บทที่ 32: ท่านชอบอะไรในตัวนาง?
โม่อิ๋งเห็นการเปลี่ยนแปลงของนายท่านด้วยตาของตัวเอง ดังคำกล่าวที่ว่า เรื่องของสามีภรรยา คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งนั้นไม่เกินจริงเลย เพราะฉะนั้นพวกเขาที่เป็นเพียงคนรับใช้ก็ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่
ขณะเดียวกัน โม่เยว่ส่งสายตามีเลศนัยให้กับพี่ชายทันที ทำไมนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีคุณธรรมแบบนี้
“แต่ตอนนี้เจ้านายของข้าไม่ใช่ท่านผู้สำเร็จราชการฯ หากนายท่านไม่ได้เอ่ยปากสั่งให้ข้าออกมา ข้าก็ไม่มีสิทธิ์ทำตามอำเภอใจ” โม่เยว่พูดจบแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้อง
นั่นทำให้โม่อิ๋งตกใจรีบพุ่งเข้าไปขวางนางไว้
เป็นผลให้ทั้งสองคนยื้อยุดฉุดกระชากกันจนไปเริ่มต่อสู้กันที่ลานด้านหน้า
อีกด้านหนึ่ง ปัจจุบันคนสองคนในห้องเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด จนกระทั่งจวินหรูเย่เป็นผู้ทำลายบรรยากาศหนักอึ้งนั้น “ชิงชิง เมื่อครู่ฉู่หลงเยว่แค่กำลังตรวจดูพิษในร่างกายของข้าเท่านั้น”
ยามนี้เฟิ่งมู่ชิงยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร
นางไม่ได้สนใจสักหน่อยว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่
“ชิงชิง เจ้าอย่าเข้าใจผิดไปเลย ข้ากับฉู่หลงเยว่เป็นเพียงพี่น้องกันเท่านั้น”
เหอะ ๆ
ท่านคิดกับนางแค่ในฐานะพี่น้อง แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดแบบเดียวกัน
“ชิงชิง ระหว่างพวกเราทั้งสองไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยจริง ๆ เจ้าเชื่อข้าเถอะนะ” ชายหนุ่มรู้สึกเป็นกังวลมากเมื่อเห็นว่าพระชายาของตนยังคงนิ่งเงียบ
พอหญิงสาวไม่ได้พูดอะไรออกมา บรรยากาศภายในห้องก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง
“ชิงชิง…” จวินหรูเย่ไม่รู้จะพูดอะไรอีกจึงได้แต่เรียกชื่อคนตรงหน้า
ต่อมา เฟิ่งมู่ชิงแอบถอนหายใจ หลังจากสงบสติอารมณ์ตัวเองได้แล้ว ริมฝีปากสีแดงสดของนางก็เปิดขึ้นเล็กน้อย “ทั้ง ๆ ที่ข้าตกลงจะหายาแก้พิษให้ท่านแล้ว แต่ท่านยังปล่อยให้คนของสำนักเทียนอีเข้ามาเกี่ยวข้อง นี่ท่านดูถูกฝีมือของข้าอย่างนั้นหรือ?”
ผู้สำเร็จราชการฯ หนุ่มตกใจมากที่ได้รู้เหตุผลที่แท้จริงที่ภรรยาสาวโกรธตน แล้วอึดใจต่อมา ความรู้สึกเศร้าหมองก็เข้ามาแทนที่
นี่นางไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยหรือ?
