ตอนที่ 92 สมบัติของกบสี่ตา!
ตอนที่ 92 สมบัติของกบสี่ตา!
ผู้นำตระกูลเซี่ยกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ใครก็ตามที่วางยาด้วยธูปจนทำให้ลูกสาวของเขาต้องเดือดร้อน เขาจะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด!
และคนๆนั้นจะต้องได้รับการลงโทษอย่างสาสมจากผู้นำตระกูลเซี่ย!
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับลู่ชางเฉิง เพราะเขาเป็นแค่หมอที่มารักษาเท่านั่นซึ่งเขาเองก็ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในตระกูล
“เข้าใจแล้ว ข้าจะจัดการเรื่องธูปเอง ข้าต้องขอบคุณหมอลู่มากจริงๆ”
ดังนั้นลู่ชางเฉิงจึงเขียนใบสั่งยาและมอบให้ผู้ดูแลตระกูลเซี่ยไปหาสมุนไพรที่จําเป็น
หลังจากนั้น ลู่ชางเฉิงจึงถูกเชิญให้ไปพักผ่อนในห้องพัก
เขาต้องใช้เวลาอีกประมาณสิบวันในการรักษาหญิงเซี่ยและต้องอยู่ที่บ้านพักตระกูลเซี่ยไปก่อนเพื่อป้องกันอาการและเรื่องไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นกับเธอได้
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปสามวัน
ผู้นำตระกูลเซี่ยใช้ยาจากใบสั่งแรกหมดแล้วและตอนนี้เขาต้องการใบสั่งยาใหม่
หลังจากที่ผ่านมาสามวันของการรักษา อาการของหญิงเซี่ยก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มีรายงานว่าเธอไม่ฝันร้ายในตอนกลางคืนอีกแล้วและสภาพของเธอก็ดีขึ้นมาก
แต่เพื่อการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ จึงจําเป็นต้องมีการดูแลอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กำลังพักอยู่ในบ้านของตระกูลเซี่ย ลู่ชางเฉิงก็ได้ยินข่าวลือบางอย่างเช่นกัน
ดูเหมือนว่าผู้นำตระกูลเซี่ยได้ลงโทษคนรับใช้บางคนในบ้านพักของตระกูลเซี่ยอย่างรุนแรง และสั่งให้นักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะจัดการจนทําให้เกิดความโกลาหลขึ้น
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเพราะต้องการจัดการความเป็นส่วนตัวของหญิงเซี่ย
เพราะมันอาจส่งผลต่ออาการป่วยของเธอได้
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องของหญิงเซี่ยก็ไม่มีใครกล้านินทาเธอตรงๆ
ส่วนลู่ชางเฉิงนั้นไม่ได้สนใจเรื่องนินทาที่เกี่ยวกับหญิงเซี่ยเลยแม้แต่น้อย
และเนื่องจากเขาใช้เวลาสามวันในบ้านของตระกูลเซี่ย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
เมืองหยานเฉิงนั้นเป็นที่รู้จักด้านการผลิตเกลือชั้นดีและเป็นเมืองที่มีการค้าคึกคักซึ่งมีพ่อค้าจํานวนมากมาเดินทางเข้ามาและออกไปในเมืองแห่งนี้
ลู่ชางเฉิงเดินผ่านถนนที่พลุกพล่านและทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกีบม้าจากข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
"รีบหลีกทางไปให้พ้น!"
ม้าเร็วสองตัวกําลังควบผ่านถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนที่แออัด
บางคนที่ตอบสนองช้าเกินไปได้ถูกม้าชนอย่างแรง
เด็กอายุประมาณห้าขวบที่ดูเหมือนจะหลงทางกำลังยืนอยู่กลางถนนโดยที่มีม้าเร็วตัวกำลังพุ่งเข้าหาเด็ก ซึ่งม้าเร็วตัวนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
ลู่ชางเฉิงจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทันใดนั้น ชายร่างกำยำคนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากข้างถนนแล้วคว้าเด็กคนนั้นอย่างรวดเร็วแล้วใช้ฝ่ามือตีไปที่ม้าเร็วตัวนั้นทันที
"ตู้มม"
ม้าเร็วตัวนั้นล้มลงซึ่งทำให้คนที่อยู่บนหลังของมันรีบกระโดดลงจากม้าทันที
"ใครกันที่ทําให้ม้าของข้าบาดเจ็บน่ะ?!" คนบนม้านั้นตะคอกใส่ชายร่างกำยำทันที
ชายร่างกำยำค่อยๆวางเด็กลงและพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่สําคัญหรอกว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่การควบม้าบนถนนแบบนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเลยสักนิด!”
"นี่เจ้า...!!"
