Chapter 215 ได้รับเชิญจากประมุขอ้ายเพื่อเปิดหูเปิดตา.
หอคอยเก็บประสบการณ์ที่แต่ละชั้นมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป.
ชั้นแรกคือการยกระดับกายเนื้อด้วยแรงโน้มถ่วง เป็นการกลั่นกายเนื้อให้ถึงขีดสุด.
ในชั้นนี้เป็นการฝึกฝนกายเนื้อล้วน ๆ ทว่าร่างกายทั้งหมดนั้นยังมีสิ่งจำเป็นต้องยกระดับด้วยเช่นกัน.
เลือดเนื้อคือรากฐาน กระดูกคือแกน.
ภายใต้แรงโน้มถ่วงที่บีบอัด ทำให้เลือดเนื้ออัดแน่นผสานเข้ากัน.
จากนั้น.
เป้าหมายของหอคอยเก็บประสบการชั้นสอง นั่นก็คือการกลั่นกระดูก.
การกลั่นกระดูกไม่ได้ใช้แรงโน้มถ่วง ทว่าการกลั่นกระดูกและเส้นโลหิตนั้นใช้เพลิงพิเศษ.
กลุ่มของซูเซียวโม่ที่ก้าวขึ้นไปบนชั้นสอง ทั่วร่างปกคลุมด้วยเปลวเพลิงที่แปลกประหลาดลูกโชนขึ้นมาทันที กระดูกและเส้นโลหิตถูกกลั่นอย่างบ้าคลั่ง.
กลั่นกายเนื้อ ใช้แรงโน้มถ่วง.
ทว่าการกลั่นกระดูกและเส้นโลหิตนั้น ใช้เปลวเพลิงที่แปลกประหลาดเผา สร้างความเจ็บปวดที่มากมายยิ่งกว่าการกลั่นกายเนื้อซะอีก!
ด้วยการท้าทายก่อนหน้านี้ กลุ่มของซูเซียวโม่ยังไม่เป็นที่พอใจด้วยซ้ำ เมื่อต้องพบกับประสบการณ์ที่รุนแรงกว่าเดิม ก็ทนได้ไม่กี่วินาที ร่างจิตวิญญาณก็ถูกส่งกลับร่างหลักทันที.
การลงโทษชั้นที่สองนั้น มากกว่าชั้นแรกอีกด้วย.
เห็นสภาพร่างกายทีกระตุกน้ำลายฟูมปากเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาฟื้นฟูสองวันเป็นแน่.
จุนซ่างเซียวที่ยืนส่ายหน้าไปมา จ้องมองคนทั้งสาม “ชั้นแรกยังปรับตัวเองไม่ได้ เร่งรีบไปชั้นสอง จะใจกล้าเกินไปแล้ว.”
ดูเหมือนว่าจะต้องปรับร่างกายให้คงที่จนรู้สึกปรกติให้ได้ซะก่อน ถึงจะก้าวขึ้นไปชั้นต่อไปได้.
อย่างน้อยต้องสามารถอดทนได้หนึ่งชั่วโมง โดยไม่รู้สึกอะไรซะก่อน.
กล่าวตามตรง เวลานี้ยังไม่มีศิษย์คนใหนที่มีคุณสมบัติพอ.
ดังนั้น การจะก้าวขึ้นไปยังชั้นสองนั้น จึงเป็นงานที่ค่อนข้างหนักทีเดียว.
......
ศิษย์พี่ทั้งสามได้กลายเป็นตัวอย่างแล้ว ทำให้ศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งตอนนี้ต้องกลั่นร่างกายอย่างจริงจัง.
การปรับร่างกายกับแรงโน้มถ่วงสิบเท่านั้น ควรจะใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ให้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด จากนั้นก็บ่มเพาะวิชาต่าง ๆ ได้อย่างปรกติ.
ที่จริงการกลั่นร่างกายนั้นทำเพียงหนึ่งชั่วโมง ถือว่าเหมาะสมแล้ว ไม่จำเป็นต้องแข็งขืน ไม่ต้องกระทำจนตัวเองหมดเรี่ยวแรง.
