บทที่ 31: เจ้าไม่อยากเจอหน้าข้าแล้วหรือ?
ฉู่หลงเยว่รีบเก็บสีหน้าตัวเองแล้วหันไปมองจวินหรูเย่ด้วยสายตากังวล ก่อนหน้านี้นางเห็นเขาเหม่อมองไปทางประตูไม่วางตา ทำให้มือของนางที่อยู่ภายใต้ชุดแขนเสื้อตัวยาวกำแน่น
ดูเหมือนว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ พี่หรูเย่จะมีความรู้สึกบางอย่างกับเฟิ่งมู่ชิง
ไม่! ข้าจะไม่มีวันยอมให้เฟิ่งมู่ชิงได้ครอบครองพี่หรูเย่ เขาต้องเป็นของข้าเท่านั้น!
ฉู่หลงเยว่แอบหมั้นหมายในใจตัวเองว่านางจะต้องขับไล่เฟิ่งมู่ชิงออกไปจากจวนนี้ให้ได้ ทางที่ดีที่สุดนางจะต้องทำให้พี่หรูเย่หย่าขาดกับนาง!
“เอาไว้ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังทีหลัง เจ้ากลับไปพักที่ห้องเดิมที่เคยอยู่เถอะ” จวินหรูเย่ไม่ได้หันไปมองคู่สนทนา เขาเอาแต่เหม่อมองไปยังทิศทางที่ภรรยาสาวเดินจากไป
ภาพนี้ทำให้ฉู่หลงเยว่รู้สึกขัดเคืองในใจ แต่นางก็ได้ทำเพียงกล้ำกลืนอารมณ์ทั้งหมดของนางลงคอไปเท่านั้น
นางไม่สามารถทำลายภาพลักษณ์ที่แสนดีต่อหน้าพี่หรูเย่ได้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จวินหรูเย่ก็ถอนสายตาจากเบื้องหน้าแล้วหันไปถามหญิงสาวด้านหลังด้วยแววตาว่างเปล่า “ว่าแต่… ท่านอาจารย์จะเดินทางมาถึงเมื่อไหร่หรือ?”
ในอดีตท่านอาจารย์จะเดินทางมาที่จวนพร้อมกับฉู่หลงเยว่เสมอ แต่คราวนี้ทั้งคู่ไม่ได้มาด้วยกัน เขาจึงอดสงสัยไม่ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่านอาจารย์หรือไม่?
“พี่หรูเย่ไม่ต้องกังวล ระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ ท่านพ่อทราบข่าวเรื่องดอกผีเสื้อนิมิตก็เลยเดินทางไปดูสักหน่อย แต่อีกไม่กี่วันท่านพ่อก็คงจะเดินทางมาถึง”
เดิมทีพวกนางจะต้องไปหาดอกผีเสื้อก่อน แต่ทันทีที่หญิงสาวรู้ข่าวเรื่องจวินหรูเย่แต่งงาน นางก็แทบรอไม่ไหวที่จะกลับมาไถ่ถามเรื่องดังกล่าว
“อืม” จวินหรูเย่ตอบรับเสียงเรียบทว่าในใจของเขากำลังรู้สึกร้าวราน
ทั้งที่ชิงชิงตั้งใจปรุงยาลูกกลอนเม็ดนั้นให้เขาโดยเฉพาะ แต่นางกลับทำลายมันต่อหน้าเขาโดยไม่ลังเลเลย ทำให้เขาสันนิษฐานได้ว่าหญิงสาวกำลังโกรธเขามาก
ภาพเฟิ่งมู่ชิงเดินจากไปปรากฏขึ้นในหัวของผู้สำเร็จราชการฯ อีกครั้ง แล้วหัวใจของเขาก็เริ่มบีบรัดเร็วขึ้นเพราะความตื่นตระหนก เขาจึงพยายามสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันไปมองฉู่หลงเยว่
“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการอยู่ เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะ” ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ เขาก็ควบคุมรถเข็นออกจากห้องเก็บตำรา
พอโม่อิ๋งเห็นว่าผู้เป็นนายออกมาจากห้อง เขาก็เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมรถเข็นแทน
ทางด้านฉู่หลงเยว่ เมื่อมองดูร่างของชายที่ตนรักเริ่มออกห่างไปเรื่อย ๆ นางก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจเนื่องจากนั่นเป็นทิศทางที่เฟิ่งมู่ชิงเดินจากไป
พี่หรูเย่ใส่ใจผู้หญิงคนนั้นมากถึงเพียงนี้เลยหรือ? นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาเมินเฉยนาง
บางทีเขาอาจไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าตั้งแต่ที่เฟิ่งมู่ชิงเข้ามา เขาก็ผลักนางออกไปโดยไม่ลังเล ซึ่งมันเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึก
แล้วก่อนหน้านี้ดวงตาที่แสดงออกถึงความร้อนรนของจวินหรูเย่ก็ส่งผลให้ลมหายใจของหญิงสาวต้องสะดุด
…
ในอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งมู่ชิงเดินกลับไปที่ห้องตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมกับปล่อยรังสีที่ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งด้วย โดยที่โม่เยว่แปลกใจกับท่าทางของผู้เป็นนายเพราะว่านางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้านายไปส่งยาให้กับผู้สำเร็จราชการฯ นางมีความสุขมากเลยไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดตอนขากลับถึงพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้?
บางทีนายท่านอาจจะตื่นเต้นมากที่ปรุงยาที่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดให้กับผู้สำเร็จราชการฯ ได้จนเผลอแสดงความรู้สึกมากเกินไป
โม่เยว่คิดพลางก้าวช้า ๆ ตามหลังผู้เป็นนายไปขณะที่นางไม่ได้รับรู้เลยว่าในห้องเก็บตำรามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าท่านผู้สำเร็จราชการฯ ไปทำอะไรให้พระชายาโกรธได้มากขนาดนี้
ปัจจุบันในทุกย่างก้าวที่เฟิ่งมู่ชิงก้าวนั้นไม่ต่างจากพายุโหมกระหน่ำ พร้อมกับที่ดวงตาคมดุของนางเย็นเยียบ
ทำไมข้าจะต้องไปสนใจจวินหรูเย่ผู้โหดเหี้ยมคนนั้นด้วย? นี่เขาไม่เชื่อมั่นในฝีมือการรักษาของข้าถึงขั้นไปหาผู้หญิงคนอื่นมาช่วยรักษาให้เลยงั้นหรือ นี่มันจงใจหักหน้ากันชัด ๆ!
แถมผู้หญิงคนนั้นก็ยังกล้ามาพูดเยาะเย้ยต่อหน้าข้าอีก คิดว่าข้าเป็นคนอ่อนแอยอมให้คนรังแกได้ง่าย ๆ หรืออย่างไร!
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงนึกถึงฉู่หลงเยว่ หัวใจของนางก็หนักอึ้งขึ้น
ดูเหมือนว่าข้าจะต้องรีบวางแผนเตรียมตัวสำหรับวันที่จะต้องแยกจากเสียแล้ว
ตอนนี้นางยังคงอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 เท่านั้น หากไม่มีสถานะพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ นางจะต้องใช้ชีวิตให้ระวังมากขึ้น เพราะศัตรูมีอยู่รอบด้าน
ในไม่ช้าเฟิ่งมู่ชิงก็เดินกลับมาที่ห้องของตัวเองแล้วคว้ากาน้ำชาบนโต๊ะมาเทใส่ถ้วยชาแล้วดื่มหมดถ้วยในอึกเดียวโดยหวังว่าจะใช้น้ำมาดับไฟที่คุกรุ่นอยู่ในใจของนาง
“โม่เยว่ เจ้ารู้จักฉู่หลงเยว่หรือไม่?” หญิงสาวเอ่ยปากถามอย่างเคร่งขรึม
การรู้จักตัวตนของศัตรูเท่านั้นจึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง นางเห็นอยู่กับตาว่าฉู่หลงเยว่ไม่ใช่คนใสซื่อไร้เดียงสาเหมือนที่แสดงออก อีกทั้งนางบอกได้เลยว่าแผนการของอีกฝ่ายดีกว่าเฟิ่งหวานหว่านมาก นี่ยังไม่ได้พูดถึงตัวแปรหลักอย่างจวินหรูเย่อีก
ยิ่งหญิงสาวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็รู้สึกว่าอนาคตต่อจากนี้ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นนางก็พยายามสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
ไม่ว่ากลอุบายของอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร นางจะต้องไม่แพ้!
