Chapter 217 กลุ่มกากบัตรทอง.
เมืองฮู่หยาง.
จุนซ่างเซียวที่เดินทางมาพร้อมกับลู่เชียนเชียน.
เพราะว่าวันนี้เป็นวันประมูลที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้ง ในถนนหนทางเต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์ จากที่มองแล้วมีเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นคนของมนทลชิงหยาง.
เม็ดยาฟื้นฟูและเม็ดยาบูรณะร่างกายของตระกูลอ้ายนั้น ได้แพร่กระจายชื่อเสียงไปยังหลากหลายมนทล.
ถึงแม้นว่าจะมีไม่น้อยไม่สามารถที่จะซื้อได้ ทว่าเมื่อนิกายใหญ่มากมายกำลังจะแย่งกันประมูล พวกเขาก็ต้องการเปิดหูเปิดตาเช่นกัน.
เมืองฮุยหยางดูคึกคักเป็นอย่างมาก จุนซ่างเซียวรู้สึกพึงพอใจ เพราะว่ายิ่งมีคนสนใจในการประมูลเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเก็บเกี่ยวผลได้มากขึ้นเท่านั้น.
“อั๊ยยะ นั่นไม่ใช่เจ้าสำนักจุนหรอกรึ?”
ขณะที่กำลังเดินทางไปยังโรงประมูล ก็มีประมุขตระกูลหนึ่งในเมืองฮุยหยาง ก้าวเข้ามายกมือประสานเผยยิ้มออกมา.
มีใครบางคนที่เข้ามาทักทายเขา.
แม้นว่าเขาจะไม่รู้จัก อย่างไรก็ต้องตอบรับตามมารยาท.
จุนซ่างเซียวที่หันหน้ากลับไป ยกมือประสาน “สุขสันวันชาติ.”
(国庆节快乐!Guóqìngjié kuàilè/กั๋วชิ่งเจี๋ย ไขว้เล่อ สุขสันต์วันชาติจีน Happy National Day!)
เกี่ยวกับวันหยุด ที่โลกเดิมของเขาทุกวันชาติจะเป็นวันหยุดติดต่อกัน ทำให้ผู้คนมากมายออกมาเฉลิมกันคึกครื้น เหมือนช่วงเวลานี้ดูคึกคักมาก.
วันชาติ(กั๋วชิง)? สุขสัน(ไค่เล่อ)?
ได้ยินคำพูดดังกล่าว ทำให้หลาย ๆ คน กลายเป็นงงงวย.
ใครคือกั๋วชิงกัน? ชื่อคนรึ? หมายถึงข้ารึ? ไม่ใช่ ข้าชื่อเจี้ยนจิน ไม่ได้ชื่อกั๋วชิงสักหน่อย.
“เจ้าสำนักจุน......”
“สุขสันวันชาติ.”
“เจ้าสำนักจุน......”
“สุขสันวันชาติ.”
เจ้าสำนักจุนที่ก้าวเดินไป หากมีใครที่ไม่รู้จักเข้ามาทักทาย เขาก็จะตอบกลับตามมารยาท.
ตลอดการเดินทางบนถนน มีคนมากมายที่งงงวยกับการทักทายของเขา.
หลาย ๆ คนที่จ้องมองกันและกัน อะไรคือกั๋วชิง ทำไมต้องสุขสัน?
กับคำพูดดังกล่าว.
เหล่าประมุขต่าง ๆ ของเมืองฮุยหยาง ทำไมถึงได้ต้อนรับจุนซ่างเซียวอย่างอบอุ่น?
เพราะว่าเรื่องที่เขาล่วงเกินสำนักเห่าฉีและพันธมิตรร้อยสำนัก นอกจากเมืองชิงหยาง ก็มีเมืองฮุยหยางแห่งนี้ที่เข้าข้างเขา.
นั่นก็เพราะตระกูลอ้ายนั่นเอง.
ในงานการประลองที่สำนักเห่าฉีนั้น ประมุขอ้าย สนับสนุนสำนักไท่กู่เจิ้งแม้แต่ยินดีที่จะให้ยืมเงินสิบล้าน แสดงว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดา.
