ตอนที่ 13 : แรนช์เริ่มต้นการเดินทาง
จนกระทั่งแรนช์อธิบายรายละเอียดทั้งหมดของข้อตกลง
“เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ ฉันจะสอนวิธีสร้างการ์ดให้คุณ”
ทาเลียยอมรับข้อเสนอของแรนช์โดยไม่ได้ลังเลใจมากนัก
“เอาล่ะ ผมจะจัดการเรื่องตัวตนของคุณในคฤหาสน์ให้เสร็จก่อนวันพรุ่งนี้ คุณต้องการตัวตนของสาวใช้หรือว่าผู้ดูแล…”
“ผู้ดูแล”
ก่อนที่แรนช์จะพูดจบ ทาเลียก็ตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แรนช์พยักหน้าอย่างแรง ไม่กล้าทำให้เธอโกรธ
แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าปฏิกิริยาของตัวเองค่อนข้างขี้ขลาดเล็กน้อย และเขาก็มั่นใจว่าทาเลียจะไม่ทำร้ายเขาง่ายๆ แต่ในฐานะสิ่งมีชีวิตคนละเผ่าพันธุ์ ระหว่างแรนช์และทาเลียยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ขวางกั้นอยู่ ซึ่งยังคงทำให้แรนช์รู้สึกกลัวเล็กน้อยขณะอยู่ใกล้ๆ เธอ
ในโลกใบนี้มีคำๆ หนึ่งที่เขียนเอาไว้ในหนังสือวิจัยเกี่ยวกับปีศาจวิทยา: “ปีศาจสามารถสังหารมนุษย์ได้โดยไม่มีเหตุผลหรือรู้สึกผิด”
เพียงแค่พวกเขามีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ พวกเขาก็อาจจะลงมือทันที
แม้ว่าในขณะนี้พฤติกรรมของทาเลียจะดูเหมือนกับพฤติกรรมของมนุษย์ แต่โดยพื้นฐานแล้วเธอแค่ซ่อนนิสัยที่รุนแรงและโหดเหี้ยมของเธอไว้เพื่อพยายามหลอมรวมเข้ากับสังคมมนุษย์
แม้ว่าพฤติกรรมของเขาจะเรียกได้ว่าเป็นการถลกหนังจากเสือก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องยั่วยุเสือตัวนี้โดยไม่จำเป็นและวางกับระเบิดตัวเองอย่างเมามัน
ใช่แล้ว ถ้าเขาเปรียบเป็นลูกแมวน้อยน่ารัก ทาเลียก็คงเป็นเหมือนเสือโคร่งตัวใหญ่ แม้ว่าเสือจะไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องการทำร้ายลูกแมว แต่ลูกแมวก็ยังตัวสั่นเมื่ออยู่ต่อหน้าเสือโคร่ง
ขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มุมปากของแรนช์ก็โค้งงอเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้กลับทำให้คิ้วของทาเลียขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เธอรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้กำลังคิดเรื่องชั่วร้ายอยู่
แต่เธอก็ไม่มีหลักฐาน
เป็นเพียงสัญชาตญาณที่อธิบายไม่ได้
“หลังจากนี้โปรดดูแลผมด้วย ท่านอาจารย์ทาทา”
เสียงของแรนช์ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าของเขาเปื้อนด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นอันตราย
คำเรียกนี้ดูเหมือนจะทำให้ทาเลียรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย และเธอก็เพิกเฉยต่อแรนช์เหมือนเช่นเคย
แต่คราวนี้เธอไม่ได้ปฏิเสธ เธอค่อนข้างยอมรับในความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์
...