ทว่าพอจวินหรูเย่ได้สบตาที่ดูเยือกเย็นแต่ก็แฝงไปด้วยความโกรธของหญิงสาว เขาก็รู้สึกหนักใจยิ่งขึ้นไปอีก
“ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถแจ้งข่าวเรื่องนี้ได้”
“แล้วหลังจากนี้ท่านมีแผนจะทำอย่างไรต่อไป?” เฟิ่งมู่ชิงถามด้วยสีหน้าจริงจัง
นางไม่อยากทำงานร่วมกับฉู่หลงเยว่ผู้ที่มีเจตนาไม่ดี
ท่าทีเคร่งขรึมของหญิงสาวตอนที่พูดส่งผลให้จวินหรูเย่ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ท่านอาจารย์และคนอื่น ๆ ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเขามานานกว่า 10 ปี โดยเฉพาะช่วง 5 ปีที่ผ่านมาหลังจากที่เขาถูกพิษ ทุกคนก็ยิ่งทำงานหนักมากขึ้น การที่เขาจะเดินดุ่ม ๆ ไปบอกว่าให้พวกเขาหยุดทำมันคงจะเป็นเรื่องที่น่าเกลียดมาก ครั้นพอจะไม่ลงมือทำอะไรเลย ท่าทางของคนตรงหน้าก็ทำให้เขายิ่งลำบากใจ
เฟิ่งมู่ชิงที่เห็นว่าชายหนุ่มเกิดความลังเล หัวใจของนางก็ยิ่งหนักอึ้งขึ้น สายตาเย็นเยียบของนางก็ยิ่งมองเขาเย็นชามากกว่าเดิม
ทันทีที่ผู้สำเร็จราชการฯ หนุ่มได้เผชิญหน้ากับสายตาของภรรยาสาว เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอจนพูดไม่ออก
“โม่เยว่ ส่งแขก!!”
เฟิ่งมู่ชิงกลัวว่าโม่เยว่จะไม่ได้ยิน นางจึงจงใจเพิ่มระดับเสียงตะโกนสั่งอีกฝ่าย
ทางด้านจวินหรูเย่ที่อยู่ใกล้พระชายาได้รับผลกระทบเข้าเต็มเปา เนื่องจากเสียงที่ดังก้องทำให้หูของเขาอื้อพร้อมกับที่ดวงตาสีนิลหรี่ลงตามสัญชาตญาณ
ส่วนพี่น้องสกุลโม่ที่ทะเลาะต่อสู้กันอยู่ด้านนอกต่างพากันหยุดมือเมื่อได้ยินเสียงของเฟิ่งมู่ชิง ก่อนที่จะจากไปโม่เยว่ได้ทิ้งสายตาคมดุมองโม่อิ๋งอยู่สักพัก จากนั้นก็เดินเข้าไปหาผู้เป็นนายของตน
นางไม่ได้สนใจฐานะของจวินหรูเย่เลย พอเข้าไปถึงในห้องนางก็โค้งคำนับ ผายมือแล้วพูดว่า “นายท่าน เชิญเจ้าค่ะ”
โม่อิ๋งที่เห็นภาพนี้รีบก้าวเข้าไปในประตูพร้อมกับส่งสายตาชื่นชมน้องสาว
หลังจากที่นางติดตามพระชายา ดูเหมือนว่าความกล้าของนางจะเพิ่มขึ้นมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรนายท่านก็ถือได้ว่าเป็นเจ้านายเก่าของนางอยู่ดี
ทางด้านจวินหรูเย่ยังคงไม่ละสายตาจากเฟิ่งมู่ชิง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาจึงส่งสัญญาณให้โม่อิ๋งพาตัวเองกลับไปอย่างไม่เต็มใจ
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครสังเกตเห็นเงาสีขาวที่หายไปจากมุมหนึ่งเลยแม้แต่คนเดียว
เฟิ่งมู่ชิงที่เห็นจวินหรูเย่คอตกกลับไปก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะหันไปหาโม่เยว่ แล้วนางก็พบว่าอีกคนกำลังยืนตบอกตัวเองเบา ๆ พร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดอย่างประหม่าว่า “เฮ้อออ… เมื่อกี้โม่เยว่กลัวแทบตาย โม่เยว่ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่โม่เยว่กล้าพูดกับนายท่านแบบนี้”
ท่าทางของคนรับใช้คนสนิททำให้หญิงสาวลืมเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้ไปได้จนถึงขั้นหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ทำไมเจ้าถึงต้องทะเลาะกับโม่อิ๋งด้วย?”
