ตอนที่แล้วตอนที่ 50 จุดเริ่มต้นของหมื่นดาบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 52 อยู่ยงคงกระพันในระดับ 1

ตอนที่ 51 นิกายอมตะ (ฟรี)


ตอนที่ 51 นิกายอมตะ

“ดังนั้น สำนักกลั่นโลหิตกำลังทำจะทำเรื่องใหญ่?” ซูหยางเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ

หากมีคนของสำนักกลั่นโลหิตเพียงกลุ่มเล็กๆ เมื่อเรื่องดังกล่าวจะถูกเปิดเผย พวกเขาสามารถถอนตัวออกไปได้

แต่เมื่อมีการปรากฏของค่ายกลสังเวยเลือด ต้องมีเรื่องใหญ่โตเกินขึ้นอย่างแน่นอน

เพียงแต่ว่าผู้ฝึกฝนปีศาจเหล่านี้ยังคงซ่อนตัวอยู่ และไม่ได้เคลื่อนไหว

แต่ยิ่งนานมากเท่าไรก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น

ถ้ารู้ว่าสำนักกลั่นโลหิตกำลังวางแผนจะทำอะไร อย่างน้อย พวกเขาก็หาวิธีจัดการกับมันได้ แต่ตอนนี้ เพียงแค่การเปิดเผยของค่ายกลสังเวยเลือด มันก็ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกแล้ว แต่ผู้ฝึกฝนปีศาจ และตัวสำนักกลั่นโลหิตยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ มากนัก

นี่แสดงให้เห็นว่าค่ายกลสังเวยเลือดที่ถูกพบไม่ได้สำคัญมากนัก

สำนักกลั่นโลหิตต้องมีแผนที่น่ากลัวกว่านี้ หรืออาจมีเป้าหมายอื่น

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดในตอนนี้คือ การจับกุมคนของสำนักกลั่นโลหิตทั้งหมด

"ใช่" ฮั่นชิวพูดอย่างเปนกังวล "แม้ว่าสำนักกลั่นโลหิตจะเปิดเผยตัวเองในครั้งนี้ เราก็อาจไม่สามารถกวาดล้างพวกเขาได้"

“ทำไม?” ซูหยางรู้สึกงุนงง หากสำนักกลั่นโลหิตเปิดเผยตัว ราชสำนักควรจะส่งผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งมาปราบปราม

“เจ้าหนู เจ้าคงไม่ใส่ใจกับสถานการณ์ในโลกนี้มากนักใช่ไหม?” คำพูดของฮั่นชิวเผยให้เห็นถึงความแปลกใจ

ซู่หยางพยักหน้า จนถึงตอนนี้ เขามุ่งเน้นไปที่การแกว่งดาบ และพัฒนาความแข็งแกร่งของตน ในพื้นที่ๆ เขาดูแลยังมีปัญหา จะพูดถึงโลกไปทำไม?

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าโลกเป็นเช่นไร แต่ถ้าเขาไม่พลังพอที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

“ตอนนี้ต้าเซี่ยได้ตกอยูในความสับสนวุ่นวาย มณฑลเฮยหลินที่อยู่ติดกับเราก็จมอยู่ในความวุ่นวายจากวิญญาณมาร”

“อีกสามมณฑล ซาง เหลียว และชิงก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน”

“ยกเว้นกองทัพตามแนวชายแดน กองกำลังส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปเพื่อจัดการกับวิญญาณมารแล้ว”

“แม้ว่าอีกห้ามณฑลจะไม่ได้ประสบปัญหาใหญ่ในขณะนี้ แต่ก็ยังมีผู้ฝึกฝนปีศาจมากมายที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่เช่นเดียวกับเราในจังหวัดเทียนเฟิง”

“เมื่อกองกำลังส่วนใหญ่ของราชสำนักถูกส่งไปปราบปรามวิญญาณมาร และมารอมตะ พวกเขาก็ไม่อาจส่งคนมาช่วยเราได้มากนัก เราต้องพึ่งพาตัวเองในการจัดการเรื่องต่างๆ ในเขตอำนาจของตน”

“เรามียอดปรมาจารย์ 9 คนในมณฑลหลิงซาน ห้าคนถูกย้ายไปยังมณฑลเฮยหลิน สองคนกำลังปราบปรามถ้ำปีศาจ และสุดท้ายก็เหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่เคลื่อนไหวได้”

“แต่ต้องมียอดปรมาจารย์คอยปกป้องเมือง เช่นนั้นก็สามารถเคลื่อนไหวได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

“เมื่อเป็นแบบนี้ สำนักกลั่นโลหิตจะถูกทำลายได้อย่างไรในเมื่อมียอดปรมาจารย์เพียงคนเดียว?”

