Chapter 11 ศิษย์หลี่ชิงหยาง คารวะเจ้าสำนัก
การแต่งเรื่องขึ้นเอง? ย่อมมีข้อบกพร่อง.
หากไร้ซึ่งเรื่องเล่าการจาริกธรรมแดนตะวันออก จุนซ่างเซียวย่อมต้องเผยพิรุธออกมาอย่างแน่นอน ทว่าเพราะเขาได้อ่านและศึกษาเรื่องนี้มาอย่างระเอียดแล้ว จึงสามารถดังแปลงและเล่าได้อย่างสมจริง.
จุนซ่างเซียวไม่จำเป็นต้องหยุดคิดเลยแม้แต่น้อยกล่าวออกมาว่า “เจ้านิกายรุ่นแรกของนิกายไท่กู่เจิ้งนั้น เป็นศิลาที่ดูดซับแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ผสานเข้ากับพลังฟ้าดิน ผ่านมานานเนิ่นนานปีแล้วปีเล่า จนทำให้กลายเป็นศิลาเทวะ ...... ทั้งนี้บรรพชนรุ่นแรกยังได้รับการสอนสั่งจากอรหันต์โพธิอีกด้วย!”
อาวุโสนิกายเขาชางซานโกรธเกรี้ยวโต้เถียงออกมาทันที “มนุษย์ล้วนแต่มีโลหิต จะเกิดมาจากศิลาได้อย่างไร เจ้าหนู เจ้ากล่าวอะไรไร้สาระ คิดจะลวงหลอกผู้คนให้หลงเชื่อรึอย่างไรกัน!”
“ตาเฒ่า.”
จุนซ่างเซียวกล่าวหยัน “วิวัฒนาการของสรรพชีวิต เจ้าไม่รู้อะไรเลย เฮ้อ.”
“เจ้า....เจ้า....”
อาวุโสนิกายเขาชางซานที่โกรธเกรี้ยวใบหน้าแดงซ่านลามไปถึงลำคอ.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เจ้าถามข้าตอบ หากมันไม่ใช่คำตอบที่เจ้าต้องการ ข้าก็ขออภัยด้วย.”
อาวุโสนิกายเขาชางซานที่ได้แต่กลืนคำพูดของตัวเองลงไป ขณะที่กำลังจะเอ่ยกล่าวถามต่อไป หลี่ชิงหยางได้กล่าวออกมาและเอ่ยออกไปว่า “คาดไม่ถึงเลยว่า สำนักไท่กู่เจิ้งจะมีความเป็นมาที่รุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่เช่นนี้.”
ทุกคนแทบจะล้มทั้งยืน.
นี่ไม่ได้หมายความว่า ลูกหลานสายตรงตระกูลหลี่เชื่อจริง ๆ หรอกรึ?
“แต่ว่า.”
หลี่ชิงหยางที่หยุดและกล่าวต่อ “หากนั่นคือความรุ่งโรจน์ในอดีต แล้วสิ่งที่มีตอนนี้ล่ะ มีอะไรที่หลงเหลือมาบ้าง?”
ใช่แล้ว!
ไม่ว่าเขาจะพูดไร้สาระไปมากมายเท่าไหร่ เอ่ยพรรณนาว่าสำนักไท่กู่เจิ้งมีความเป็นมาลึกล้ำเพียงใด แล้วเวลานี้ล่ะทำไมถึงได้กลายเป็นเพียงสำนักระดับเก้า!
“เฮ้อ”
จุนซ่างเซียวที่ถอนหายใจยาว ก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นนิรันดร์ นิกายแข็งแกร่งที่สุด ในวันหนึ่งสุดท้ายก็ต้องตกต่ำ สำนักไท่กู่เจิ้งก็ไม่สามารถหลบหนีสัจธรรมนั่นได้ ท้ายที่สุดก็ได้มาถึงช่วงเวลาตกต่ำถดถอยเช่นกัน”
ตกต่ำ.
สำนักไท่กู่เจิ้งของเจ้าเคยไปอยู่บนจุดสูงสุดด้วยรึ?!