หลี่ชิงหยางที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ จึงไม่ได้ไล่ตามขีดจำกัดของตัวเองอีกต่อไป.
ทุก ๆ วันเขาจะกลั่นร่างกายเพียงสองชั่วโมง จากนั้นก็บ่มเพาะวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นและช่วยเจ้าสำนักจัดการงานในสำนักเหมือนเดิม.
ซูเซียวโม่และลี่เฟยตลอดจนคนอื่น ๆ เองก็หันมากระทำตาม.
ในความเห็นของพวกเขา การกลั่นกายเนื้อนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในวิถียุทธ์ พลังวิญญาณเองก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่ต่างกัน.
จากนั้นมาทุกอย่างก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม การพัฒนาของทุกคนที่ก้าวไปในทิศทางที่สมดุล.
อย่างไรก็ตาม.
ยังคงมีเพียงเซียวจุ้ยจื่อและเย่ซิงเฉินที่บ้าคลั่งสุดโต่ง พวกเขาที่ยังไม่ยอมแพ้การกลั่นร่างกายให้ได้หกชั่วโมง.
กับความมุ่งหมายยกระดับกายเนื้อของพวกเขา พลังใจของพวกเขาทั้งสองนั้น เกินล้นจนผิดปรกติ.
จุนซ่างเซียวนั้นไม่ได้คิดจะห้ามทั้งสองแต่อย่างใด ต้องไม่ลืมว่ากายเนื้อที่สุดยอด ย่อมมีทางเลือกในวิถียุทธ์มากกว่าคนอื่น ๆ.
เส้นทางในการฝึกฝนของแต่ละคนนั้นไม่มีใครผิดใครถูก สุดท้ายแล้วเป้าหมายของทุกคนก็คือความแข็งแกร่ง.
......
ในช่วงนี้ จุนซ่างเซียวที่เริ่มแจกจ่ายวิชาฝ่ามือสะบั้นภูผาและ ผนึกเจี่ยหยินให้กับเหล่าศิษย์ได้ฝึกฝนกัน.
ฝ่ามือเปิดภูผานั้นเป็นวิชาฝ่ามือที่ทรงพลังมาก ด้วยการรวบรวมพลังวิญญาณไว้ที่ฝ่ามือและปะทุพลังเพื่อระเบิดภูผา.
ส่วนผนึกเจี่ยหยินนั้นเป็นวิชาในการป้องกัน โดยใช้พลังวิญญาณ สร้างม่านพลังปกคลุมร่างกาย.
วิชาทั้งสองแม้นว่าจะมีระดับไม่ได้สูงนัก ทว่าง่ายในการฝึกฝน และหากฝึกฝนไปจนถึงขั้นสุด ก็จะช่วยยกระดับพลังบ่มเพาะและสนับสนุนการต่อสู้ได้เป็นอย่างมาก.
ภายในห้องหนังสือ.
จุนซ่างเซียวที่นำน้ำยาเปลี่ยนพรสวรรค์เป็นระดับสูงสิบขวดออกมา “ที่หุบเขาแห่งความตาย ผลงานของพวกเจ้าไม่เลว นี่คือน้ำยารับไปซิ.”
จางเหว่ยและกลุ่มศิษย์รากวิญญาณระดับกลางก้าวเข้ามา รับน้ำยาเปลี่ยนพรสวรรค์คนละขวด.
หลังจากที่ดื่มน้ำยาแล้ว รากวิญญาณของพวกเขาก็ยกระดับจากระดับกลางไปยังระดับสูงทันที.
หุบเขาแห่งความตาย หลงจื่อหยางและลี่ยูหัวเองก็แสดงผลงานไม่เลวเช่นกัน แต่เพราะพวกเขาเข้ามาทีหลัง จุนซ่างเซียวจึงเลือกศิษย์ที่เข้ามาก่อน.
