ตอนที่ 91 โรคฝันร้าย!
ตอนที่ 91 โรคฝันร้าย!
ในขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนโค้งได้คํานับลู่ชางเฉิงและพูดว่า 'ข้าเป็นผู้ดูแลของตระกูลเซี่ยในเมืองหยานเฉิง ตอนนี้นายหญิงของข้ากำลังป่วยเป็นโรคแปลกๆดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อเชิญหมอวู่ไปรักษา”
“แต่เนื่องจากข้าไม่คิดว่าหมอวู่นั้นไม่สบายและไม่สามารถเดินทางที่ไกลๆได้ ดังนั้นหมอลู่จึงได้บอกว่าจะส่งลูกศิษย์ไป และข้าก็เชื่อว่าทักษะด้านการรักษาของหมอลู่นั้นยอดเยี่ยมมาก หมอลู่ท่านยินดีที่จะไปรักษานายหญิงของข้าที่เมืองหยานเฉิงหรือไม่? ถ้าหากหมอลู่เต็มใจที่จะไปและรักษาลูกนายหญิงของข้าจนหายดีได้ ข้าจะมอบค่ารักษาให้หนึ่งร้อยเหรียญทอง!'
ลู่ชางเฉิงค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย
เหรียญทองหนึ่งร้อยเหรียญเงินไม่ใช่จํานวนน้อยๆ ถ้าว่ามันเปลี่ยนเป็นเงินมันจะมีมูลค่าคือ 1,000 เตล!
ซึ่งมันเยอะมากๆ!
แน่นอนว่าลู่ชางเฉิงในตอนนี้ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แต่ดูเหมือนว่าหมอวู่จะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับตระกูลเซี่ย
หมอวู่ได้พูดขึ้นว่า “ชางเฉิง ช่วยไปกับเขาด้วยเถอะ ถ้าหากเจ้าสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยนั่นได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าไม่สามารถรักษาได้เจ้าก็แค่พูดกับเขาตรงๆเท่านั้นเอง”
ลู่ชางเฉิงหยักหน้าเข้าใจ
ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์จะส่งเขาไปแทนในการเดินทางครั้งนี้ ดูเหมือนว่าวู่จิงจะมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับตระกูลเซี่ยจริงๆ
“ในเมื่อท่านอาจารย์ได้สั่งข้าแล้ว ข้าจะปฎิเสธได้อย่างไร?”
“ท่านเซี่ย ข้าขอกลับไปเตรียมของที่จำเป็นต้องใช้สําหรับการเดินทางที่บ้านก่อนได้ไหม? เพราะเมืองหยานเฉิงนั้นอยู่ค่อนข้างไกล ข้าจึงอยากเตรียมตัวให้พร้อมก่อน”
“ได้อยู่แล้วหมอลู่”
ดังนั้นลู่ชางเฉิงจึงกลับไปที่บ้านเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม
การเดินทางไปเมืองหยานเฉิงในครั้งนี้น่าจะใช้เวลานาน
ถ้าหากเดินทางไปที่เมืองหยานเฉิงได้อย่างปลอดภัย มันจะใช้เวลาสามถึงห้าวันในการเดินทาง
ซึ่งในตอนนี้การเดินทางไกลก็ยังคงมีความเสี่ยงที่จะเจอกับอันตรายอยู่บ้าง
ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ในอดีตของวู่จิงกับตระกูลเซี่ย เขาคงไม่ส่งลู่ชางเฉิงไปที่เมืองหยานเฉิงแน่ๆ
หลังจากที่เก็บข้าวของแล้ว ลู่ชางเฉิงจึงกลับไปที่ร้านขายยาของวู่จิง
“หมอลู่ ข้าได้เตรียมรถม้าให้กับเจ้าแล้ว ได้โปรดเชิญที่รถม้าด้วยครับ”
ลู่ชางเฉิงพยักหน้าและเห็นรถม้าอยู่ด้านข้างร้านขายยา
จากนั้นเขาก็ขึ้นรถม้าไป
ผู้นำตระกูลเซี่ยและวู่จิงได้กล่าวอําลากัน จากนั้นรถม้าก็มุ่งหน้าออกจากเมืองหนานหยางไป
ในพริบตาเวลาก็ผ่านไปสามวัน
รถม้าค่อยๆเข้าไปในเมืองหยานเฉิง
ในช่วงนี้ ลู่ชางเฉิงกำลังคิดว่าตระกูลเซี่ยมีนั้นเป็นตระกูลที่มีความสำคัญอย่างไร? เพราะนักศิลปะการต่อสู้ทุกคนที่คุ้มกันรถม้าเป็นนักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะซึ่งบ่งบอกได้ถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของตระกูลเซี่ย”
“ตระกูลเซี่ยนั้นเป็นผู้ค้าเกลือซึ่งพวกเขาเป็นพ่อค้าเกลือรายใหญ่!