“นายน้อยหลี่.”
จุนซ่างเซียวที่จ้องมอง กล่าวเป็นนัยน์ “ทว่าถึงจะตกต่ำก็ยังคงหลงเหลือเศษซากของความรุ่งโรจน์ เม็ดยาที่มอบให้กับเจ้าก่อนหน้านี้ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด.”
เม็ดยา?
ใบหน้าของทุกคนเวลานี้กลายเป็นโง่งมไปตาม ๆ กัน.
หลี่ชิงหยางที่กลายเป็นเงียบทันที.
ในเวลานั้น เขาได้รับบาดเจ็บหนักจนหมดสติ ความจริงในจิตสำนึกของเขายังคงจำได้อย่างเลือนราง ว่าเขาได้กินเม็ดยาลงไป จากนั้นอาการบาดเจ็บของเขาก็หายดีขึ้นมาทันที.
จุนซ่างเซียวก่อนหน้านี้ ได้สร้างเรื่องราวขึ้นแล้ว เพื่อเพิ่มความสมจริงยิ่งขึ้น จึงได้เอ่ยกล่าวถึงเม็ดยาเพื่อสร้างความเชื่อถือ ว่าสำนักไท่กู่เจิ้งนั้นไม่ธรรมดา.
จุนซ่างเซียวกล่าวต่อ “เปิ่นจั้วต้องการจะฟื้นฟูสำนักให้กลับมารุ่งโรจน์เช่นในอดีต ต้องการคนที่มีพรสวรรค์เช่นเจ้ามาช่วย.”
เวลาเดียวกันเขากวาดตามองกลุ่มสำนักต่าง ๆ ที่พยายามเอาชนะใจหลี่ชิงหยาง และเอ่ยออกมาว่า “พวกเขามอบเงื่อนไขที่ยอดเยี่ยมให้กับเจ้า เปิ่นจั้วยากที่จะทำให้สำเร็จได้ ทว่าหากเจ้าต้องการเป็นยอดฝีมือ ระดับราชันย์ยุทธ์ ก็จงเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งเถิด.”
กลายเป็นราชันย์ยุทธ์รึ?
ชายคนนี้หน้าหนาเกินไปแล้ว ถึงได้กล้าพูดเช่นนี้!
ราชันย์ยุทธ์.
นี่คือตัวตนที่เป็นเหมือนเทพในทวีปชิงหยุน ทุกคนต่างให้ความเคารพนับถือ.
จุนซ่างเซียวที่มีระดับเปิดชีพจรขั้นที่ห้า กล้าพูดถึงตัวตนอาณาจักรดังกล่าว ช่างเป็นคนที่ไม่เจียมตัวจนรักษาไม่หายจริง ๆ!
“ดี.”
หลี่ชิงหยางที่กล่าวตอบรับ “ข้าจะเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง.”
คำพูดง่าย ๆไม่กี่คำ ที่ทำให้ทั่วลานต้องส่งเสียงดังอื้ออึ้ง เหล่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักต่าง ๆที่ตัวแข็งทื่อ ราวกับว่าได้กลายเป็นรูปปั้นไปแล้ว.
“ติ้ง!”
“ยินดีกับโฮสน์ทำภารกิจสำเร็จ ได้รับแต้มสนับสนุน 5 แต้ม!”
“ติ้ง!”
“แต้มสนับสนุนสำนัก: 19 / 100.”
เสียงที่ดังขึ้นในหูของเขา จุนซ่างเซียวงงงวยลอบคิดในใจ “สำเร็จแล้วรึ? พรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองชิงหยางยอมง่าย ๆ ขนาดนี้เลยรึ?”
“เชียนเชียน!”
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตะลึงกันอยู่นั้น เจ้าสำนักจุนก็เอ่ยกล่าวออกมาเสียงดัง “นำใบลงทะเบียนมา.”
ลู่เชียนเชียนที่นำใบละทะเบียนวางบนโต๊ะ.
“วิ้ง!”
จุนซ่างเซียวนั่งบนโต๊ะ พร้อมกับยกพู่กันเขียนข้อมูล”
“ชื่อ.”