ในเมื่อตระกูลอ้ายสนับสนุนพวกเขา แน่นอนว่าคนอื่น ๆย่อมต้องการสร้างสัมพันธ์ด้วยเช่นกัน.
ส่วนสำนักเห่าฉีและพันธมิตรร้อยสำนักนะรึ? โทษทีประชาชนเมืองฮุยหยางนั้น ยืนอยู่ข้างตระกูลอ้ายทั้งหมด.
......
โรงประมูลตระกูลอ้าย.
จุนซ่างเซียวที่นำลู่เชียนเชียนมาหยุดที่ทางเข้า.
“เจ้าสำนักจุน.”
อ้ายซางเกอรับหน้าที่รับแขก กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เข้าร่วมงานประมูลของตระกูลเรา รู้สึกเป็นเกียรติอย่างที่สุด.”
เหล่าตระกูลอื่นจดจ้องมองมาเป็นสายตาเดียวกัน.
คนผู้นี้ ดูเหมือนจะได้ยินว่าเอาชนะเจ้าสำนักเห่าฉี เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งอย่างงั้นรึ?
วึ้ง วึ้ง.
ยังหนุ่มอยู่เลย.
“นี่โลกกำลังพลิกกลับอย่างงั้นรึ? สำนักระดับแปดสามารถเอาชนะสำนักระดับหกได้.”
“ตาเฒ่าผู้นี้ ก็ได้ยินมาเหมือนกัน ครั้งหนึ่งคิดว่าเป็นข่าวลือ แต่เมื่อมาถึงมนทลชิงหยาง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง.”
“ในความเห็นของข้า มนทลชิงหยางที่บ้านนอกคอกนาเช่นนี้ สำนักเห่าฉีระดับหก เกรงว่าจะมีความแข็งแกร่งเท่ากับสำนักระดับเจ็ดของมนทลพวกเรา.”
เหล่ากลุ่มอิทธิพลที่พูดคุยกันเสียงเบา.
สำนักระดับแปดที่เอาชนะสำนักระดับหกได้ หากไม่เพราะว่าได้รับการยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาคงยากจะเชื่อลง.
“ข้าได้ยินมาว่า สำนักไท่กู่เจิ้งได้ท้าทายนิกายเซิ่งชวนด้วย.”
“นิกายเซิ่งชวนนิกายเก่าแก่ระดับห้า พวกเขาเต็มไปด้วยศิษย์ที่โดดเด่น กล้าท้าทายพวกเขา คาดไม่ถึงเลยว่าจะใจกล้าขนาดนี้.”
“เจ้าสำนักยังเยาว์อยู่ กระทิงหนุ่มใยเกรงกลัวพยัคฆ์ เพียงแค่จิตใจของเขาก็น่าชื่นชม.”
จุนซ่างเซียวที่มาถึง ได้กลายเป็นหัวข้อให้เหล่ากลุ่มอิทธิพลพูดคุยกัน.
อย่างไรก็ตาม ส่วนมากแล้วเป็นไปในเชิงล้อเลียนมากกว่า.
“เจ้าสำนักจุน.”
อ้ายซางเกอที่กล่าวเสียงเบา “คำพูดของพวกไม่รู้เหนือรู้ใต้ อย่าได้ไปสนใจ.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ไม่เลย.”
เพียงแค่คำนินทา มีอะไรต้องนำมาใส่ใจ.
หากว่าเขานำมาใส่ใจ พันธมิตรร้อยสำนักคงไม่สามารถคงอยู่ได้อีกต่อไป.
“เชิญ.”
อ้ายซางเกอที่ยกมือประสาน.
ขณะจุนซ่างเซียวกำลังนำลู่เชียนเชียนเข้าไปด้านใน.
ทว่าในเวลานั้น มีใครคนหนึ่งกล่าวออกมา “อาวุโสอ้าย เจ้าสำนักจุนไม่ได้แสดงบัตรเชิญ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ทำตามธรรมเนียมหรอกรึ?”
พวกเขาเป็นกลุ่มอิทธิพลอื่นจากมนทลด้านนอกนั่นเอง.
“ใช่แล้ว.”
มีใครคนหนึ่งที่ก้าวออกมาพร้อมกับเอ่ยสร้างปัญหา พวกเราเข้าแถวกว่าจะได้บัตรมา นี่เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งมามือเปล่า เฮ้เฮ้ นี้คือการปฏิบัติต่อชาวยุทธ์นอกมนทลอย่างงั้นรึ?”
“เรื่องนี้......”
อ้ายซางเกอที่เผยท่าทางอักอ่วนเล็กน้อย.
เพราะว่าจุนซ่างเซียว ไม่ได้แสดงบัตรเชิญออกมานั่นเอง.
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดจึงไม่สามารถยอมรับได้.
พวกเขาที่เข้าแถวกว่าจะได้บัตรผ่านประตู นี่เจ้าสำนักระดับแปดกลับสามารถก้าวเข้าไปได้อย่างหน้าตาเฉยเลย.
“อาวุโสอ้าย โปรดให้ความเป็นธรรมกับทุกคน.”
“แม้นว่าพวกเราจะไม่ใช่คนของมนทลชิงหยาง แต่ก็ปฏิบัติตามกฎใช้เงินซื้อบัตรผ่าน ตอนนี้ยังต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎ การที่ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“พวกเราที่อยู่นี่ ล้วนแต่เป็นสำนักระดับหกหรือเจ็ด นี่ตระกูลอ้าย กับให้เกียรติน้อยกว่าสำนักระดับแปดอีกรึ?”
เหล่ากลุ่มอิทธิพลจากภายนอกมนทลเวลานี้เริ่มส่งเสียงประท้วง.
คำพูดของพวกเขานั้น มุ่งโจมตีไปยังจุนซ่างเซียวและตระกูลอ้ายอย่างจงใจ.
แม้แต่เวลานี้ ลุกลามไปจนถึงเป็นเรื่องของมนทลชิงหยางทั้งหมดแล้ว.
แม้นว่าจะไม่ได้มีการต่อสู้ระหว่างมนทล ทว่าก็มีการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ยกเอาดินแดนของพวกตนขึ้นข่มแสดงความแข็งแกร่ง.
อีกอย่าง.
ความแข็งแกร่งโดยรวมของมนทลชิงหยางนั้นค่อนข้างต่ำ ไม่คู่ควรที่จะอยู่ในสายตาของพวกเขา กลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ที่รู้สึกถูกหมิ่นเกียรติเป็นอย่างมาก.
ท่าทางรักชาติบ้านเกิด ที่เกิดขึ้นอยู่ทุกที่ของแต่ละมนทล
แม้นว่าจะไม่มีความแค้นระหว่างกัน ทว่าเพื่อศักดิ์ศรีของบ้านเกิดก็เคยมีการโต้แย้งจนนำไปสู่สงครามก็มี.
อ้ายซางเกอที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซับซ้อนอัปลักษณ์เป็นอย่างมาก.
คาดไม่ถึงว่า เหล่าผู้คนนอกมนทลต้องการแสดงอำนาจอวดเบ่งกันที่นี่.
“เฮ้อ.”
จุนซ่างเซียวที่ถอนหายใจ ขณะหยุดอยู่และสอบถามออกมา “อาวุโสอ้าย การเข้าไปในโรงประมูลมีกฎเกณฑ์อย่างไรรึ?”
“ไอ้หนู.”
ชายคนหนึ่งที่เอ่ยกล่าวออกมา “หากไม่ต้องการเข้าแถว ก็ต้องมีบัตรแพลทินัมก่อน ถึงจะผ่านได้ ไม่เช่นนั้น นู้นเลย! ท้ายแถวของพวกเรา.”
“พี่หาน กล่าวเกินไป เพียงแค่บัตรทองก็ควรจะให้เข้าไปได้แล้ว นี่คิดว่าสำนักระดับแปดจะมีปัญญาอย่างงั้นรึ?”