ทันทีที่โม่เยว่ได้ยินคำถามของผู้เป็นนาย นางก็เข้าใจได้ทันทีว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่เจ้านายเดินทางไปที่ห้องเก็บตำรา แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องมีต้นเหตุมาจากฉู่หลงเยว่แน่
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ถูกพิษประหลาดเข้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประมุขสำนักเทียนอีและฉู่หลงเยว่ผู้เป็นลูกสาวได้ช่วยกันศึกษาหายาแก้พิษมาตลอด”
ขณะที่องครักษ์สาวอธิบาย เฟิ่งมู่ชิงก็ใช้นิ้วมือข้างขวาเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ สำหรับภายในห้องที่เงียบสงบนั้นมันทำให้เสียงที่เกิดขึ้นดังกว่าปกติ
สำนักเทียนอี?
“จนถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านมากว่า 5 ปีแล้ว พิษที่อยู่ในร่างกายของจวินหรูเย่ยังคงหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่านางจะเป็นลูกสาวเจ้าสำนักเทียนอี แต่ก็ไม่มีความหมายอะไรสักเท่าไหร่นัก” เฟิ่งมู่ชิงกล่าวในเชิงเย้ยหยัน
“แน่นอนว่าความสามารถของนางเทียบกับพระชายาไม่ได้เจ้าค่ะ”
โม่เยว่รู้จากโม่อิ๋งมาแล้วว่านายท่านของนางทำข้อตกลงว่าจะหายาแก้พิษในร่างกายของผู้สำเร็จราชการฯ มาให้ ซึ่งตอนนั้นเจ้านายกล่าวเองว่าสามารถล้างพิษให้กับผู้สำเร็จราชการฯ ได้
ฉู่ถิงและฉู่หลงเยว่ศึกษาหายาแก้พิษมากกว่า 5 ปี แต่ทั้งหมดที่ทำมามันไม่เคยได้ผลเลยสักครั้ง
“เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับฉู่หลงเยว่คนนี้บ้าง?” เฟิ่งมู่ชิงถามผู้ติดตามของตน
“เพราะการรักษาขาของท่านผู้สำเร็จราชการฯ ฉู่หลงเยว่จึงมักจะเดินทางเข้าออกจวนผู้สำเร็จราชการฯ อยู่บ่อยครั้ง นางมักจะทำตัวก้อร่อก้อติกนายท่าน โม่เยว่คิดว่านางหลงรักนายท่านเจ้าค่ะ”
หญิงสาวนิ่งคิดไปพักหนึ่ง นางรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของโม่เยว่เพราะว่าเมื่อกี้นางก็ได้เห็นมันกับตาตัวเองทั้งหมด
“แล้วท่าทีของจวินหรูเย่ที่มีต่อนางเป็นอย่างไร?” นางถามคำถามต่อไป
“อาจเป็นเพราะพวกเขาทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน นายท่านจึงใจดีกับฉู่หลงเยว่มากเจ้าค่ะ”
ที่ผ่านมาโม่เยว่เคยพบกับฉู่หลงเยว่หลายครั้ง และทุกครั้งนางจะเห็นพฤติกรรมของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน นั่นจึงทำให้นางรู้สึกรังเกียจหญิงสาวในใจ
สตรีผู้นี้พอเห็นว่าผู้สำเร็จราชการฯ อ่อนโยนกับตัวเองด้วยหน่อยก็ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของจวนเสียอย่างนั้น
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรื่องนี้กุญแจสำคัญก็คือจวินหรูเย่ และนางไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หากมีปัญหาเกิดขึ้นจริง ๆ นางกลัวว่า…
“แล้วฉู่หลงเยว่แข็งแกร่งแค่ไหน?”
เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วมุ่น นางรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นศัตรูที่ไม่ธรรมดา
“นางเป็นผู้มีพลังวิญญาณขอบเขตสร้างรากฐานขั้นที่ 2 และเป็นศิษย์ของสำนักว่านเหิงเจ้าค่ะ” โม่เยว่ตอบผู้เป็นนาย
ด้วยระดับพลังขั้นนี้ทั้งที่ยังเด็กอยู่นางนับได้ว่าเป็นคนที่โดดเด่นมาก นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่นางเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาที่เลื่องชื่อเลย
โม่เยว่อดกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของนายท่านไม่ได้ นางรู้ดีว่ามันไม่มีทางที่ฉู่หลงเยว่จะยอมอยู่เฉย และพลังของเจ้านายก็เพิ่งอยู่ขั้นสุดท้ายของขอบเขตกลั่นลมปราณเท่านั้น
บางทีขอบเขตพลังของผู้เป็นนายอาจจะไม่ได้ต่ำสักเท่าไหร่ในสายตาของคนธรรมดา แต่ศัตรูที่เจ้าตัวกำลังเผชิญนั้นกลับแข็งแกร่งกว่ามาก
พอองครักษ์สาวคิดได้เช่นนี้ นางก็มองเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาเป็นห่วง
เหตุใดเจ้านายถึงได้น่าสงสารขนาดนี้ อีกทั้งที่ผ่านมานางต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในจวนมหาเสนาบดีเป็นเวลากว่า 15 ปี จนในที่สุดนางก็หลุดพ้นจากขุมนรกนั้นมาได้สักที แต่ก็ต้องมาถูกคนอื่นหมายหัวอีก
ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮา เฟิ่งหวานหว่าน แล้วปัจจุบันก็ยังมีฉู่หลงเยว่เพิ่มขึ้นมาอีกคน
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงได้แต่ทอดถอนหายใจ ดูเหมือนว่านางจะต้องรีบทะลวงผ่านขอบเขตกลั่นลมปราณไปให้ได้
จากนั้นในห้องของพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ก็ตกอยู่ในความเงียบ
แล้วจู่ ๆ โม่อิ๋งก็ผลักรถเข็นของจวินหรูเย่เข้ามาทำลายบรรยากาศตึงเครียด
ครั้นพอเฟิ่งมู่ชิงเห็นว่าคนที่เข้ามาคือใคร แววตาของนางก็เปลี่ยนไปขณะที่นางมองหน้าเขาอย่างเย็นชา ก่อนที่นางจะสะบัดหน้าไปอีกฝั่ง
ท่าทางของภรรยาสาวทำให้มุมปากจวินหรูเย่กระตุก ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจผิดเขาไปใหญ่แล้ว
“ชิงชิง เจ้าไม่อยากเจอหน้าข้าแล้วหรือ?”
ทีแรกชายหนุ่มตั้งใจจะเข้ามาเผชิญหน้ากับหญิงสาว แต่อีกฝ่ายก็สะบัดหน้าหนีไปอีกทางทันทีที่เห็นเขา
“ฮึ!”
เฟิ่งมู่ชิงพ่นลมอย่างเย็นชา
เฮอะ! จะมาขอโทษข้าตอนนี้ ฝันไปเถอะ!!
ขณะเดียวกัน จวินหรูเย่ส่งสัญญาณให้โม่อิ๋งกับโม่เยว่ออกไป ซึ่งคนสนิทของเขาเข้าใจในทันทีจึงก้าวเข้าไปคว้าแขนน้องสาวแล้วลากนางออกจากห้องไป
ในตอนที่โม่เยว่รู้ตัวอีกทีนางก็ออกมาอยู่นอกประตูแล้ว หลังจากหันกลับไปมองประตูที่เปิดกว้าง นางก็ถลึงตาใส่พี่ชาย
“ท่านดึงข้าออกมาทำไม?”
“เจ้าไม่เห็นท่าทางของนายท่านหรือไง นายท่านกับพระชายามีเรื่องส่วนตัวจะคุยกัน” โม่อิ๋งพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน