1397 - ก้อนหินจากสวรรค์โบราณ
1397 - ก้อนหินจากสวรรค์โบราณ
เย่ฟ่านเฝ้าดูอย่างเงียบเป็นเวลานาน จากนั้นก็นำหม้อปราณปัฐพีต้นกำเนิดที่เป็นอาวุธแห่งการรู้แจ้งของเขาโยนมันก็ไปในทะเลสายฟ้าโดยตรง!
การทำเช่นนี้มันทำให้หม้อของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีทองจากอักขระโบราณนับหมื่นตัว อักขระเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาคัดลอกมาจากโลงศพ
หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ในที่สุดอักขระเหล่านี้ก็ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรก
สายฟ้าแห่งความโกลาหลยังคงขัดเกลาและเสริมสร้างเนื้อหนังให้กับเย่ฟ่านอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเย่ฟ่านแข็งแกร่งไม่แตกต่างจากอาวุธเซียนไปแล้ว
ในขณะเดียวกันดวงตาสวรรค์ของเย่ฟ่านก็ดูเหมือนจะได้รับการยกระดับครั้งใหญ่ มันสามารถมองทะลุทะลวงเข้าไปในส่วนลึกของสวรรค์โบราณและเห็นบางสิ่งที่คลุมเครืออยู่ในนั้น
อย่างแรกที่เย่ฟ่านสัมผัสถึงภายในสวรรค์โบราณคือพลังแห่งความกดดันที่รุนแรงมากกว่ารัศมีพลังของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ภายใต้แรงกดดันนี้เย่ฟ่านมองเห็นสิ่งมีชีวิตร่างยักษ์ที่มีลักษณะคลุมเครืออย่างมาก
เย่ฟ่านถอนสายตากลับมาเพราะตระหนักดีว่าหากยังจ้องมองต่อไปมันจะกลายเป็นภัยพิบัติอย่างแน่นอน จากนั้นตัวเขาก็ถอยหลังออกจากสวรรค์โบราณและกลับสู่จักรวาลอันมืดมิดซึ่งเป็นสนามรบหลักอีกครั้ง
หลังจากที่ภาพแปลกๆหายไป ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติราวกับไม่มีสิ่งใดๆ
“ข้าทำสำเร็จ ข้าผ่านมันมาได้”
เย่ฟ่านพูดกับตัวเอง มันเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจของการปรากฎตัวของจักรพรรดิทั้งเก้าที่โจมตีเขามาหลายวันหลายคืนมันแทบจะทำให้เขาจมอยู่ในความสิ้นหวังไปแล้ว
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาวิกฤตนี้เขาก็ยังค้นหาวิธีการที่จะทำให้ตัวเองรอดชีวิตออกมาได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากที่ทำมันได้สำเร็จ เย่ฟ่านไม่ได้มีความรู้สึกหวาดกลัว จิตใจของเขานิ่งสงบไร้กังวล
เย่ฟ่านสูดลมหายใจอย่างลึกล้ำ จากนั้นร่างของเขาก็ทะยานไปในท้องฟ้าอันมืดมิดเพื่อกลับสู่โลก
“ฟู่”
ภายใต้แสงสว่างวาบเย่ฟ่านกลายเป็นกระแสแสงพุ่งผ่านความว่างเปล่าด้วยความเร็วไม่แตกต่างจากดาวตก แสงของดาวหลายพันดวงไหลไปตามท้องฟ้ากลายเป็นมหาสมุทรสีเงินที่ส่องสว่างอยู่รอบตัวของเขา
การเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์นั้นแม้จะเต็มไปด้วยอันตรายและอยากจะเอาชีวิตรอดได้ แต่หากผ่านพ้นภัยพิบัตินั้นได้สำเร็จสิ่งที่สวรรค์ตอบแทนกลับมาจะเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่
วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่ฟ่านได้รับการยกระดับจนอยู่ในขอบเขตที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง เพียงเขาปลดปล่อยพลังวิญญาณออกไปเล็กน้อยมันก็ครอบคลุมรัศมีหลายหมื่นลี้และทำให้เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้