“เป็นเพราะเจ้านายคนปัจจุบันของโม่เยว่ไม่ใช่ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ในเมื่อพระชายายังไม่ได้สั่งให้โม่เยว่ออกไป ดังนั้นโม่เยว่ก็ไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนทั้งนั้น แต่โม่อิ๋งดันเข้ามาขัดขวาง โม่เยว่ก็เลยต้องสู้กับเขาเจ้าค่ะ”
เฟิ่งมู่ชิงยิ้มกว้างพลางเอ่ยปากชม “เยี่ยมมาก”
แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จวินหรูเย่ก็พยายามมาหาเฟิ่งมู่ชิงทั้งวันทั้งคืน ทว่าหญิงสาวก็หลบเลี่ยงไม่ยอมพบหน้าเขาเป็นเวลา 10 วัน
…
ยามนี้ในห้องเก็บตำรามีชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปีนั่งอยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะด้วยสีหน้าจริงจัง เขากำลังใช้สองนิ้ววางบนชีพจรของจวินหรูเย่อยู่เงียบ ๆ พักหนึ่ง
หลังจากเวลาผ่านไป 1 ถ้วยชา* ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ดึงมือออกพร้อมกับที่ใบหน้าของเขาแสดงถึงความสับสน “นานแค่ไหนแล้วที่พิษไม่กำเริบ?”
*1 ถ้วยชา = 15 นาที
จากที่เขาตรวจชีพจรของจวินหรูเย่ ตอนนี้ชีพจรของชายหนุ่มแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก
ก่อนหน้านี้เขากลัวว่าจะจับชีพจรผิดจนต้องตรวจซ้ำหลายครั้งก่อนจะเชื่อว่าพิษในร่างกายของอีกฝ่ายดูเหมือนจะถูกระงับไว้ชั่วคราว
จากนั้นผู้สำเร็จราชการฯ หนุ่มก็ดึงมือตัวเองกลับมาแล้วตอบว่า “พิษไม่กำเริบมา 3 เดือนแล้วขอรับท่านอาจารย์”
คำตอบนั้นทำให้ผู้ที่ถูกเรียกว่าอาจารย์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะถามขึ้นมาอย่างประหลาดใจว่า “วิชาแพทย์ของคนผู้นี้ยอดเยี่ยมมาก เขาเก่งกว่าข้าด้วยซ้ำ หากเจ้ามีคนผู้นี้คอยช่วยเหลือ พิษในร่างกายของเจ้าอาจจะถูกขจัดไปจนสิ้น”
กว่า 5 ปีที่เขาได้ศึกษาพิษในร่างกายของจวินหรูเย่ ในที่สุดเขาก็มองเห็นความหวังสักที
แต่ฉู่ถิงก็ไม่รู้ว่าใครกันที่มีวิชาแพทย์ที่เก่งกาจเช่นนี้
“ข้าได้พบคนที่จะช่วยขจัดพิษแล้ว ข้าจึงอยากจะขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่พยายามทำงานหนักมาหลายปี” จวินหรูเย่เอ่ยปากขอบคุณอาจารย์ของตนพร้อมรอยยิ้ม
พอฉู่ถิงเห็นว่าชายตรงหน้าไม่มีท่าทางลำบากใจสักนิด เขาก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายค้นพบวิธีล้างพิษในร่างกายของตัวเองมานานแล้ว
พิษที่จวินหรูเย่ได้รับนั้นทรมานมากยามที่มันกำเริบ แถมยังเป็นพิษที่ตัวเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าจู่ ๆ ก็มีบุคคลที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมปรากฏตัวขึ้น มันจึงทำให้ชายวัยกลางคนรู้สึกสนใจบุคคลนี้ขึ้นมา
“ข้าอยากจะรู้ว่าหมอเทวดาผู้นั้นอยู่ที่ไหน?”
“นางอยู่ในจวนนี้ขอรับ”
“ข้าขอพบนางสักครั้งได้หรือไม่?” ฉู่ถิงตื่นเต้นมากจนดวงตาเป็นประกาย
ข้าอยากจะแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องนี้กับหมอเทวดาผู้นั้นจริง ๆ
เขาที่รู้สึกลำพองตนว่าทุกคนที่มีวิชาการแพทย์สูงส่งทั่วโลกล้วนมาจากสำนักเทียนอีทั้งสิ้น ในใจของเขาคิดว่าบุคคลนี้อาจจะเป็นผู้อาวุโสของพวกเขาก็เป็นได้
จวินหรูเย่ที่เป็นศิษย์จะไม่รู้เรื่องที่ฉู่ถิงหลงใหลกับวิชาการแพทย์ได้อย่างไร ถึงกระนั้นเขาก็แอบส่ายหัวน้อย ๆ ก่อนจะตอบว่า “นางเป็นพระชายาของข้า”
อะไรนะ?!