“เมื่อเปรียบเทียบกับวิญญาณมาร และมารอมตะแล้ว สำนักกลั่นโลหิตเป็นเพียงปัญหาเล็กๆ เท่านั้น”

“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เซียนยุทธ์ของต้าเซี่ยนั้นแก่แล้ว และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากนัก แต่ไม่มีเซียนยุทธ์คนใหม่ปรากฏขึ้น อาณาจักรเราก็จะเสื่อมถอยลง”

ในตอนท้าย ฮั่นชิวก็เต็มไปด้วยความโกรธเช่นกัน

ซูหยางเงียบไป เขาคาดไม่ถึงว่าสถานการณ์ของต้าเซี่ยจะเลวร้ายขนาดนี้

ไม่ว่าในเมืองผิงซานหรือจังหวัดเทียนเฟิง เขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งความหายนะ

ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีคนกำลังแบกท้องฟ้าเอาไว้เพื่อทำให้เขารู้สึกว่าต้าเซี่ยมั่นคง

“สำนักเหล่านั้นล่ะ แล้วนิกายอมตะ?”

เท่าที่เขารู้ มีหลายสำนักในโลกนี้ และยังมีนิกายอมตะที่ทรงพลังซึ่งยืนหยัดเหนือใครอยู่

ฮั่นชิวยิ้มอย่างขมขื่น "สำนัก? เจ้าควรสามารถเห็นได้จากการดูทัศนคติของสำนักต่างๆ รอบๆ จังหวัดเทียนเฟิง ถ้าต้องการให้สำนักเหล่านี้เคลื่อนไหวต้องมีผลประโยชน์”

พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาต่างจุดยืนกัน แม้จะไม่ใช่ศัตรูก็ไม่ใช่มิตร

“สำหรับนิกายอมตะ พวกเขาอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า พวกเขาจะเหลือบตามองโลกมนุษย์ได้อย่างไร?”

“ตราบเท่าที่ไม่ใช่หายนะของโลกทั้งใบ พวกเขาไม่สนว่าอาณาจักรใดจะล่มสลาย หรือเกิดการเปลื่ยนแปลงๆ ใด”

“พวกเขาเป็นนิกายอมตะ แต่ไม่ใช่นิกายอมตะแห่งต้าเซี่ย”

ใช่ คำพูดนี้ไม่ผิดเลย

ถ้าต้องการให้นิกายอมตะเคลื่อนไหวก็ต้องมีสิ่งที่พวกเขาต้องการ

แต่นิกายอมตะนั้นเชื่อมโยงกับโลกเบื้องบน และหยุดมุ่งความสนใจมาที่โลกมนุษย์มานานแล้ว ต้าเซี่ยจะทำอะไรให้พวกเขาสนใจได้?

ขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนน ทั้งคู่ก็ตกอยู่ในความเงียบ

“ไปกันเถอะ คุกอยู่ที่นี่”

หลังจากนั้นไม่นาน ฮั่นชิวก็พูดอย่างใจเย็น

“ใต้เท้า ท่านไม่ต้องกังวล เรื่องของสำนักกลั่นโลหิตจะได้รับการแก้ไขในอีกไม่นาน”

ซูหยางพูดอะไรบางอย่างแล้วก้าวเข้าไปในคุก

ฮันชิวรู้สึกว่าซูหยางกำลังปลอบเขา และยิ้มโดยไม่พูดอะไรมาก

เขาอายุเท่าไหร่แล้วยังต้องการๆ ปลอบจากเด็กๆ งั้นเหรอ?

ผู้ฝึกฝนปีศาจ 13 คนจากสำนักกลั่นโลหิตถูกขังอยู่ในคุก

เมื่อเข้ามา ซูหยางเพียงแค่ต้องมอบแต้มผลงานให้กับกองเจิ้นหวู่เท่านั้น

เมื่อเห็นซูหยางเข้ามา ผู้ฝึกฝนปีศาจเหล่านี้ก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป

บางคนนิ่งเงียบ บางคนดูถูก และบางคนร้องขอความเมตตา พยายามขอให้ซูหยางปล่อยพวกเขาไป

ซูหยางยังคงเงียบ และมาที่ห้องขังแรก

คนที่อยู่ข้างในพูดด้วยรอยยิ้มที่ดุร้าย "เจ้าหนู เจ้าไม่กลัวความตายเหรอ? เด็กน้อยอย่างเจ้าคงเป็นยาบำรุงที่ดีจริงๆ ข้าอยากจะดูดเจ้าให้แห้งเหลือเดิน"

ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดจบ หัวของเขาก็หลุดออกจากบ่าแล้ว

มันกระแทกพื้น ส่งเสียงดังกึกก้อง

สิ่งนี้ทำให้ห้องขังอื่นๆ ที่มีเสียงดังแต่เดิมเงียบลงในทันที

ดวงตามากกว่าสิบคู่มองดูสิ่งนี้พร้อมๆ กัน

ซูหยางหันหลังกลับอย่างสงบ และเดินออกจากห้องขังแรก และมาที่ห้องขังที่สอง

“เฮ้ เจ้าจะทำอะไร” ผู้ฝึกฝนปีศาจซึ่งแต่เดิมเยาะเย้ยซูหยางเริ่มตื่นตระหนก

เข้ามาสังหารใครซักคนโดยไม่พูดอะไรสักคำ เจ้าเป็นใครกันแน่?

ถ้าจะทำเช่นนี้จะจับเป็นพวกเรากลับมาทำไม?

แต่ขณะนี้ ซูหยางไม่มีความสนใจที่จะพูดคุยกับคนเหล่านี้

คนบาปเหล่านี้มือเปื้อนเลือดคนบริสุทธิ์ไปมากมาย

พวกเขาไม่สามารถเป็นคนดีได้หากมีบาปมากมายอยู่เหนือหัว

เขาเดินเข้าไปฆ่าด้วยดาบเดียว

เมื่อคนที่สองเสียชีวิต คนอื่นๆ ในห้องขังก็ตื่นตระหนกทันที

พวกเขาเริ่มตะโกน

แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนได้

พวกเขาถูกซูหยางสังหารทีละคน ทีละคน

ก้าวที่แผว่เบาของซูหยางทำให้หัวใจของผู้ฝึกฝนปีศาจเต้นเร็วขึ้น

โดยเฉพาะยิ่งอยู่ใกล้ หัวใจก็ยิ่งเต้นแรง

ความรู้สึกสิ้นหวังนี้ค่อนข้างคุ้นเคยสำหรับพวกเขา

มันเป็นรูปลักษณ์เดียวกันของผู้คนที่ถูกพวกเขากลั่นเป็นยาไม่ใช่หรือ?

อย่างไรก็ตาม คราวนี้ก็ถึงคราวของพวกเขาแล้ว

หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยางก็เดินออกจากคุก และไม่มีใครรอดชีวิตอยู่เบื้องหลัง

[ เจตจำนงแห่งสรรพชีวิต +73 ]

ระดับบาปของผู้ฝึกฝนปีศาจธรรมดานั้นต่ำ ท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงผู้อ่อนแอเท่านั้นที่จะถูกจับทั้งเป็นได้อย่างง่ายดาย

โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละคนคือ ระดับ 6

ผู้ฝึกฝนปีศาจ 13 คนใช้แต้มผลงานของซูหยางไป 23,000 แต้ม เขาจึงเหลือเพียง 7,000 แต้มเท่านั้น

[ ดาบเทียนฉิน ]

[ เจตจำนงดาบ : ระดับ 24 ( 23123 / 24000 ) ]

[ วิชาดาบ : เพลิงดารา ( ระดับ 24 ) ดาบบิน (ระดับ 24) ]

[ เจตจำนงแห่งสรรพชีวิต : 136 ]

[ พื้นที่ครอบคลุม : เมืองผิงซาน เมืองหวงซาน เมืองหลินเจียง เมืองไคหยาง ]

เมื่อมองไปที่แผงคุณสมบัติ ซูหยางวางแผนที่จะแกว่งดาบด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดต่อไป

อย่างน้อยก็ต้องไปถึงระดับ 30 ใช่ไหม?