ศิษย์มีมากมาย ทรัพยากรมีจำกัด.
จำเป็นต้องมีการคัดสรรเลือกคนที่สมควรที่สุด.
“น้ำยานี้มันอะไรกัน หลังจากดื่มแล้ว รากวิญญาณและพลังบ่มเพาะเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง!”
“น่าเหลือเชื่อ!”
“เจ้าสำนักมอบน้ำยาที่กลั่นมาจากผลไม้เซียนอย่างงั้นรึ?”
ศิษย์สิบคนที่ตื่นตะลึง.
รากวิญญาณที่ยกระดับขึ้นไปยังระดับสูง ไม่เพียงแค่ทำให้พวกเขาประหลาดใจ หนทางที่จะก้าวไปยังศิษย์สายใน ในอนาคตเปิดขึ้นในทันที.
......
เหล่าศิษย์ที่พลังบ่มเพาะไม่สูงพวกเขา ใช้ได้แค่เครื่องปั้นกล้ามเนื้อและค่ายกลรวมวิญญาณ ไม่สามารถเข้าไปในหอคอยเก็บประสบการณ์ได้.
เกี่ยวกับการฝึกฝนของศิษย์ สำนักไท่กู่เจิ้งจำเป็นต้องยกระดับทั้งวิถียุทธ์และประสบการณ์.
เกี่ยวกับประสบการณ์ถูกแก้ไขได้แล้ว ทว่าปัญหาที่มีตอนนี้คือทรัพยากรในการยกระดับวิถียุทธ์.
ทรัพยากรวิถียุทธ์ก็มีเม็ดยา อาวุธตลอดจนศิลาวิญญาณ.
เม็ดยาและอาวุธด้วยฟังก์ชันปรุงยาและหลอมอุปกรณ์ ส่วนศิลาวิญญาณนั้นนับว่าหายากเอาการ.
ในตลาดนั้น อัตราแลกเปลี่ยน หนึ่งก้อนศิลาวิญญาณเท่ากับเงินหนึ่งหมื่นเหรียญ ด้วยเงินที่เขามีหากว่าแลกเปลี่ยนออกไป ก็จะได้ศิลาวิญญาณหนึ่งพันกว่าก้อน.
ตัวเขาคนเดียวคงดูดซับหมดไปก่อนแล้ว คงไม่มีเหลือพอให้ศิษย์หลายร้อยคนแน่.
“จนจริง ๆ.”
จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือ บีบกระหมับตัวเองไปมา.
หากไม่มีระเบิดเวลาล่ะก็ เขาคงจะค่อย ๆ ก้าวเดินพัฒนาอย่างเชื่องช้าในต่างโลกได้.
ด้วยชีวิตที่ก้าวเดินอยู่บนเส้นด้าย เจ้าสำนักจุนจึงต้องค้นหาวิธีในการหาทรัพยากรฝึกฝนให้ได้มามากที่สุด.
ที่จริงด้วยหอคอยเก็บประสบการณ์ ก็เพียงพอที่จะให้ศิษย์ของเขาแข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน ทว่าการจะทำให้สำนักทรงพลังอย่างรวดเร็วนั้นมันยังไม่พอ!
เส้นตายของภารกิจหลักนั้นเพียงแค่หนึ่งร้อยปี เขาจำเป็นต้องเร่งระดับให้มากที่สุด ไม่สามารถที่จะก้าวไปอย่างเชื่องช้าได้!
“ด้วยเม็ดยาฟื้นฟูจำนวนมาก คงจะพอได้รับเงินทุนอยู่ไม่น้อย.”จุนซ่างเซียวกล่าวเสียงเบา.
เขายังไม่คิดที่จะปล่อยเม็ดยาบูรณะร่างกายออกไปจำนวนมาก.
สิ่งนี้เป็นเม็ดยาที่ต่อต้านสวรรค์ยิ่งกว่าเม็ดยาฟื้นฟู หากขายเป็นจำนวนมาก ย่อมส่งผลทำให้กลุ่มอิทธิพลใหญ่หันมาจับตามองแน่.
ถึงเขาจะต้องการขายยา แต่ก็ไม่ต้องการดึงศัตรูเข้ามาหาด้วยเช่นกัน ในเวลานี้เขายังไม่มีพลังเพียงพอที่จะรับมือนั่นเอง.
“เจ้าสำนัก.”
ในเวลานั้น หลี่ชิงหยางที่ก้าวเข้ามาหา เอ่ยออกไปว่า “ประมุขอ้ายขอพบ.”
มีเรื่องอันใดกัน?
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เชิญที่ห้องโถงใหญ่.”
“ครับ.”
......
ประมุขอ้ายได้มาพบเขาก่อนหน้านี้แล้ว เจ้าสำนักจุนจะเดินทางไปยังหุบเขาแห่งความตาย ดังนั้นการมาเยือน เป็นเพราะเขาต้องการให้เจ้าสำนักจุนเข้าร่วมงานประมูลครั้งนี้นะเอง.
“เรื่องนี้......”
หลังจากพอคาดเดาเกี่ยวกับเป้าหมาย ทำให้เจ้าสำนักจุนลังเลเล็กน้อย กล่าวออกไปว่า “ประมุขอ้าย เปิ่นจั้วนั้นมีงานมากมาย คงไม่มีเวลาเข้าร่วมประมูล.”
นี่เขาไม่มีความสนใจเลยจริง ๆ.
“เจ้าสำนักจุน.”
ประมุขอ้ายเอ่ย “มียอดฝีมือและกลุ่มอิทธิพลใหญ่เข้าร่วมงานประมูลในครั้งนี้ มีเหล่าคนจากมนทลอื่น ไม่คิดจะเปิดหูเปิดตาหน่อยรึ?.”
“อีกอย่าง.”
เขาที่หยุดและเอ่ยกล่าวออกมาว่า “มีเจ้าวังเมี่ยวฮัวก็มาด้วย.”
จุนซ่างเซียวเผยท่าทางประหลาดใจ “นี่การประมูลครั้งนี้มีนิกายระดับสี่เข้าร่วมด้วยรึ?”
ประมุขอ้ายที่เผยยิ้มออกมา “เจ้าสำนักจุน ไม่เคยได้ยินเรื่องของเจ้าวังเมี่ยวฮัวอย่างงั้นรึ?”
“ไม่เคยได้ยินเลย.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
ประมุขอ้ายเอ่ย “เจ้าวังเมี่ยวฮัวนั้นก็เหมือนกับเจ้าสำนักจุนง ยังเป็นผู้เยาว์ อีกทั้งยังกล่าวได้ว่าเป็นสตรีที่งดงามมีชื่อเสียงที่สุดของแผ่นดินก็ว่าได้.”
“หืม?”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เจ้าวังเมี่ยวฮัวเป็นสตรีรึ?”
“ไม่ผิด.”
ประมุขอ้ายกล่าว “วังเมี่ยวฮัวนั้นรับศิษย์เพียงสตรีเท่านั้น ถือว่าเป็นสำนักสตรีที่มีน้อยนิดในทวีปชิงหยุน.”
“ยังเยาว์อยู่รึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
ประมุขอ้ายเอ่ย “เจ้าวังเมี่ยวฮัวนั้นมีอายุยังไม่ถึง 20 เลยด้วยซ้ำ ทว่ากับมีความงามที่โดดเด่น ที่จะพบเห็นในหมื่นปี.”
“เอิ่ม.”
จุนซ่างเซียวเอ่ยอย่างจริงจัง “ประมุขอ้าย อุตส่าห์มาชวนอย่างจริงจัง หากเปิ่นจั้วปฏิเสธ ดูจะไร้เหตุผลไปหน่อย.”
เขาที่ตัดสินใจในทันที.
เขาต้องการรับรู้ว่าความงามที่ไม่เคยมีมาในหมื่นปีจะเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาด้วย!