หนึ่งเดือนครึ่งต่อมา
ในตอนเช้าตรู่เมื่อฤดูร้อนกำลังจะสิ้นสุดและฤดูใบไม้ร่วงกำลังย่างกรายมาเยือน พระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณปลุกให้โลกตื่นจากการหลับไหลพร้อมกับเสียงหยาดน้ำค้างที่หยดลง
แสงตะวันยามเช้าที่เจิดจ้าราวกับขนนกสีทองอ่อนพัดพาไปเบาๆ เหนือแท่นสีเทาเข้มและรางโลหะอันเย็นเยียบ ให้ความรู้สึกนุ่มนวล
สถานีรถไฟเวทมนตร์ในเขตชายแดนเมืองวันตินาทางตอนใต้กำลังพลุกพล่านไปด้วยผู้คนเดินเท้า
ผู้คนที่เดินทางอย่างเร่งรีบแยกย้ายกันตรงจุดนี้หรือไม่ก็เป็นการพบเจอกันเพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่
เสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมเดินทางระหว่างรอรถไฟ คำอำลาของญาติมิตร เพื่อนฝูง และข่าวการขึ้น-ลงของรถไฟจากวิทยุ ล้วนผสมผสานกันจนกลายเป็นท่วงทำนองที่โดดเด่นที่สุดของสถานที่แห่งนี้
ที่ด้านหนึ่งของชานชาลา พ่อบ้านฮานส์ยกกระเป๋าเดินทางในมือของเขาแล้วมอบให้แรนช์ ซึ่งฝ่ายหลังก็รับมันมาอย่างต่อเนื่อง
“ขอบคุณนะฮานส์”
แรนช์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นายน้อยแรนช์ โปรดดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
เสียงของพ่อบ้านยังคงทุ้มต่ำเช่นเคย แต่ในส่วนลึกสามารถสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวล
โนอาห์ออกเดินทางไปยังต่างเมืองอีกครั้ง จึงมีเพียงฮานส์เท่านั้นที่มาส่งเขาแทนพ่อของนายน้อยผู้นี้
เหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก่อนเริ่มปีการศึกษา แรนช์และทาเลียมาถึงสถานีแล้ว วันนี้ พวกเขาจะออกเดินทางจากพื้นที่ชายแดนตอนใต้วันตินาไปยังพื้นที่ห่างไกลของราชอาณาจักรฮัตตัน เมืองหลวงไอเซอร์ไรต์
ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งวันในการเดินทางไปยังเมืองหลวงด้วยรถไฟเวทมนตร์
ทันทีที่พวกเขาไปถึงเมืองหลวงจะมีเวลาให้พักผ่อนสามวัน จากนั้นก็ถึงเวลาเริ่มการสอบเข้า
“นายน้อย เดินทางปลอดภัยนะคะ!”
สาวใช้ไม่สามารถซ่อนความกังวลบนใบหน้าของเธอได้ และคำพูดของเธอก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าแปลกๆ
“ท่านไม่ควรรีบกลับมาในช่วงเวลาสั้นๆ ถ้านายท่านโนอาห์รู้ว่านายน้อยขโมยวัตถุโบราณประจำตระกูลไป เขาจะไม่ปล่อยท่านไว้แน่นอน…”
เรื่องนี้มันมีเหตุผล
แม้ว่าการกระทำของแรนช์ในช่วงก่อนหน้าจะถือว่าทำให้ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียง โนอาห์ก็แค่รู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย
แต่ถ้าโนอาห์รู้ว่าแรนช์ขโมยสมบัติของบรรพบุรุษประจำตระกูลอย่าง [สดุดีแห่งความเมตตา] ไป โนอาห์จะต้องโกรธมากอย่างแน่นอน
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาทัศนคติที่ร่าเริงและเป็นกันเองของแรนช์ทำให้มุมมองของผู้คนในคฤหาสน์ที่มีต่อเขาแตกต่างออกไปและก็ค่อยๆ เป็นมิตรกับเขามากขึ้น นับตั้งแต่เริ่มสาวใช้แฟรนซีนถือว่าเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับเขา ในเวลานี้คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง ไม่หลงเหลือความขี้ขลาดเหมือนกับตอนก่อนหน้าอีกต่อไป
“ไม่เป็นไร ไม่ต่องห่วง”
รอยยิ้มของแรนช์ยังคงสงบ ราวกับว่าต้องการทำให้ทุกคนที่ห่วงใยเขาสบายใจ
ถ้าโนอาห์พ่อของเขาเห็นว่าเขาและทาเลียสร้างการ์ดเวทมนตร์แบบไหนโดยใช้ [สดุดีแห่งความเมตตา] เขาคงจะทรุดลงบนเก้าอี้ด้วยความตกใจอย่างแน่นอน
คงจะไม่โกรธเขาหรอกมั้ง..
