Chapter 224 ต่างฝ่ายต่างคิดถึงกัน.
เช้าวันถัดมา.
จุนซ่างเซียวที่เตรียมการเสร็จสิ้นและนำหลี่ชิงหยางพร้อมกับศิษย์คนอื่น ๆ ออกเดินทาง.
ใช้เวลาเดินทางสามวัน ก็ไปถึงเขตมนทลฮวยหยิง ในเวลานั้นเขาได้สั่งทุกคนเปลี่ยนชุดเป็นสีดำ.
การจัดการสำนักเห่าฉีที่เป็นสำนักธรรมมะ จำเป็นต้องใช้วิธีการตรงไปตรงมาเช่นการประลอง ทว่าการจะจัดการสำนักมารนั้น แน่นอนว่าย่อมใช้วิธีอื่น.
วิธีอะไร?
นั่นก็คือการวางแผนลอบโจมตี.
เขาจะไม่ใช้ยันต์เปิดผนึกที่ล้ำค่า เว้นแต่จะมีอันตรายใหญ่หลวงเท่านั้น.
ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าสำนักจุนคงเดินโทง ๆ ใช้ดาบยาว 40 เมตร เข้าไปทำลายหอเหยี่ยวดำ เพียงคนเดียวตรง ๆแล้ว.
“เจ้าสำนัก.”
หลังจากเปลี่ยนชุดดำแล้ว เย่ซิงเฉินเอ่ยกล่าวออกมาว่า “ทำลายสำนักระดับเจ็ด ทำไมต้องนำคนมามากมาย ข้าเพียงคนเดียวก็พอแล้ว.”
ราชันย์รัตติกาลช่างอหังการยิ่งนัก.
ตัวเขา ตลอดหลายวันมานี้ ด้วยการกลั่นร่างกายภายในหอคอยเก็บประสบการณ์ ชัดเจนว่าร่างกายแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก.
อก ท้อง แขนขาที่มีกล้ามเนื้อปูดโปดแน่นเรียงชิดอย่างเห็นได้ชัด กล้ามเนื้อที่ไร้ไขมัน สมบูรณ์ราวกับเหล็กหล่อ.
นี่คือการยกระดับกายเนื้อที่น่าเกรงขาม.
เย่ซิงเฉินที่ไม่บ่มเพาะพลังวิญญาณแม้แต่น้อย ทว่าตลอดครึ่งเดือนนี้ เขตแดนบ่มเพาะของเขาก็ก้าวไปถึงระดับศิษย์ยุทธ์ขั้นปลายแล้ว.
นับตั้งแต่จุติกลับมานี้ ที่เขาเริ่มบ่มเพาะ แทบจะพร้อม ๆกับหลังจบงานประลองยุทธ์สำนัก ซึ่งเวลานั้นพวกหลี่ชิงหยางก็มีระดับบ่มเพาะศิษย์ยุทธ์แล้ว.
หากแต่ตอนนี้เย่ซิงเฉินที่ไล่ตามและแซงไปยังศิษย์ยุทธ์ขั้นปลายอย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องที่เกินบรรยายมาก.
ควรค่าที่จะให้เรียกว่าราชันย์ยุทธ์กลับชาติหรือไม่?
ผิดแล้ว นั่นเพราะว่าวิชาพระสูตรไท่ฉวนที่มีระดับเหนือกว่าระดับเทวะ เป็นวิชาบ่มเพาะที่ลึกล้ำมาก.
นี่คือหนึ่งในสองวิชาที่ตาเฒ่าลึกล้ำได้ทิ้งเอาไว้ในอดีต.
นับตั้งแต่เย่ซิงเฉินจุติกลับมาก็บ่มเพาะมาตลอด แม้นว่าจะสำเร็จเพียงขั้นสอง ทว่าก็ได้รับทรัพยากรมากมายที่เหลือล้ำ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถตัดผ่านระดับได้รวดเร็วถึงเพียงนี้.
กล่าวได้ว่า
เป็นเพราะทรัพยากรที่ได้มาจากสำนัก ยิ่งทำให้เห็นผลอย่างชัดเจน.
เป็นเรื่องที่คุ้มค่าเป็นอย่างมาก ที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง.
หาไม่แล้ว.
หลังจากที่ราชันย์ยุทธ์กลับชาติมาเกิด ไม่มีใครที่จะยอมอยู่ใต้คำสั่งใคร ไม่มีทางที่จะเข้าร่วมสำนักใด ๆ.
เขาคงทำได้แค่ต่อสู้แข่งขันอยู่ด้านนอก ยืนด้วยตัวเอง เดินไปบนเส้นทางที่เคยเดิน เพื่อยกระดับของตัวเอง.
ส่วนราชันย์รัตติกาลตอนนี้นะรึ?
การเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง เขาที่แม้แต่ต้องการแสดงผลงานมากมายเพื่อให้ได้ทรัพยากรมากขึ้น.
เขาไม่ต้องการจะออกไปปากกัดตีนถีบอีกแล้ว เส้นทางที่ยากลำบากและยาวนานเช่นนั้น ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย.
เซียวจุ้ยจื่อเองก็เช่นกัน.
เขาที่เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง กับทรัพยากรที่เจ้าสำนักมอบให้ ทำให้เขาไม่ต้องยากลำบาก ก้าวเดินใช้ชีวิตอย่างขัดสน.
สามารถที่จะทุ่มพลังในการฝึกฝนเพียงอย่างเดียวได้.
กล่าวตามตรง จุนซ่างเซียว.
ผู้เป็นผู้ปกครองสำนัก ต้องการให้นิกายแข็งแกร่งขึ้น ต้องการให้ศิษย์แข็งแกร่งขึ้น เขาที่ทุ่มทรัพยากรทั้งหมดที่มีสนับสนุนศิษย์อย่างเต็มที่.
เฮ้อ.
การฝึกฝนเพื่อแข็งแกร่งนับว่ายากแล้ว การเป็นเจ้าสำนักยิ่งยากกว่า.
เย่ซิงเฉินที่ขันอาสา ไม่ใช่ว่าต้องการชำระความแค้น แต่เขาต้องการทรัพยากรเพิ่มขึ้นต่างหาก.
ดังนั้น การทำลายหอเหยี่ยวดำ เขาจึงอาสาคนเดียว.
น่าเสียดาย.
ถึงแม้นว่าราชันย์รัตติกาลจะมีความสามารถทำลายสำนักระดับเจ็ดได้ จุนซ่างเซียวก็ไม่อนุญาต ต้องไม่ลืมว่าศิษย์คนอื่น ๆต้องการประสบการด้วยเช่นกัน.
......
บนภูเขาลูกหนึ่งในมนทลฮวยหยิง เพราะว่าเป็นที่อยู่อาศัยของเหยี่ยว ทำให้เรียกที่นี่ว่าภูเขาเหยี่ยว.
หลายร้อยปีก่อน คนของสำนักมารผ่านมาพบสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญ พบเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมีพลังวิญญาณหนาแน่น จึงได้นำกองกำลังขึ้นไปบนภูเขาและสร้างหอเหยี่ยวดำขึ้น.
เพราะว่าพื้นที่ค่อนข้างอยู่ห่างไกล แต่ในเวลานั้น ๆ ก็สามารถยกระดับมาเป็นสำนักระดับเจ็ดได้.
ร้อยปีประสบความสำเร็จเช่นนี้ นับว่าร้ายกาจ.
สิบปีก่อน เจ้าหอเหยี่ยวดำ ที่ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ออกจากสำนักไป และมอบให้เจ้าหอรุ่นสองที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่สุดในการควบคุมหอเหยี่ยวดำ.
เหล่ยเห่ยซา เจ้าหอรุ่นสองที่มีนิสัยดุร้าย ได้ใช้อำนาจกดขี่ผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดอย่างโหดร้าย ทำให้สำนักของพวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว.
ภูเขาเหยี่ยวดำ ที่เชื่อมต่อกับภูเขาอีกหลายลูก.
โค้งวนเป็นแนวเทือกเขารูปลักษณ์ขวานหัก และมีน้ำตกที่ไหลลงสู่ด้านล่าง.
ทว่าที่จุดรวมภูเขานั้น มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ เป็นตำหนักหลักของหอเหยี่ยวดำ.