ตอนนี้เย่ฟ่านเพิ่งประสบความสำเร็จในการเป็นเซียนเทียมขั้นสามเขายังต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรกว่าที่รากฐานของเขาจะเกิดความมั่นคง
ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเย่ฟ่านสามารถบดขยี้พระสันตะปาปาและอัศวินศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ในขอบเขตเดียวกันด้วยการโจมตีเพียงนิ้วเดียวเท่านั้น
เย่ฟ่านสามารถทะลุผ่านอุปสรรคได้ในคราเดียว เขาเอาชนะเต๋าและเข้าแทนที่มันกลายเป็นราชาสวรรค์อย่างแท้จริงของโลกมนุษย์
วิธีการนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครทำมาก่อน อย่างไรก็ตามผู้ที่ประสบความสำเร็จในขั้นตอนนี้เป็นคนสุดท้ายไม่รู้ว่าผ่านมากี่พันปีแล้ว
เย่ฟ่านยืนอยู่กลางจักรวาลอันมืดมิดพร้อมกับหัวเราะด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นกระแสแสงสีทองพุ่งผ่านดาวอังคารและกลับสู่โลกด้วยความเร็วไม่แตกต่างจากสายฟ้า
ลูกไฟที่ลุกโชนออกมาจากร่างกายของเย่ฟ่านเปล่งประกายส่องสว่างไปทั่วทั้งจักรวาล แม้กระทั่งกลุ่มยอดฝีมือที่เฝ้าจับตาดูสถานการณ์ของเขาในโลกก็ยังเกิดความตกตะลึงอย่างมาก
โลกมนุษย์นั้นยังมีสิ่งมีชีวิตระดับราชาผู้ยิ่งใหญ่อีกหลายคน พวกเขาสังเกตสถานการณ์ของเย่ฟ่านอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด แต่พลังที่เย่ฟ่านแสดงออกมาในตอนนี้ทำให้พวกเขาเกิดความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
นอกจากนี้ ผู้คนจำนวนมากต่างเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกมาพบจางชิงหยาง พวกเขาเต็มใจที่จะยอมรับเย่ฟ่านเป็นผู้ปกครองสูงสุดของโลกยุคปัจจุบัน และพวกเขาต้องการเรียนรู้เต๋าจากเย่ฟ่านอีกด้วย
บางคนที่อยู่ในระดับเซียนเทียมขั้นสามนั้นมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการนี้มากที่สุด พวกเขาตระหนักได้ว่าในปัจจุบันเย่ฟ่านกลายเป็นจ้าวแห่งเต๋าที่สามารถสั่งการโลกทั้งใบให้เป็นไปตามความปรารถนาของตัวเอง
และด้วยวิธีการนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสยบยอมต่อเย่ฟ่านเพื่อให้ตัวเองสามารถพึ่งพาเต๋าเหล่านั้นหล่อเลี้ยงร่างกายและวิญญาณต่อไปได้
สภาพแวดล้อมในยุคปัจจุบันนั้นการจะเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก อย่างไรก็ตามเมื่อเย่ฟ่านประสบความสำเร็จย่อมแสดงให้เห็นว่าเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะได้!
แม้กระทั่งในยุคโบราณก็มีคนเช่นนี้น้อยมาก หากใครที่มีคุณสมบัติเป็นราชาสวรรค์ของดวงดาวต้นกำเนิดชีวิตย่อมหมายความว่าเส้นทางแห่งความอมตะได้เปิดสู่พวกเขาแล้ว
“เขาไม่ใช่เชื้อสายของจักรพรรดิ แต่เขาเป็นเพียงคนเดียวที่บรรลุขั้นนี้ได้”
ไม่ใช่ว่าทุกคนในโลกจะแสดงความยินดีต่อเย่ฟ่าน ก่อนหน้านี้พวกเขาแทบจะเป็นผู้ปกครองสูงสุดของดาวดวงนี้ แต่เมื่อเย่ฟ่านปรากฏตัวขึ้นมันก็เป็นการคุกคามสถานะของพวกเขาโดยตรง
“อาจารย์!”