“บัตรทองอย่างน้อยก็ต้องจ่ายห้าล้านให้ตระกูลอ้าย หนำซ้ำยังเป็นสำนักระดับแปด ถึงจะเป็นสำนักระดับเจ็ดของมนทลชิงหยางย่อมไม่มีปัญญา.”
“ฮ่าฮ่าฮ่า มีแต่พวกยาจกจริง ๆ.”
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์นอกมนทลที่พากันหัวเราะเยาะเสียงดังสนั่น.
เสียงหัวเราะของพวกเขายังได้กล่าวเย้ยคนของมนทลชิงหยางที่ต่อแถวอยู่ด้วย ตอนนี้ทุกคนใบหน้าบิดเบี้ยวยู่ยี่ไปแล้ว.
ก่อนหน้านี้พวกเขากล่าวต่อว่าสำนักไท่กู่เจิ้ง ตอนนี้พวกเขาได้เยาะเย้ยทุกคนทั่วมนทลชิงหยาง ไม่ว่าจะเป็นใคร ตอนนี้คงยากจะทนเอาไว้ได้.
จุนซ่างเซียวที่ไม่ต้องการทำตัวโดดเด่น จึงไม่ได้นำบัตรออกมา ทว่าเมื่อเห็นกลุ่มคนที่ยโสโอหังเวลานี้ ก็รู้สึกมีอารมณ์เล็กน้อย.
“อาวุโสอ้าย.”
เขาชี้ไปยังกลุ่มคนที่ต่อแถว เอ่ยออกไปว่า “คนเหล่านี้เป็นสิทธิบัตรทองอย่างงั้นรึ?”
“อืม.”อ้ายซางเกอพยักหน้ารับ.
จุนซ่างเซียวที่ยักไหล่ กล่าวออกมาว่า “เปิ่นจั้วยังคิดอยู่นึกว่าเป็นกลุ่มขยะมาเข้าแถว แท้จริงก็เป็นกลุ่มกากบัตรทองนี่เอง ไม่มีปัญญาได้รับบัตรแพลทินัม.”
กากตะกอน เห็นชัดเจนว่าน่ารังเกียจขนาดใหน!
เหล่าคนนอกมนทลที่โกรธเกรี้ยว ขณะที่จะอ้าปากโต้เถียง ก็ต้องอ้าค้าง เพราะว่าจุนซ่างเซียวนำบัตรแพลทินัมออกมา.
บัตรที่ส่องประกายแสงวับวาว สีขาวบริสุทธ์แสบตา ส่องกวาดหน้าพวกเขา จนแทบจะต้องหลับตาลง.
นี่เขา...ได้รับบัตรแพลทินัม!
บัตรแพลทินัมนั้นเป็นบัตรที่มอบให้กับสำนักที่สูงกว่าระดับหก แม้แต่สำนักระดับหกยังต้องใช้เงินมากมายเพื่อซื้อมันมา.
“กลุ่มบัตรทองก็แค่ขยะ ค่อย ๆ ต่อแถวไปเถอะ.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย กล่าวด้วยความอหังการ “เปิ่นจั้วขอไปก่อนก็แล้วกัน.”
“เออใช่.”
เขาที่หยุด และเผยยิ้มออกมา “สำนักระดับแปดของข้านั้น แข็งแกร่งกว่าสำนักระดับหกจริง ๆ.”
เหล่ากลุ่มอิทธิพลนอกมนทลได้แต่มองตามอย่างช่วยไม่ได้.
แม้นว่าแววตาจะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้เถียง ต้องไม่ลืมว่าอีกฝ่ายมีบัตรแพลทินัม ส่วนตัวเองแค่บัตรทอง.
บัตรทองที่เป็นเหมือนกับขยะ เพียงได้ยินก็รู้สึกด้อยกว่าขึ้นมาในทันที.
เหล่าชาวยุทธ์มนทลชิงหยางที่เห็นชาวยุทธ์นอกมนทลคุยโวก่อนหน้าตากลายเป็นบูดบึ้ง พวกเขาก็เผยท่าทางสะใจขึ้นมาทันที.
อยู่เฉย ๆ ก็ดีแล้ว แต่กลับกล้าทำเป็นเท่!