“หลี่ชิงหยาง.”
“เพศ.”
“....ชาย.”
“อายุ.”
“อายุ 16 ปี.”
“พรสวรรค์.”
“รากวิญญาณระดับสูง.”
“พลังบ่มเพาะ.”
“เปิดชีพจรขั้นที่ 10.”
จุนซ่างเซียวแทบจะเอาปี๊บคลุมหัว ทรุดลงไปกับเก้าอี้.
เจ้าสำนักมีระดับเพียงเปิดชีพจรขั้นที่ห้า รับศิษย์คนที่สอง คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีระดับเปิดชีพจรขั้นที่สิบ!
คู่ควรแล้วที่เป็นพรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองชิงหยาง เป็นคนที่เหลือเชื่อจริง ๆ.
จนซ่างเซียวที่นำตราจากแหวนมิติออกมาพร้อมกับประทับตราลงไปบนใบลงทะเบียน ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า “นับจากวันนี้ เจ้าคือศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้ง.”
“ศิษย์หลี่ชิงหยาง.”
หลี่ชิงหยางที่ยกมือประสานไปด้านหน้าและกล่าวออกมาด้วยความเคารพ “คารวะเจ้าสำนัก!”
“ติ้ง!”
“สมาชิกสำนัก : 3 / 100!”
“ติ้ง!”
“แต้มสนับสนุนสำนัก : 20 / 100.”
เห็นสมาชิกเพิ่มขึ้น คะแนนสนับสนุนเพิ่มขึ้น จุนซ่างเซียวก็เผยความตื่นเต้นประหลาดใจดีใจขึ้นมาทันที!
......
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน หลี่ชิงหยางปฏิเสธนิกาย กองกำลังระดับห้า เลือกที่จะเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง เรื่องนี้เป็นอะไรที่เหลือเชื่อสำหรับทุกคน เป็นเรื่องเกินกว่าจะเข้าใจได้!
จวีซีสำนักดาบใหญ่แทบทรุดลงกับพื้น กล่าวออกมาอย่างงงงวย “เป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้....ข้ากำลังฝันอยู่อย่างแน่นอน!”
สำนักไท่กู่เจิ้งที่พวกเขาดูถูกดูแคลนถากถางตลอดเวลา กับสามารถรับผู้เยาว์พรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองชิงหยางอย่างคาดไม่ถึง!
เป็นความจริงที่โหดร้ายจริง ๆ ทำให้เขายากจะยอมรับได้.
ศิษย์ของสำนักพยัคฆ์คำรามเวลานี้ก็กลายเป็นเซ่อไปด้วยเหมือนกัน.
จะพูดให้ถูกล่ะก็.
หลังจากที่หลี่ชิงหยางเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งแล้ว เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนรอบ ๆ ยังง ๆ โง่งมอยู่เลย รู้สึกราวกับว่ากำลังฝันไป แม้แต่หัวเราะอย่างงง ๆ!
“นายน้อยหลี่.”
อาวุโสนิกายเขาชางซาน กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม.“เจ้ามีรากวิญญาณระดับสูง มีอนาคตที่ไร้สิ้นสุด การเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งคิดว่าจะสามารถรุ่งโรจน์ได้อย่างงั้นรึ? นี่เป็นการทำลายอนาคตตัวเองเท่านั้น!”
“ตาเฒ่า.”
จุนซ่างเซียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สำนักไท่กู่เจิ้งของข้า แม้นว่าจะไม่ได้มีชื่อเสียง แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น วันนี้เปิ่นจั้วขอเอ่ยเอาไว้เลย อีกไม่กี่ปีจะต้องก้าวข้ามเหนือกว่านิกายเขาชางซานของเจ้าแน่นอน!”
น้ำเสียงที่ดูแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความมั่นใจ!
นี่คือความมั่นใจอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะเขาคือเจ้าสำนักผู้น่าเกรงขาม เพื่อที่จะเอาชนะการดูถูกและเหยียดหยามของทุกคน.