ในเวลานี้.
ภายในห้องโถงหลัก หอเหยี่ยวดำ.
เจ้าหอ เหล่ยเห่ยซานั่งอยู่ที่นั่งบนสุด ที่หน้าผากแผ่จิตสังหารมากมายออกมา.
รองเจ้าหอ ที่นำศิษย์หกสิบคนออกไปหาประสบการที่หุบเขาแห่งความตาย ครึ่งเดือนแล้วยังไม่กลับมา ทำให้เขาตระหนักได้ว่ามีอะไรผิดปรกติ จากนั้นก็ส่งคนออกไปสืบข่าว.
เช้าวันถัดมา.
เขาก็ได้ข้อมูลจากผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดผู้หนึ่งว่ารองเจ้าหอนั้นได้ไล่ตามสำนักไท่กู่เจิ้งที่เพิ่งออกมาจากการหาประสบการณ์ไป.
จากนั้น...ก็ไร้การติดต่อ.
“เจ้าหอ.”
หลังจากรองเจ้าหออีกคนอ่านเนื้อหาของจดหมายเสร็จ ก็กล่าวออกมาว่า “รองเจ้าหอเหอไม่ได้กลับมา เกรงว่าคงจะพบปัญหา แน่นอนว่าผู้ต้องสงสัยอาจจะเกี่ยวข้องกับสำนักไท่กู่เจิ้ง.”
“กึกซี่.”
เหล่ยเห่ยซาที่กำถ้วยน้ำชาบดจนกลายเป็นผง จิตสังหารที่คละคลุ้งกล่าวออกมาทันที ”ไปรวบรวมพี่น้องของพวกเรา เดินทางไปกับเปิ่นจัว ไปยังสำนักไท่กู่เจิ้ง.
เป็นดังที่จุนซ่างเซียวคิดเอาไว้.
สำนักมาร ขอเพียงแค่สงสัย ไม่ต้องมีหลักฐาน ก็พร้อมจะนำคนของตัวเองไปสังหารอีกฝ่าย.
“รับทราบ.”
รองเจ้าหอที่ก้าวออกจากห้องโถงทันที.
“ชิ.”
เหล่ยเห่ยซาที่โกรธเกรี้ยวแผ่จิตสังหารมากขึ้นและมากขึ้น “สำนักไท่กู่เจิ้ง กล้าที่จะสังหารคนของเปิ่นจัว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องคงอยู่อีกแล้ว.”
ชัดเจนว่า พวกเขาเตรียมที่จะทำลายทั้งสำนักทิ้ง.
“เจ้าหอ.”
ชายวัยกลางคนที่มีหนวดแพะสวมชุดคลุมยาว กล่าวออกมาอย่างจริงจัง “สำนักไท่กู่เจิ้งนั้น ไม่ธรรมดา.”
คนผู้นี้มีนามว่าหยางจื่อ.
พลังบ่มเพาะไม่ได้สูงนัก ทว่าเขาก็นับว่าเป็นกุนซือคนหนึ่งของหอเหยี่ยวดำ .
การออกไปปล้นชิงส่วนใหญ่จะถูกวางแผนโดยเขา ทำให้ทุกแผนการประสบความสำเร็จเสมอมา.
“หืม?”
เหล่ยเห่ยซาเอ่ย “ไม่ธรรมดาอย่างไร?”
หยางจื่อเอย “เท่าที่ข้ารู้มา สำนักไท่กู่เจิ้งได้ไปประลองกับสำนักเห่าฉีเมื่อเร็ว ๆนี้.”
เหล่ยเห่ยซาที่ตกใจ กล่าวด้วยความประหลาดใจ “งั้นพวกเขาเป็นสำนักระดับหกสินะ ถึงกล้าท้าทายสำนักระดับหกรึ?”
หากพวกเขาเป็นสำนักระดับหก การยกกำลังออกไปไม่เป็นผลดีนัก.
การเร่งรีบสู้กับอีกฝ่าย อาจถูกอีกฝ่ายกำจัดเอาได้.
หยางจื่อเอ่ย “สำนักไท่กู่เจิ้งเป็นสำนักระดับเก้า....เอ่อ ไม่ ๆ เป็นสำนักระดับแปดเพิ่งเลื่อนระดับเมื่อเร็ว ๆ นี้.”
“ว่าอะไรนะ?”
เหล่ยเห่ยซาที่ดวงตาเบิกกว้างกลมโต “สำนักระดับแปดที่เพิ่งเลื่อนระดับ ท้าทายสำนักเห่าฉีระดับหกงั้นรึ?”
หยางจื่อเอ่ย “ข้าเพิ่งได้รับข่าวเมื่อเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็แทบไม่อยากเชื่อเหมือนกัน.”
เหล่ยเห่ยซาที่เผยยิ้ม กล้าท้าทายฉินเห่าหราน คงจะถูกทุบจนฟ้าเหลืองกลับไปสินะ.”
“กลับกันเลยต่างหาก.”
หยางจื่อเอ่ย “เป็นฝ่ายฉินเห่าหรานที่พ่ายแพ้ยับเยิน แม้แต่ศิษย์ของเขาก็บอบช้ำสาหัสไปหลายคน.”
จากนั้นเขาก็เริ่มเล่ารายระเอียดต่าง ๆ ที่ได้ยินมา ให้เจ้าหอฟัง.
“ไร้สาระ!”
เหล่ยเห่ยซาที่ทุบโต๊ะเสียงดัง “เหลวไหล สำนักระดับแปด จะไปเอาชนะฉินเห่าหรานได้อย่างไร เรื่องนี้เกรงว่าจะเป็นเพียงข่าวลือแล้ว.”
“เจ้าหอ.”
หยางจื่อเอ่ย “เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือหรือไม่ ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อว่าหากจะจัดการสำนักไท่กู่เจิ้ง จะต้องวางแผนให้ดี ไม่เช่นนั้นพวกเราอาจพ่ายได้.”
เหล่ยเห่ยซานที่เชื่อใจเขาเป็นอย่างมาก เพราะหลาย ๆครั้ง ได้รับคำแนะนำ ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายได้.
“เซียนเซิงหยาง.”
เขาเอ่ย “ตามความเห็นของท่าน พวกเราควรทำอย่างไร?”
หยางจื่อเอ่ย “ในเวลานี้ พวกเราไม่ควรใจร้อน ไม่รู้ว่าสำนักไท่กู่เจิ้งคือฆาตกรหรือไม่ ก่อนอื่นควรจะส่งคนออกไปสืบข่าว เมื่อแน่ใจแล้วว่ารองเจ้าหอเหอถูกพวกเขาสังหารจริงค่อยลงมือก็ยังไม่สาย.”
“แล้วหากเป็นฝีมือพวกเขาล่ะ?”เหล่ยเห่ยซาเอ่ย.
หยางจื่อที่ดวงตาหรี่เล็ก กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเราก็แค่ซุ่มรอสังหารเหล่าศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งที่ออกนอกสำนักไปทีละคน ๆ ค่อย ๆ กัดกร่อนทำลายพวกมัน ให้ค่อย ๆ ตายไปทั้งเป็น.”
“ตกลง.”
เหล่ยเห่ยซาที่กล่าวเห็นด้วย “ส่งกลุ่มนักฆ่าดื่มโลหิตออกไปจัดการ ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาจะต้องจัดการสำนักไท่กู่เจิ้งได้แน่”
ด้วยกลุ่มนักฆ่าดื่มโลหิต พวกเขาเป็นกลุ่มมือสังหารที่แข็งแกร่ง เป็นนักสู้ระดับสูงของหอเหยี่ยวดำ .
เจ้าหอเหล่ยเห่ยซา ที่รับฟังคำแนะนำ พร้อมกับเตรียมกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด พร้อมที่จะใช้วิธีการที่โหดร้ายเพื่อกำจัดอีกฝั่งทันที.
เพียงแต่....น่าเสียดาย.
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นี้.
ที่เชิงเขา จุนซ่างเซียวและลี่ลั่วฉิวได้เดินทางมาถึงที่นี่ก่อน และวางกำลังล้อมรอบ พร้อมที่จะทำลายล้างหอเหยี่ยวดำแล้ว.