คำตอบของชายหนุ่มทำให้ใบหน้าของฉู่หลงเยว่ซีดลง หมอเทวดาที่รักษาพิษให้พี่หรูเย่จะเป็นเฟิ่งมู่ชิงได้อย่างไร?
ทำไมต้องเป็นเฟิ่งมู่ชิงด้วย!
ฉู่ถิงเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน “นี่เจ้าแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ก่อนหน้านี้เขามัวแต่หมกมุ่นค้นคว้าหายาแก้พิษมาโดยตลอดจึงไม่ได้สนใจข่าวคราวความเป็นไปของบุคคลภายนอก พอเขามาถึงจวนผู้สำเร็จราชการฯ เขาก็ตรงมาที่ห้องเก็บตำราทันที ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ได้รับข่าวของลูกศิษย์
ถัดมา ฉู่ถิงหันไปมองลูกสาวของตนด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนหน้านี้เขาก็ยังแปลกใจอยู่ว่าเหตุใดจู่ ๆ นางถึงรีบร้อนจะกลับเมืองหลวงมากขนาดนั้น
มันคงเป็นเพราะข่าวนี้เองสินะ
ในฐานะพ่อเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าบุตรสาวของตนคิดอะไรอยู่ แค่ได้รู้ว่าจวินหรูเย่แต่งงานแล้วนางคงจะรู้สึกเสียใจมาก ซึ่งตัวเขาเองก็รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
เดิมทีเขาก็เป็นคนที่ได้เห็นจวินหรูเย่เติบโตมา ชายหนุ่มมีทั้งความสามารถและความประพฤติที่ดีมาโดยตลอด ในฐานะพ่อคนหนึ่ง เขาก็อยากจะให้ลูกสาวได้แต่งงานกับคนดี ๆ แบบนี้ แต่โชคชะตาช่างเล่นตลกให้ทั้งสองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน
“ข้าแต่งงานเมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้วขอรับ” พอคิดถึงเฟิ่งมู่ชิง จวินหรูเย่ก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยน
เป็นเพียงว่าเขาไม่ได้พบหน้านางมากว่า 10 วันแล้ว ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเศร้าใจ
ตั้งแต่ต้นจนจบ สายตาของฉู่หลงเยว่ไม่เคยละไปจากชายที่ตนรักเลยแม้แต่อึดใจเดียว จากท่าทีของจวินหรูเย่นางรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดถึงเฟิ่งมู่ชิง ส่งผลให้ความโศกเศร้าและความเจ็บปวดที่อยู่ในอกยิ่งปะทุขึ้น
ทันใดนั้นนางก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
“ด้วยเหตุนี้พี่หรูเย่จึงยินยอมแต่งตั้งนางให้เป็นพระชายาของท่านสินะ”
หญิงสาวรู้ดีว่าชื่อเสียงของเฟิ่งมู่ชิงนั้นแย่แค่ไหน หากพี่หรูเย่ไม่ยินยอมถึงแม้ว่าจะเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ แต่เขาก็คงจะขัดขืนเต็มกำลังอย่างแน่นอน พอมีเงื่อนไขว่าเฟิ่งมู่ชิงสามารถช่วยล้างพิษออกจากร่างกายพี่หรูเย่ไปได้ นั่นก็นับว่าทุกอย่างสมควรแล้ว
“ในตอนแรกมันเป็นเช่นนั้น แต่ยิ่งข้าได้ใกล้ชิดนางนานวันเข้า ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าข้าจะไม่มีวันปล่อยนางไป บางทีข้าอาจจะตกหลุมรักนางโดยไม่รู้ตัวจนตอนนี้จะกลับตัวก็ไม่ทันเสียแล้ว”
คำพูดของชายหนุ่มบาดลึกเข้าไปในหัวใจของฉู่หลงเยว่ แล้วดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำก่อนที่น้ำตาเม็ดโตจะไหลอาบดวงหน้ามน
“ไม่! ข้าไม่เชื่อ! ถ้าอย่างนั้นท่านบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าท่านชอบอะไรในตัวนาง?”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ทำไมรู้สึกว่าพระเอกเราโดนคนเขียนรังแก 5555