จะต้องเติบโตขึ้น เอาความสำเร็จไปกลบเสียงนกเสียงกา.
“เหนือกว่านิกายเขาชางซานรึ?”
อาวุโสนิกายเขาชางซานกล่าวหยัน “เจ้าหนูคิดว่าแค่ปากดี ก็จะทำให้สำนักทรงพลังได้อย่างงั้นรึ?”
เพียงแค่ลมปากและความมั่นใจ.
แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้.
จุนซ่างเซียวที่กล้าเอ่ยกล่าวอย่างมั่นใจ ก็เพราะเขามีระบบ ตราบเท่าแค่เขามีคะแนนสนับสนุนพอ ก็สามารถซื้อสินค้าสุดยอดในร้านค้าสำนักได้!
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนในทวีปชิงหยุน ในการยกระดับพลังบ่มเพาะ พวกเขาจะต้องใช้เวลาในการสะสมพลังวิญญาณจากสวรรค์และปฐพีทีละน้อย ๆ ส่วนจุนซ่างเซียวขอเพียงแค่มีคะนนสนับสนุน สามารถที่จะยกระดับพลัง ก้าวไปด้านหน้าอย่างไม่ติดขัดได้สบาย ๆ!
“ตาเฒ่า.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “รอให้สำนักไท่กู่เจิ้งมีชื่อเสียงก่อนเถอะ ข้าจะทำให้ทุกคนตื่นตะลึงไปทั่วแผ่นดิน.”
อาวุโสนิกายเขาชางซาน แค่นเสียงเย็นชา “ก็ดี ตาเฒ่าจะรอดูว่าสำนักไท่กู่เจิ้ง จะคงอยู่ในแผ่นดินได้นานเท่าใด!”
จากนั้น เขาก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป.
ผู้เยาว์พรสวรรค์ที่หมายตาได้ถูกแย่งไปแล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว ดังนั้นเขาจึงเตรียมสั่งการศิษย์เก็บซุ้ม กลับนิกายเขาชางซาน.
“อาวุโสหม่า!”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่พวกเขากำลังจากไป ชายวัยกลางคนที่สวมชุดที่โอ่อ่าก็ก้าวเข้ามาขวาง “โปรดรอสักครู!”
“ประมุขหลี่!”
หลาย ๆคน จำได้ว่าผู้มานั้น ก็คือประมุขตระกูลหลี่ บิดาของหลี่ชิงหยาง.
ประมุขตระกูลหลี่พร้อมกับคนรับใช้ เอ่ยกล่าวออกมาด้วยความสุภาพ “อาวุโสหม่า บุตรชายของข้านั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้ความ นับเป็นการดีมากหากได้เข้าร่วมสำนักที่น่านับถือของท่าน.”
“ประมุขหลี่.”
อาวุโสนิกายเขาชางซานกล่าวด้วยความหงุดหงิด “บุตรชายของเจ้าเข้าร่วมสำนักอื่นไปแล้ว.”
“อะไรนะ?”
ประมุขตระกูลหลี่ที่ตื่นตระหนก จ้องมองไปยังพื้นที่ไกลออกไป ใบหน้าของเขา ยังคงสุขุม “เจ้าเด็กเหลือขอนั่น ไม่คิดจะรอพ่อให้มาด้วย กล้าตัดสินใจเอง......”
คำพูดของเขายังไม่จบด้วยซ้ำ ทว่าขณะจ้องมองไปยังป้ายสำนักที่อยู่บนซุ้มที่หลี่ชิงหยางอยู่ “สำนักไท่กู่เจิ้ง”พริบตานั้นปากของประมุขตระกูลหลี่ถึงกับแข็งไปในทันที หัวใจที่โกรธเกรี้ยวลุกไหม้ด้วยเพลิงความโกรธ คำรามออกมาเสียงดัง “ชิงหยาง เจ้าเข้าร่วมสำนักใหนกัน?”
หลี่ชิงหยางที่กล่าวตอบด้วยความสุขุม “สำนักไท่กู่เจิ้ง.”