม จึงเผยท่าทางประหลาดใจเป็นธรรมดา.
“เจ้าคือ?”
เพื่อเป็นไปตามกฎการแข่งขัน จำเป็นต้องสอบถามยืนยันเกี่ยวกับตัวตนระดับสูงของสำนักที่มาลงทะเบียน.
“เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้ง จุนซ่างเซียว.”
จุนซ่างเซียวที่กล่าวออกมาด้วยท่าทางอหังการ.
ถึงคนอื่นจะกล่าวดูแคลนสำนักของเขา ทว่าตัวเขาต้องยืดอกอย่างภาคภูมิ.
“มีคนเข้าร่วมกี่คน?”
“..”
“?”
เสมียนรับสมัครที่มุมปากกระตุก เอ่ยออกมาว่า “เจ้าสำนักจุน การแข่งขันมีเพียงศิษย์เท่านั้นที่เข้าร่วมได้ เจ้าเป็นเจ้าสำนัก ไม่สามารถเข้าร่วมได้.”
เข้าใจผิดอะไรอยู่.
มองไม่เห็นเปิ่นตี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รึอย่างไร?
“นี่คือ ศิษย์ของเปิ่นจั้วที่จะเข้าร่วม.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
“โอ้ว.”
เสมียนรับสมัครที่เข้าใจทันที เอ่ยออกมาว่า “ชื่อ อายุ.”
“เย่ซิงเฉิน 18 ปี.”
“ปั๊ป.”
ตราประทับลงในใบสมัคร พร้อมกับยื่นตราเข้าร่วม พร้อมเอ่ยออกไปว่า “ตอนเช้าพรุ่งนี้ให้มาร่วมตัวที่นี่.”
“.”
เขาที่หยุดและเอ่ยออกมาว่า “การประลองยุทธ์ของมนทลปิงหยางผู้ มีคนมากมายเข้าร่วม ถึงจะเป็นสำนักจากนอกมนทล ก็ต้องรักษาเวลาห้ามมาสายโดยเด็ดขาด.”
เป็นการกล่าวเตือนที่มีความนัย.
จุนซ่างเซียวที่เผยยิ้มเอ่ยออกมาว่า “รับทราบ.”
จากนั้นเขาก็นำเย่ซิงเฉินจากไป จากนั้นก็มีกองกำลังอื่นเข้ามาลงทะเบียน พร้อมกับพูดคุยกันเสียงดัง.
“ดูเหมือนว่าสำนักไท่กู่เจิ้งจะไม่ได้มาเพียงชมการต่อสู้ แต่ต้องการเข้าร่วมประลองด้วย.”
“ใจกล้าจริง ๆ ถึงกับเดินทางมาประลองถึงมนทลปิงหยาง.”
“สองปีที่แล้ว มีศิษย์สำนักระดับหกสิบคน จากนอกมนทลมาเข้าร่วมเช่นกัน ไม่ผ่านรอบแรกด้วยซ้ำ ตกรอบกันทั้งหมด.”
สำนักต่าง ๆ ในมนทลปิงหยาง เห็นคนนอกมนทลมาเข้าร่วม พวกเขาก็ลงมือโจมตีอย่างหนักอย่างไม่ยั้งมือกันเลย.”
“สำนักไท่กู่เจิ้ง ส่งศิษย์เข้าร่วมคนเดียว เกรงว่าจะรอดหรือไม่ เกรงว่าไม่เพียงตกรอบแต่ยังบาดเจ็บหนักด้วย.”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหมัดของเย่ซิงเฉินทรงพลังไม่น้อย ที่ต่อยเสือดาวลายดำล้ม มีชาวยุทธ์หลายคนเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว.
ทว่านี่คือการแข่งขันของมนทลปิงหยาง การต่อสู้ที่รุนแรงติดต่อกันหลายรอบ ยากที่จะผ่านเข้ารอบได้ง่ายๆ
ยิ่งเป็นคนนอกมนทล ยิ่งทำให้คนพื้นที่รังเกียจแม้แต่ลงมือหนักมาก.
จุนซ่างเซียวที่นำจุนซ่างเซียวไปพักโรงเตี้ยมที่ว่าง ตอนเช้าก็เดินทางมายังพื้นที่ประลอง.
งานประลองของเมืองสุ่ยหยางนั้น อยู่ในสนามการประลองขนาดใหญ่ เป็นอารีน่าที่จุผู้คนได้ 200,000-300,000 คน.
กฎเกณฑ์เดิม.
เหล่าสำนักที่เข้าร่วม จะมีที่นั่งพิเศษรองรับให้เข้าชมเป็นพิเศษด้วย.
ส่วนเย่ซิงเฉินนั้นเข้าร่วมการประลอง จึงได้ไปยังส่วนของผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งอยู่ในพื้นที่หมายเลขแปด.
“เซ่งแซ่.”
จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่บนที่นั่ง จ้องมองไปยังพื้นที่หมายเลขแปด กล่าวเสียงเบา “คนเข้าร่วมน่าจะมี 2000 คน ยิ่งใหญ่กว่าการประลองของมนทลชิงหยางมาก.”