พ่อบ้านฮานส์ยิ้มอย่างสบายๆ พลางส่ายหัว ในขณะที่ฟังการสนทนาระหว่างแรนช์และสาวใช้แฟรนซีน เขาก็เดาคร่าวๆ ว่าเหตุใดแรนช์จึงดูมั่นใจมาก
จากนั้นเขาก็มองไปทางด้านหลังแรนช์ ซึ่งเห็นทาเลียที่อยู่ในชุดแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เสื้อคลุมของเธอดูเข้ารูปและมีเนกไทผ้าไหมผูกไว้อย่างประณีตใต้คอเสื้อ ทำให้เธอดูสง่างามและจริงจัง
ทาเลียซึ่งสลัดเสื้อผ้าผู้ลี้ภัยที่สกปรกของเธอทิ้งไป ก็สดใสราวกับอัญมณีชิ้นใหม่
“มิสทาทา ผมขอฝากนายน้อยไว้กับคุณด้วยนะครับ”
ฮานส์พูดอย่างจริงใจ
เมื่อตอนที่เขาตามหาทาเลียเป็นครั้งแรกจากภาพวาดของแรนช์ พ่อบ้านฮานส์รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง กลายเป็นว่านายน้อยผู้โง่เง่าคนนั้นกลับตกหลุมรักผู้หญิงที่ทรงพลังและอันตรายขนาดนี้
แต่เมื่อว่าเห็นนายน้อยเข้ากับเธอได้อย่างกลมกลืน ฮานส์ก็ค่อยๆ รู้สึกโล่งใจ
“…”
ทาเลียไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย
แม้ว่าเธอจะดูอายุพอๆ กับแรนช์ แต่ท่าทีที่สงบและเย็นชาของเธอก็ทำให้ผู้อื่นคิดว่าเธอเป็นผู้ใหญ่มากกว่าแรนช์มาก
เนื่องจากเธอได้รับเงินมาแล้ว แม้ว่าพ่อบ้านจะไม่กำชับ เธอก็จะทำตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด
ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องแรนช์จากการถูกฆ่า หรือการเป็นอาจารย์ของแรนช์
ในช่วงเวลาสั้นๆ แห่งความเงียบงัน ห่างออกไปในระยะไกล เงาอันคลุมเครือปรากฏขึ้นที่ปลายสุดของเส้นทางพร้อมกับเสียงนกหวีด
ในไม่ช้า การสั่นสะเทือนบนรางรถไฟก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ได้ยินเสียงดังก้องต่ำและรูปทรงของรถไฟก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจน แสงอาทิตย์ส่องลงบนตัวรถ เปลี่ยนให้มันเป็นโลหะที่ดูแวววาว
แสงบนหัวขบวนรถไฟค่อยๆ สว่างขึ้น ทะลุผ่านชั้นหมอกยามเช้าที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ นำทางยักษ์เหล็กไปสู่จุดหมายปลายทาง
แรนช์หยิบตั๋วของเขาออกมา มองดูมันและจดจำอย่างเงียบๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่เขาและทาเลียจะมองหาในภายหลัง
ในช่วงเวลาแห่งการอำลานี้
ทันใดนั้นพ่อบ้านฮานส์ก็ดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“พูดไปแล้วก็น่าเสียดายจริงๆ ที่มิสทาทาไม่สามารถชมภาพวาดในห้องนายน้อยก่อนออกเดินทางได้…”
“อะแฮ่ม!”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พ่อบ้านจะได้ตัดพ้อประโยค “น่าเสียดาย” จนจบ แรนช์ก็กระแอมออกมาสองครั้งเพื่อขัดจังหวะเขา
แรนช์แน่ใจว่าถึงแม้พ่อบ้านจะไม่ได้ต้องการเล่นงานเขา แต่เจตนาของอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ!
“ภาพวาดอะไร?”
ทาเลียซึ่งจู่ๆ ก็ถูกเอ่ยถึง มองไปที่แรนช์พร้อมกับเอ่ยถาม
แรนช์ตื่นตระหนก แต่สีหน้าของเขายังคงสงบและใจเย็น เขาตอบกลับอย่างนิ่งๆ :
“ภาพวาดของหญิงชราผู้น่าสงสารน่ะ มันเป็นผลงานชิ้นเอกของผม แต่ฮานส์กับแฟรนซีนดูเหมือนจะชื่นชอบภาพวาดนั้น…”
ในขณะนี้เอง รถไฟสีเทาเข้มปนสีน้ำตาลแดงก็คำรามเข้ามาในชานชาลา เสียงเบรกและรางล้อที่เสียดสีกันดังมากจนกลบคำพูดของแรนช์
รถไฟค่อยๆ ลดความเร็วลงจนกระทั่งหยุดสนิท
เนื่องจากมันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ทาเลียจึงไม่สนใจหัวข้อนี้มากนักและเบือนหน้าหนีออกจากแรนช์
แสงอบอุ่นส่องจากหน้าต่างรถสะท้อนให้เห็นใบหน้าผู้โดยสารภายในตู้โดยสาร ประตูรถไฟเปิดออกช้าๆ สายลมเย็นๆ ลอยออกจากตัวรถปะทะเข้ากับใบหน้าผู้คน
ผู้โดยสารที่รออยู่บนชานชาลาพากันเดินไปที่ประตูรถไฟแล้วเข้าไปด้านในนั้น
แรนช์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกในขณะที่ผู้คนผ่านมาและจากไป โชคดีที่เขาใช้ความเฉียบแหลมของตัวเองในการหลอกอีกฝ่ายได้ หลังจากที่กลับมาครั้งหน้าเขาคงต้องซ่อนภาพวาดใบนั้นไว้ให้ดี และห้ามปล่อยให้ทาเลียค้นพบหญิงชราผู้น่าสงสารซึ่งหมายถึงตัวเธอเองเด็ดขาด
“ผมไปก่อนนะ”
แรนช์ยิ้มพลางโบกมือ กล่าวคำอำลากับพ่อบ้านและสาวใช้เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงก้าวเข้าไปในตู้โดยสารของรถไฟ
(จบตอน)