นอกจากนี้เมืองหยานเฉิงยังมีชื่อเสียงในด้านเกลือคุณภาพดี ซึ่งตระกูลเซี่ยก็เป็นพ่อค้าเกลือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหยานเฉิง ทำให้พวกเขามีความมั่งคั่งมาก
ไม่นานหลังจากนั้นรถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนเข้าไปในที่ดินขนาดใหญ่
ที่ดินผืนนี้มีขนาดกว้างใหญ่จริงๆ ซึ่งใหญ่กว่าพื้นที่ของตระกูลเก๋าด้วยซ้ำ
ลู่ชางเฉิงคิดว่าตัวเองนั้นโชคดีที่เคยได้เห็นความยิ่งใหญ่และหรูหราของตระกูลเก๋ามาก่อนหน้านี้แล้ว
แต่เมื่อเทียบกับพื้นที่ของตระกูลเซี่ย ตระกูลเก๋านั้นเทียบไม่ติด ราวกับว่าที่ตั้งของตระกูลเก๋านั้นเป็นเพียงบ้านทั่วไปขณะที่ตระกูลเซี่ยคือพระราชวัง
ซึ่งนี่คือความมั่งคั่งของพ่อค้าเกลือที่เห็นได้ชัดเจน
ลู่ชางเฉิงถูกนําตัวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ด้วยความเคารพ ซึ่งผู้ดูแลตระกูลเซี่ยก็รออยู่พักหนึ่ง และเมื่อได้เห็นลู่ชางเฉิงปรากฎตัว ผู้นำและภรรยาของผู้นำตระกูลเซี่ยจึงลุกขึ้นทันทีและพูดว่า “หมอลู่ ในที่สุดเจ้าก็มาถึงแล้ว”
“ข้าน่ะรู้จักกับหมอวู่จิงเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าหมอวู่นั้นมีความสามารถในการรักษาที่น่าทึ่ง ซึ่งเขาถือว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการแพทย์อย่างแท้จริง ซึ่งข้าก็เชื่อว่าหมอลู่ที่สืบทอดความสามารถของหมอวู่มานั้นต้องมีความสามารถที่ไม่ต่างจากหมอวู่แน่นอน”
“นายหญิงเซี่ย ก่อนอื่นให้ข้าได้ตรวจอาการผู้ป่วยเพื่อตรวจสอบก่อนเถิดว่าเป็นโรคที่สามารถรักษาได้หรือไม่ ถ้าข้าไม่เห็นผู้ป่วยข้าคงไม่สามารถให้คำตอบท่านได้”
ลู่ชางเฉิงพูดอย่างใจเย็น
“ถูกของเจ้า ถ้าอย่างนั้นข้าจะพาเจ้าไปที่ห้องลูกสาวของข้า”
หลังจากนั้น ผู้นำตระกูลเซี่ยจึงพาลู่ชางเฉิงเข้าไปในห้องส่วนตัวของลูกสาวของเขา
ห้องส่วนตัวนั้นกว้างมากและเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ผสมกับไม้จันทน์เล็กน้อย
สาวใช้หลายคนกำลังดูแลเธออยู่ข้างเตียง
หญิงสาวอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปีกำลังนอนอยู่บนเตียง
เธอดูสวยงามและมีผิวขาว แต่แววตาของเธอนั้นดูว่างเปล่าไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวาและผิวของเธอก็ซีดกว่าที่ควรจะเป็น คล้ายกับคนป่วย
ลู่ชางเฉิงถามว่า “เจ้าเซี่ย เจ้ารู้สึกไม่สบายใจตรงไหนรึ?”
หญิงเซี่ยเหลือบไปมองลู่ชางเฉิงด้วยแววตาที่แสดงความประหลาดใจออกมาชั่วครู่
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ตระกูลเซี่ยได้จ้างหมอที่มีชื่อเสียงมาหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชายสูงอายุ ซึ่งการที่หมอหนุ่มอย่างลู่ชางเฉิงถูกเชิญมารักษาเธอนั้นดูผิดปกติไปเล็กน้อย
หญิงเซี่ยพูดขึ้น “ที่ผ่านมาข้าฝันร้ายมาโดยตลอด ข้าฝันร้ายทุกคืนและในระหว่างวันข้าก็รู้สึกง่วงและสับสนมาก ราวกับว่าข้าไม่รู้ว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือความฝัน”
ลู่ชางเฉิงถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนี้ เพราะนี่เป็นโรคที่ค่อนข้างซับซ้อน
หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มตรวจชีพจรของหญิงเซี่ยทันที
“เป็นยังไงบ้างหมอลู่?”
ผู้นำตระกูลเซี่ยถามด้วยความกังวล
ลู่ชางเฉิงไม่รีบตอบ แต่เดินออกไปกับผู้นำตระกูลเซี่ยแทน
“ท่านผู้นำตระกูลเซี่ย ถ้าหากว่าข้าสันนิษฐานไม่ผิด หญิงเซี่ยในตอนนี้ดูเหมือนจะทุกข์ทรมานจากโรคฝันร้าย”
“โรคฝันร้ายงั้นรึ?”
ผู้นำตระกูลเซี่ยทำหน้างงเล็กน้อย
“ใช่ แม้ว่าโรคฝันร้ายจะไม่ส่งผลโดยตรงถึงชีวิต แต่มันอาจทําให้เกิดความเหนื่อยล้าทางจิตใจจากฝันร้ายที่เกิดขึ้นซ้ำๆได้”
“แต่เท่าที่ข้ารู้ โรคฝันร้ายนั้นมักถูกกระตุ้นขึ้นจากสาเหตุภายนอก”
ผู้นำตระกูลเซี่ยถามว่า “หมอลู่หมายความว่าอะไรงั้นรึ?”
'ธูปไงล่ะ! หญิงเซี่ยน่าจะถูกกล่อมประสาทด้วยธูปและไม่ใช่ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่อาจจะถูกสูดดมกลิ่นของธูปมาเป็นระยะเวลานานซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการฝันร้ายซ้ำในตอนกลางคืนซึ่งนําไปสู่โรคฝันร้าย”
คําพูดของลู่ชางเฉิงทําให้ใบหน้าของผู้นำตระกูลเซี่ยเปลี่ยนไปอย่างมาก
ธูปงั้นรึ?!
เขารู้ดีว่านี่หมายความว่าอะไร
มีใครบางคนคิดวางแผนที่จะฆ่าลูกสาวของเขา!
“หมอลู่ แล้วมันมีวิธีรักษาโรคฝันร้ายนี้บ้างไหม?”
ผู้นำตระกูลเซี่ยถามอย่างเงียบๆ
“แน่นอนว่ามันเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ ดังนั้นข้าจะสั่งยาและท่านก็ควรสั่งยามาทุกๆสามวัน หลังจากนั้นมันอาจจะใช้เวลาอีกประมาณสิบวันในการฟื้นฟูร่างกายของเธอ แต่ในช่วงระยะเวลาการรักษาและหลังจากนั้น หญิงเซี่ยจะต้องไม่สัมผัสกับธูปประเภทนั้นอีกเด็ดขาด มิฉะนั้น แม้ว่าเธอจะหายแล้ว แต่อาการก็อาจกําเริบขึ้นมาได้..”