ในขณะเดียวกัน คนบนม้าอีกตัวได้หยุดห้ามเพื่อนของเขาที่กำลังโกรธ ซึ่งหลังจากจ้องมองชายร่างกำยำคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นประสานมือของเขาและพูดว่า "ท่านคือนักศิลปะการต่อสู้ผู้โด่งดัง “เล่ยซีอองแห่งภูเขาบา” คนนั้นจริงๆด้วย”
“พวกข้าสองคนกำลังรีบเลยควบม้ามาชนท่านเล่ยโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกข้าต้องขออภัยท่านเล่ยด้วยจริงๆ”
เล่ยซีอองหัวเราะเยาะ "ฮึๆ ไม่ว่าเจ้าจะชนข้าหรือไม่ก็ตาม แต่เจ้ากําลังทําให้เด็กคนนี้กลัวอยู่"
“ถ้าให้ข้าตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเจ้า พวกเจ้าน่าจะเป็นสมาชิกของกลุ่มวารีทมิฬในเมืองหยานเฉิงสินะ?”
“แม้ว่าผู้คนในเมืองหยานเฉิงจำนวนมากจะกลัวกลุ่มวารีทมิฬอย่างพวกเจ้า แต่ข้านั้นไม่กลัวเลยสักนิด!”
“อีกอย่าง ไปบอกผู้นำของพวกเจ้าว่าการพยายามผูกขาดสมบัติของกบสี่ตามันเป็นได้แค่ความฝันเท่านั้น!”
ใบหน้าของสมาชิกกลุ่มวารีทมิฬทั้งสองคนซีดลงทันที
"รีบไปกันเถอะ"
พวกเขาไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อและรีบจากไปโดยที่ขึ้นไปขี่ม้าตัวเดียวกัน
“ขอบคุณท่านมากจริงๆท่านเล่ย” แม่ของเด็กที่เขาช่วยเอาไว้เข้ามารับลูกของเธอและคุกเข่าก้มหัวให้กับเล่ยซีออง
เล่ยซีอองรีบพยุงแม่และลูกให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะส่ายหัวพูดว่า “เจ้าจะต้องดูแลลูกให้ดีกว่านี้นะ ตอนนี้พวกเจ้าน่ะรีบไปเถอะ ถ้าหากพวกเจ้าอาศัยอยู่ในเมืองหยานเฉิงแล้วถูกกลุ่มวารีทมิฬสองคนนั้นเพ่งเล็งมันอาจทำให้พวกเจ้าลําบากได้”
เล่ยซีอองผายมือปล่อยให้แม่ลูกจากไป
หลังจากนั้นเล่ยซีอองก็จากไปเช่นกัน
เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ แววตาของลู่ชางเฉิงจึงเผยให้ถึงความเข้าใจบางอย่าง
"สมบัติของกบสี่ตางั้นรึ?"
“ถ้าใจไม่ผิดเทคนิคลับการเปลี่ยนแปลงสมบัติเส้นตันเถียนนั้นต้องใช้สมบัติหายากและมีค่าเจ็ดอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสมบัติของกบสี่ตา”
“ช่างบังเอิญจริงๆที่สมบัติของกบสี่ตาได้ปรากฏขึ้นในเมืองหยานเฉิงแห่งนี้”
ลู่ชางเฉิงจ้องไปที่ร่างที่ค่อยๆหายไปของเล่ยซีอองและกำลังคิดอะไรบางอย่าง
เล่ยซีอองเดินวนอยู่หลายครั้งและในที่สุดเขาก็กลับไปที่บ้านพักชั่วคราวที่เขาเช่าเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้โอหังเหมือนกับที่เขาพูดและจริงๆแล้วเขาก็เป็นคนที่ระวังตัวมาก
เขาได้ออกเดินทางหลายพันกิโลจากภูเขาบาเพื่อมายังเมืองหยานเฉิงเพื่อตามหาสมบัติของกบสี่ตา
เขาได้รับข้อมูลบางอย่างว่าสมบัติของกบสี่ตาได้ปรากฏขึ้นในเมืองหยานเฉิง
หากได้ใช้สมบัติของกบสี่ตาจะทําให้ร่างกายต้านทานสารพิษได้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นสําหรับนักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะ สมบัติของกบสี่ตานั้นมีค่ามากกว่าเพราะสามารถเสริมสร้างสภาพร่างกายของพวกเขาได้
ด้วยผลของสมบัติของกบสี่ตา เล่ยซีอองจึงกล้าที่จะพยายามก้าวข้ามเข้าไปในขอบเขตพลังศักดิ์สิทธิ์
นักศิลปะการต่อสู้หลายคนต่างก็มาที่เมืองหยานเฉิงเพื่อแย่งชิงสมบัติของกบสี่ตา ซึ่งเล่ยซีอองก็ได้พบกับนักศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงบางส่วนขากโลกแห่งการต่อสู้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละคนนั้นมีพลังทัดเทียมกับเขามาก
หากเขาต้องการชิงสมบัติของกบสี่ตามาเป็นของตัวเอง การวางแผนอย่างรอบคอบก็เป็นสิ่งจําเป็นเช่นกัน
วันนี้เขาแค่แสร้งทําเป็นเผชิญหน้ากับกลุ่มวารีทมิฬเพราะเขาไม่แน่ใจว่ากลุ่มวารีทมิฬได้รับสมบัติของกบสี่ตาไปแล้วจริงหรือไม่
แต่เนื่องจากกลุ่มวารีทมิฬเป็นกลุ่มประจำเมืองหยานเฉิง ถ้าหากสมบัติของกบสี่ตาปรากฏขึ้นในเมืองหยานเฉิงจริงๆ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะได้รับมันสูงมาก
"เจ้ารู้เรื่องสมบัติของกบสี่ตามากแค่ไหนกัน?"