ยอดปรมาจารย์ควรจะแข็งแกร่งกว่านี้มาก

ซูหยางแอบตั้งเป้าหมายไว้ในใจ

เมื่อเราเดินออกจากคุกก็เป็นเวลาพลบค่ำ และเหลือเพียงดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินราวกับเลือดที่เปรอะเปื้อนบนท้องฟ้า

เมื่อมองดูดวงอาทิตย์ตก แต่ละคนจะรู้สึกแตกต่างออกไป

ถ้าเจ้าอารมณ์ดี เมื่อมองมันจะภาพที่สวยงาม

เมื่อเดินกลับมาที่ถนน ซูหยางก็รีบเดินไปทางที่ตั้งของกองตรวจการ

เมื่อชาวยุทธจำนวนมากกลับมาพร้อมชัยชนะ เมืองเทียนเฟิงก็กลับมามีเสียงดังอีกครั้ง

ในขณะนี้ มีการเผชิญหน้าระหว่างคนสองกลุ่มที่ทางเข้าโรงเตี้ยมซึ่งซูหยาง เย่เจียง และซุนเทียนเผิงมักจะรวมตัวกัน

เมื่อฟังสิ่งที่คนที่อยู่รอบๆ พูดคุยกัน

ด้านหนึ่งเป็นศิษย์สำนักหั่วเจี้ยน และอีกด้านหนึ่งเป็นศิษย์สำนักจินเตา

ทั้งสองใช้ดายเหมือนกัน หลังจากการต่อสู้ที่ภูเขาชิงเฟิง จางเลี่ยจากสำนักหั่วเจี้ยน และเฉาข่ายจากสำนักจินเตาถูกเปรียบเทียบอย่างเปิดเผย

บางคนบอกว่าจางเลี่ยแข็งแกร่งกว่า เพราะเขาเข้าใจเจตจำนงดาบมานานแล้ว และได้ปราบปรามผู้ฝึกฝนปีศาจระดับ 3 สองคนตั้งแต่ต้น

แต่บางคนยังกล่าวว่าเฉาข่ายแข็งแกร่งกว่า เพราะแม้ว่าเขาจะเข้าใจเจตจำนงดาบในวันนี้ แต่เขาก็เป็นคนแรกที่สังหารผู้ฝึกฝนปีศาจระดับ 3 ได้

เมื่อมีการเปรียบเทียบที่เห็นความต่างได้ไม่ชัดเจน ทั้งสองฝ่ายก็ต่างเชื่อว่าตนแข็งแกร่งกว่า

แต่จะรู้ได้อย่างชัดเจนก็ต้องเมื่อได้ลองสู้กัน

บังเอิญว่าทั้งสองฝ่ายมารวมตัวกันในที่แห่งนี้พอดี ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการตัดสินให้แน่ชัด

พลังปราณของทั้งสองปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากัน มันส่งผลต่อบริเวณโดยรอบ

“เมื่อสองปีที่แล้ว ข้าแพ้ให้กับเจ้า วันนี้ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้” เฉาข่ายพูดอย่างสงบ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากออร่าของอีกฝ่าย

“ผลลัพธ์ในวันนี้จะเหมือนกับเมื่อสองปีที่แล้ว” จางเลี่ยยิ้มเยาะ

“ถ้าเจ้ากล้าก็มาสู้กับข้านอกเมือง!”

“เฮอะ ทำไมข้าจะไม่กล้า!”

ชายทั้งสองเปล่งพลังราวกับสายรุ้ง และพวกเขาในระดับสูงสุดในหมู่คนรุ่นใหม่ในจังหวัดเทียนเฟิง

จิตวิญญาณการต่อสู้ทำให้ฝูงชนโดยรอบตกใจ และทำให้เลือดของพวกเขาเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น

นี่ถึงจะสมกับเป็นชาวยุทธ

คลื่นพลังปราณของทั้งสองสั่นไหว ปะทะกันเป็นช่วงๆ ผู้ฝึกฝนที่อยู่รอบ ๆ ถอยออกไปทีละคนไม่กล้าที่จะอยู่ใกล้เกินไป

ภายใต้คลื่นพลัง แผงลอยที่อยู่รอบๆ พังทลายลง

รวมถึงแผงลอยของชายชราที่ซูหยางที่มักจะซื้อผลไม้ป่าด้วย

แผงลอยของเขาก็ถูกทำลายเสียหายเช่นกัน และเขากำลังเก็บผลไม้บนพื้นด้วยสีหน้าขมขื่น

เขาไม่สนใจการต่อสู้ของชาวยุทธ

มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย

เขาสนใจแค่ว่าผลไม้ป่าที่ตกพื้นเหล่านี้ยังสามารถขายได้หรือไม่?

และมีจำนวนเท่าใดที่ถูกทำลายจากผลพวงการต่อสู้นี้

5 3 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด