บทที่ 30: เจ้าเป็นใคร?
มีคนเคยบอกว่าช่วงเวลาที่สงบสุขนั้นมักจะผ่านไปไวเสมอ และแล้วในชั่วพริบตาวันเวลาก็ผ่านไป 3 เดือน
ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาร่างกายของเฟิ่งมู่ชิงฟื้นฟูเต็มที่แล้ว แม้กระนั้น ความเสียหายที่เกิดจากการถูกวางยาพิษก็มีมากเกินไป นางจึงติดอยู่ที่ขั้นสุดท้ายของขอบเขตกลั่นลมปราณ ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ไม่สามารถก้าวผ่านมันไปได้เสียที
ทุกวันนี้นางยังคงเดินทางเทียวไปเทียวมาระหว่างจวนชานเมืองกับหอหงโหลว หากมีเวลาว่างนางก็จะเก็บตัวฝึกอยู่ในจวนเพื่อพยายามทะลุผ่านขอบเขตกลั่นลมปราณไปให้ได้
แต่ก็น่าเสียดายที่สวรรค์ไม่อาจรับรู้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของนาง ทำให้นางติดอยู่ที่เดิมแบบนี้ไม่ขยับไปไหน
ส่วนพิษนารีเมามายในตัวของจวินหรูเย่นั้น เดิมทีมันจะออกฤทธิ์ทุก ๆ วันที่ 15 ของเดือน แต่ยาที่นางปรุงขึ้นมาช่วยยืดเวลาออกไปได้เพียงแค่ 3 เดือน จากนั้นวันที่ 15 ของทุกเดือน พิษก็จะกลับมาออกฤทธิ์ดังเดิม
หลังจากที่ชายหนุ่มส่งคนออกไปตามหาสมุนไพรอยู่หลายวันก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับสมุนไพรล้างพิษเลย พอยิ่งใกล้เวลาที่พิษจะกำเริบ เฟิ่งมู่ชิงก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ
ปัจจุบันเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งเดือน แล้วแบบนี้นางจะหาวิธีการบรรเทาความเจ็บปวดให้เขาได้อย่างไร?
ช่วงเวลาที่หญิงสาวขังตัวเองอยู่ในห้อง ในหัวของนางก็เฝ้าคิดถึงยาหลากหลายชนิด จนในที่สุดนางได้สั่งให้โม่เยว่ไปหาวัตถุดิบทั้งหมดที่อาจจะมีประโยชน์มาให้ตน
วันนี้นางนึกถึงยาบางอย่างขึ้นมาได้พอดีจึงเริ่มปรุงยาอยู่เงียบ ๆ ไม่พูดกับใครทั้งสิ้น
บางทีตำรับยานี้อาจจะมีประโยชน์!
เฟิ่งมู่ชิงชั่งตวงส่วนผสมทุกอย่างด้วยความระมัดระวังโดยมีโม่เยว่คอยยืนอยู่ข้างกายนาง
ทางด้านหญิงสาวรับใช้ที่กลัวว่าจะไปรบกวนผู้เป็นนาย นางถึงขั้นพยายามทำตัวให้เหมือนธาตุอากาศมากที่สุด
1 ชั่วยามผ่านไป…
2 ชั่วยามผ่านไป…
4 ชั่วยามต่อมา เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกมีความสุขมากในขณะที่นางถือเม็ดยาทรงกลมไว้ในมือขาวเรียว
ระหว่างที่มองดูยาที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ ดวงตาคู่สวยก็เป็นประกายสดใสก่อนที่นางจะรีบมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บตำรา
ยอดไปเลย จวินหรูเย่คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากพิษที่กำเริบอีกต่อไปแล้ว!
ปัง–
“หรูเย่ ข้าเจอวิธีแล้ว!”