เมื่อพวกเขาเห็นเย่ฟ่านกลับมาอย่างปลอดภัย ศิษย์หลายคนก็ตื่นเต้นมาก ไม่มีใครนอกจากพวกเขาที่รู้ว่าการต่อสู้ของเย่ฟ่านหลายวันก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยอันตรายร้ายแรงมากเพียงใด!
นี่คือร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณที่ไม่เคยประสบประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในรอบแสนปีที่ผ่านมา การดำรงอยู่ของพวกเขาถือเป็นการท้าทายสวรรค์อย่างยิ่ง ดังนั้นสวรรค์อนุญาตให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นภัยคุกคามตัวเองได้อย่างไร
เสี่ยวซงกระพริบตาโตรีบวิ่งไปหาเย่ฟ่านทันที
เย่ฟ่านยิ้มแล้วมอบของขวัญอันล้ำค่าแก่เหลาศิษย์ทุกคน เขาเอายาศักดิ์สิทธิ์มอบให้ทุกคน ในขณะเดียวกันเขาก็นำเนื้อของบรรพชนจระเข้ออกมาประกอบอาหารเพื่อเลี้ยงฉลองในคืนนั้น
เสี่ยวซงมีชีวิตชีวาไม่ตกใจเหมือนกับศิษย์คนอื่นๆ มันกระโดดไปรอบๆ และตกลงไปในหม้อต้มเนื้ออย่างไม่ตั้งใจ สภาพของมันดูน่าอายเป็นอย่างมากและกระตุ้นเสียงหัวเราะของทุกคนให้เกิดขึ้น
เย่ฟ่านนั่งสมาธิอยู่บนก้อนหิน ร่างกายของเขาปลดปล่อยคลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างเปี่ยมล้น ลูกศิษย์ทุกคนของเขาเกิดความยินดีเป็นอย่างมากเพราะตลอดหลายพันปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครก้าวไปถึงระดับเดียวกันกับเย่ฟ่านได้
แน่นอนว่าในโลกยุคปัจจุบันยังมีสิ่งมีชีวิตระดับราชาผู้ยิ่งใหญ่อีกหลายคน ถึงอย่างนั้นคนเหล่านี้ก็มีอายุสี่ห้าพันปีแล้ว
และในยุคปัจจุบันที่เต๋าเสื่อมโทรม ขอบเขตสูงสุดของพวกเขาดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่อาณาจักรปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
“การเอาชนะเต๋าได้ในยุคสิ้นสุดธรรมนี้มันไม่แตกต่างอะไรจากการบรรลุขอบเขตของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่…” จางชิงหยางกล่าวด้วยความตื่นเต้น
เย่ฟ่านนำโต๊ะหยกขาวออกมาเพื่อใช้เป็นโต๊ะรับประทานอาหาร บนโต๊ะของพวกเขามีเนื้อบรรพชนจระเข้และผลไม้ศักดิ์สิทธิ์หลายชนิด
“ข้าเคยได้ยินเรื่องจระเข้โบราณตัวนี้จากผู้อื่นเช่นกัน ว่ากันว่าเขาเป็นหนึ่งในปีศาจร้ายที่ถูกศากยมุนีปราบปรามไว้ในนรกทั้งสิบแปดขุม ไม่คิดว่าอาจารย์จะเอาชนะเขาได้…”
หลายคนมีท่าทีอึดอัดเล็กน้อยเมื่อรับประทานเนื้อที่เต็มไปด้วยพลังแห่งเต๋าเข้าไป แต่บางคนคงยังไม่เชื่อและไม่สนใจคำเตือนของเย่ฟ่าน