ทันใดนั้นเล่ยซีอองก็ได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นในหูของเขา
ใบหน้าของเล่ยซีอองเปลี่ยนไปอย่างมาก "เจ้าเป็นใครกัน?!"
ในเวลาเดียวกันเขาก็ชักดาบของเขาออก
"ชิ้งง"
เล่ยซีอองหรือเป็นที่รู้จักในชื่อ "ดาบพิฆาตแห่งภูเขาบาเล่ยซีออง" ไม่ใช่ฉายาที่ได้มาโดยใช้โชคช่วย
แม้ว่าตอนนี้เขากําลังหันหลังกลับ แต่เขาก็ดึงดาบของเขาออกมาและฟันไปข้างหลังเขาอย่างรวดเร็วในครั้งเดียว
การเคลื่อนไหวของเขาเป็นธรรมชาติมากและความเร็วดาบของเขาก็รวดเร็วเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีด้วยดาบของเขานั้นทรงพลังและหนักหน่วง แม้แต่นักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะขั้นสูงก็ยากที่จะป้องกันการโจมตีนี้ได้
เมื่อเขาหันกลับมา เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขาอย่างใจเย็น
และคมดาบของเล่ยซีอองก็อยู่ห่างจากคอของชายคนนั้นเพียงสามนิ้ว
อีกเพียงเสี้ยววิดาบของเขาก็จะฟันหัวของชายคนนั้นขาดแล้ว!
"ฟุ่บบ"
ชายหนุ่มคนนั้นยื่นมือออกอย่างรวดเร็วและใช้มือเปล่าของเขาเอื้อมมือไปคมดาบที่แหลมคมเอาไว้อย่างง่ายดายราวกับว่าคมดาบนั้นเป็นแค่กระดาษ
นอกจากนี้ ชายคนนั้นแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามในการจับคมดาบให้อยู่นิ่ง นอกจากนี้มือของเขาก็ไม่มีบาดแผลใดๆเลย ไม่ว่าเล่ยซีอองจะพยายามออกแรงดึงดาบกลับมามากเพียงใดก็ตาม
"แก๊งง"
ดาบเล่มใหญ่นั้นถูกขยี้จนกลายเป็นเศษเหล็กขณะที่เขาบีบมันให้แตกเป็นเศษๆด้วยมือเปล่า
“ความเร็วดาบไม่เลว แต่พลังของดาบยังอ่อนแอเกินไป” แน่นอนว่าชายคนนี้ก็คือลู่ชางเฉิง
เล่ยซีอองแทบไม่อยากจะเชื่อว่าความเร็วและพลังของดาบที่เขาภาคภูมิใจจะถูกหยุดเอาไว้ได้ง่ายขนาดนี้
แต่เมื่อพูดถึงวิชาดาบ พลังดาบเขายังคงด้อยกว่าเจาฉี่เล่ยมาก
“จับดาบด้วยมือเปล่าโดยไร้บาดแผลและทำลายดาบได้งั้นรึ?! ศักดิ์สิทธิ์...นี่เจ้าอยู่ในขอบเขตพลังศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ?!”
หัวใจของเล่ยซีอองสั่นสะท้านและใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที
ด้วยการจับดาบด้วยมือเดียวและสามารถขยี้ดาบได้อย่างง่ายดายแบบนี้ มีเพียงนักศิลปะการต่อสู้ในขอบเขตพลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถทำแบบนี้ได้
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นนักศิลปะการต่อสู้ในขอบเขตพลังศักดิ์สิทธิ์จริงๆ!