เฟิ่งมู่ชิงผลักเปิดประตูห้องเก็บตำราเข้าไปอย่างตื่นเต้น แล้วทันใดนั้นร่างกายของนางก็แข็งทื่อพร้อมกับที่ร่องรอยของความสุขหายไปจากใบหน้า ในขณะที่สายตาของนางพุ่งตรงไปยังคนที่อยู่บนโต๊ะในห้อง
ภาพเบื้องหน้าที่นางเห็นก็คือ มีผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดสีขาวกำลังยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้จวินหรูเย่ ซึ่งหากเขาขยับตัวไปข้างหน้าอีกเพียงคืบเดียว ริมฝีปากของเขาก็จะสัมผัสแก้มนวลของหญิงสาวทันที
อีกทั้งสตรีในชุดขาวก็เป็นคนที่งดงามคนหนึ่ง นางดูบริสุทธิ์ไม่ต่างจากดอกบัวแรกแย้มและรอบกายก็เหมือนมีรัศมีสีขาวเปล่งออกมา
เสียงเปิดประตูกะทันหันทำให้ชายหญิงทั้งสองในห้องสะดุ้งหันมามอง พอจวินหรูเย่เห็นว่าเป็นเฟิ่งมู่ชิงเขาก็ตื่นตระหนกจนรีบผลักผู้หญิงชุดขาวออกไปให้ห่าง
ในเวลาเดียวกัน ฝ่ายที่ถูกผลักโดยไม่ทันได้ตั้งตัวก็เซไปด้านข้างขณะที่นางมองหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“ชิงชิง มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าเข้าใจนะ ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ทันทีที่จวินหรูเย่ได้สบสายตาเย็นชาของเฟิ่งมู่ชิง เขาก็รู้สึกไม่สบายใจพร้อมกับละล่ำละลักอธิบายเพราะกลัวว่าภรรยาของตนจะเข้าใจผิด
ทางด้านหญิงสาวไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรบนใบหน้า นางทำเพียงแค่เหลือบมองเข้าไปในห้องเก็บตำราแล้วพูดเสียงเย็นว่า “ดูเหมือนข้าจะเข้ามาผิดเวลา”
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะที่ไหนเมื่อไหร่ก็จะมีโม่อิ๋งติดตามผู้สำเร็จราชการฯ หนุ่มเป็นเงาตลอดเวลา แต่วันนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ และการที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องที่ปิดมิดชิด มันคงเป็นไปได้ยากหากจะบอกว่าไม่มีเจตนาอะไรแอบแฝง
ดูเหมือนว่าจวินหรูเย่จะสนิทชิดเชื้อกับหญิงชุดขาวคนนี้พอสมควร
“ชิงชิง เจ้ากำลังเข้าใจผิด” เมื่อจวินหรูเย่เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น เขาก็วิตกกังวลยิ่งกว่าเดิม
“เข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าไม่มีอะไรให้เข้าใจผิดหรอก” เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกเจ็บแปลบในใจ แต่นางก็พยายามข่มความรู้สึกเอาไว้ไม่แสดงมันออกมา
การแต่งงานในครั้งนี้มันเป็นเพียงแค่การแต่งงานทางการเมือง แม้ว่าจวินหรูเย่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนางล่ะ?
“เจ้าเป็นใครกัน?” จู่ ๆ ผู้หญิงชุดขาวก็ถามแทรกขึ้นมา ในขณะที่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสน
พอเฟิ่งมู่ชิงหันไปมองสำรวจสตรีในชุดขาวเต็มตาอีกครั้ง นางก็แสยะยิ้มพลางคิดในใจว่า
ข้าไม่ใช่เด็กอายุ 15 ที่ไม่เคยผ่านโลกมาก่อน คิดว่าข้าดูไม่ออกหรือว่าภายใต้ท่าทางไร้เดียงสานี้ แท้จริงแล้วซ่อนนางมารร้ายที่ชอบกลืนกินมนุษย์ที่หลงเข้ามาติดกับแบบไม่เหลือกระดูกเอาไว้
นางตบตาได้เพียงคนโง่เท่านั้นแหละ
“แน่นอนว่าข้าจะต้องเป็นถึงพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ อยู่แล้ว” เฟิ่งมู่ชิงตอบเสียงเรียบพร้อมกับใช้รังสีกดดันข่มหญิงสาวตรงหน้าไว้
จากนั้นดวงตาที่เย็นเยียบเหมือนน้ำแข็งของหญิงสาวก็พุ่งตรงไปหาจวินหรูเย่
ข้าโกรธแล้ว โกรธมากจริง ๆ ท่านจะอธิบายให้ข้าฟังว่าอย่างไร?
บัดนี้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกโมโหในใจ ทั้งที่นางใช้เวลาตั้งมากมายปรุงยาบรรเทาพิษให้ชายหนุ่ม แต่เขากลับมาระเริงรักอยู่กับสาวสวยในห้องเก็บตำราเสียอย่างนั้น
ระหว่างที่คิดเฟิ่งมู่ชิงก็เพิ่มแรงกำมือขวาของตัวเองจนสัมผัสได้ถึงยาเม็ดที่อยู่ในมือของตัวเอง และนั่นมันก็ยิ่งเพิ่มแรงโทสะในใจของนางขึ้นไปอีก
หากรู้ว่ามันเป็นเช่นนี้ นางจะไม่มีวันเสียเวลามานั่งปรุงยาเกือบครึ่งค่อนวันแน่นอน สู้เอายาพวกนี้ไปโยนให้หมากินยังจะดีเสียกว่า!
“พี่หรูเย่ ทำไมข้าถึงไม่รู้มาก่อนว่าท่านแต่งงานแล้ว” ผู้หญิงชุดขาวมองจวินหรูเย่ด้วยสายตาตั้งคำถามปนตัดพ้อ ราวกับว่านางกำลังตำหนิชายหนุ่มที่ไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับนาง
แต่มีหรือที่เฟิ่งมู่ชิงจะไม่สังเกตเห็น นางสามารถมองเห็นจุดประสงค์ของผู้หญิงตรงหน้าได้ในทันที
หากมองเพียงผิวเผินอาจดูเหมือนว่าหญิงสาวต้องการจะตำหนิจวินหรูเย่ แต่จริงความแล้วอีกฝ่ายกำลังแสดงให้นางเห็นว่าตนนั้นไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง ชายผู้นี้แต่งงานกับนางโดยที่ไม่บอกให้คนสนิทรู้ด้วยซ้ำ
“ในตอนนั้นเจ้าเดินทางไปมาหลายแห่ง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหนจึงไม่ได้แจ้งข่าวนี้ให้ทราบ” ผู้สำเร็จราชการฯ หนุ่มตอบ
เหอะ…
คำตอบของเขาทำให้เฟิ่งมู่ชิงแค่นหัวเราะในใจ
ก่อนหน้านี้จวินหรูเย่มักจะวางตัวเย็นชาไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แต่กับสตรีผู้นี้เขากลับมีท่าทางใจดีแล้วยังสนิทชิดเชื้อกับนางถึงขั้นเอาหน้าใกล้กันอีก นี่แสดงให้เห็นว่าหญิงชุดขาวสนิทกับเขามาก
ทันใดนั้นเฟิ่งมู่ชิงก็มีความกังวลใจบางอย่าง มันทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างไรก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
“ข้าขอคารวะท่านพี่หญิง ข้าแซ่ฉู่นามว่าหลงเยว่ ข้ารู้จักกับพี่หรูเย่มาตั้งแต่เด็ก” ‘ฉู่หลงเยว่’ แนะนำตัวด้วยท่าทางสดใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทว่าเฟิ่งมู่ชิงจับน้ำเสียงภาคภูมิใจได้จากคำพูดของนาง หญิงสาวจึงเหยียดยิ้มเย็นก่อนจะกอดอกพูดเสียดสีว่า “คู่รักวัยเด็กอย่างนั้นหรือ? อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย”
นางไม่ใช่คนที่ปล่อยให้ใครมารังแกได้ง่าย ๆ และนางก็ไม่รังเกียจด้วยที่จะเผชิญหน้ากับคนที่กล้ามาหาเรื่องนางก่อน
“พระชายากล่าวหนักเกินไปแล้ว พี่หรูเย่...” ฉู่หลงเยว่เอ่ยพลางส่งสายตาเศร้าหมองให้กับจวินหรูเย่
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าภรรยาสาวกำลังรู้สึกไม่พอใจและคิดว่านางกำลังโกรธเขาอยู่ ครั้นพอได้เห็นสายตาน่าสงสารของฉู่หลงเยว่ เขาก็อดรู้สึกใจอ่อนกับอีกฝ่ายไม่ได้