พวกเขาคิดว่ายิ่งรับประทานเนื้อศักดิ์สิทธิ์แบบนี้มากเท่าไรมันก็จะยิ่งส่งผลดีต่อตัวเอง ซึ่งในท้ายที่สุดร่างกายของพวกเขาก็เกิดความรุนแรงจนเกือบระเบิด
ตอนนี้เต๋าของเย่ฟ่านนั้นสมบูรณ์แล้ว ไม่มีสิ่งใดในโลกที่สามารถดึงดูดเขาได้อีกต่อไป การบรรลุความเป็นเซียนและกลายเป็นผู้อมตะในอนาคตคือเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา
ในคืนนั้นเขาต้อนรับนักพรตจากทั่วทุกมุมโลกที่เข้ามาแสดงความยินดี จากนั้นพวกเขาก็พูดถึงความลับโบราณหลายอย่างที่อาจซุกซ่อนอยู่ภายในภูเขาคุนหลุน
“มีหินศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนของเรา ว่ากันว่าเป็นก้อนหินที่ตกลงมาจากสวรรค์โบราณ เรื่องนี้ตัวข้าก็ไม่มั่นใจนัก แต่หากจักรพรรดิสวรรค์ต้องการข้าสามารถมอบให้ท่านตอนนี้ได้เลย” ปรมาจารย์ฉางชิงกล่าวกับเย่ฟ่าน
ตอนนี้เย่ฟ่านได้บรรลุการรู้แจ้งและกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดของโลก ตามปกติแล้วผู้คนจะต้องเรียกเขาว่าราชาสวรรค์ อย่างไรก็ตามจางชิงหยางกล่าวว่าศักดิ์ศรีของเย่ฟ่านในปัจจุบันคู่ควรกับการเป็นจักรพรรดิสวรรค์แล้ว
“มีวิหารโบราณที่เหลืออยู่เพียงครึ่งหลังบนคุนหลุน ว่ากันว่ามันเป็นวิหารที่ตกลงมาจากสวรรค์โบราณเช่นกัน…” ปรมาจารย์อีกคนกล่าว
“ข้าจะต้องไปที่นั่นสักครั้ง!” เย่ฟ่านพยักหน้า
ตำนานต่างๆ ของโลกใบนี้มีความเกี่ยวข้องกับคุนหลุนอย่างลึกซึ้ง หากเขาต้องการค้นหาเส้นทางกลับสู่เป่ยโต้วเขาจะต้องเริ่มต้นจากที่นั่นก่อน
ในภูเขาคุนหลุนมีสำนักเต๋ามากมาย ในขณะนี้ผู้นำของสำนักเต๋าเจี้ยนเหมิน สำนักฉางชิง สำนักฉวนเจิ้น จู้หวง หุบเขาหมื่นอสูรและดินแดนอื่นๆ ต่างมอบข้อมูลล้ำค่าให้กับเย่ฟ่าน
“นี่คือหินศักดิ์สิทธิ์ที่มีน้ำหนักมากกว่าหมื่นจิน บางคนบอกว่ามันมาจากอาณาจักรเซียน บางคนก็บอกว่ามาจากสวรรค์โบราณ แม้เราจะไม่รู้ถึงประโยชน์ของมันแต่ก็เก็บไว้ในสำนักหลายพันปีแล้ว”
หินก้อนนี้มีสีม่วงและมีความสูงเทียบเท่ากับสีสามมนุษย์ ลักษณะเหมือนหยกโบราณที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น ไม่มีความแวววาว ตอนนี้ปมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนต่างเหนื่อยล้าจากการแบกมันขึ้นมา
เย่ฟ่านเดินไปรอบๆหิน ในสายตาของเขาที่เป็นกึ่งปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์ เขาตระหนักได้ดีว่านี่เป็นหินที่มีความลึกลับอย่างแน่นอน
………….