เนื่องจากเขาเป็นลูกศิษย์ของฉู่ถิงผู้เป็นเจ้าสำนักเทียนอีมาตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งฉู่หลงเยว่เป็นลูกสาวของฉู่ถิงแถมยังเป็นศิษย์น้องของเขาด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
อีกทั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อาจารย์และศิษย์น้องผู้นี้พยายามอย่างหนักเพื่อรักษาพิษในร่างกายเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงมีความผูกพันและความสนิทสนมกับหญิงสาวอยู่ระดับหนึ่ง
“ชิงชิง ฉู่หลงเยว่เป็นศิษย์น้องของข้า นางมาที่นี่ก็เพื่อช่วยบรรเทาพิษในร่างกายข้า”
พอฉู่หลงเยว่ได้ยินชายหนุ่มเอ่ยปากอธิบาย นางก็ตะลึงงัน เจตนาเดิมของนางนั้นต้องการให้จวินหรูเย่ยืนหยัดปกป้องตน แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงพูดเช่นนี้ หรือว่าพี่หรูเย่จะหลงรักพระชายาคนนี้จริง ๆ อย่างที่คนเขาลือกัน?
มันเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะไม่รู้ว่าศิษย์พี่ของตัวเองแต่งงานแล้ว และถ้านางจะบอกว่าไม่รู้จักเฟิ่งมู่ชิงก็คงจะเป็นเรื่องโกหก
ความจริงหญิงสาวแอบชื่นชอบจวินหรูเย่มาตั้งแต่เด็ก นางให้ความสนใจเขาและคอยแอบสืบข่าวเกี่ยวกับเรื่องเขามาหลายปีแล้ว
นางไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าพี่หรูเย่ที่สมบูรณ์แบบของนางจะตกหลุมรักเฟิ่งมู่ชิงที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ทั้งที่ฝ่ายนั้นไม่มีอะไรดีสักอย่าง แต่ทำไมเขาถึงไปตกหลุมรักผู้หญิงแบบนี้ได้!
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงคาดเดาได้อยู่แล้วเพราะตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามานางก็ได้กลิ่นสมุนไพรจาง ๆ จากตัวฉู่หลงเยว่
“ในเมื่อคุณหนูฉู่เดินทางมาเพื่อเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ งั้นข้าก็คงไม่จำเป็นอีกต่อไป”
หญิงสาวพูดจบแล้วก็หยิบยาเม็ดออกมาต่อหน้าจวินหรูเย่ จากนั้นจึงบีบมันเต็มแรงจนเม็ดยาแหลกเป็นผุยผงก่อนจะโปรยมันให้ปลิวหายไปกับสายลม
ในเมื่อเขาไม่ต้องการมัน นางก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมันไว้ และนางก็อยากจะรู้ว่าฉู่หลงเยว่มีความสามารถมากสักแค่ไหนกันเชียว
หลังจากที่เฟิ่งมู่ชิงมองดูชายหญิงทั้งสองอย่างเฉยเมย นางก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกจากห้องเก็บตำราไป
จวินหรูเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็คิดคำพูดดี ๆ ไม่ออกเลยสักคำ
พอฉู่หลงเยว่เห็นว่าร่างของเฟิ่งมู่ชิงหายไปจากสายตา นางก็ยกยิ้มมุมปากก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“พี่หรูเย่ ข้าทำให้พระชายาไม่พอใจหรือไม่?”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ชิงชิงงอนแล้วหนึ่ง สามีภรรยาคู่นี้นี่เสน่ห์แรงพอ ๆ กันเลยจ้า