บทที่ 27: บุตรสาวคนเดียวของแม่ทัพเจิ้นหนาน
ภาพเฟิ่งมู่ชิงที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดในวันนั้นปรากฏขึ้นในหัวของจวินหรูเย่ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั้งใจ
ไม่! ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ชิงชิงได้รับบาดเจ็บอีก!
หญิงสาวเข้าใจว่าชายตรงหน้ากำลังเป็นห่วงตน แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะเอาชีวิตไปถวายให้ใครแบบไม่ได้วางแผนให้ดี
ต่อมา เฟิ่งมู่ชิงจับมือของจวินหรูเย่ออกแล้วหันไปมองเฟิ่งหวานหว่านด้วยท่าทางสงบนิ่ง ตอนนี้นางไม่ใช่เฟิ่งมู่ชิงที่ขี้ขลาดเหมือนคนก่อน นางจะต้องทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองนั้นคิดผิด
“เป็นไงเป็นกัน ข้าไม่มีวันตายง่าย ๆ หรอก” หลังจากพูดจบนางก็ดีดตัวเบา ๆ ก่อนที่ร่างระหงของนางจะลอยขึ้นแล้วไปร่อนลงบนลานประลองหมื่นบุปผาอย่างสง่างามจนทำให้ผู้คนโดยรอบเผลอหลุดอุทานออกมา
พอเฟิ่งหวานหว่านเห็นศัตรูก้าวขึ้นมาบนเวทีการประลอง นางก็กระหยิ่มยิ้มเยาะอยู่ในใจ
วันนี้ข้าจะต้องบดขยี้นังสารเลวคนนี้ให้จงได้!
เดิมทีเฟิ่งหวานหว่านเป็นคนหน้าตาสวยสดงดงาม ประกอบกับชุดสีขาวที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีตช่วยขับให้นางดูเหมือนเทพธิดายามที่สะท้อนใต้เงาจันทร์สีนวล ทว่าทันทีที่เฟิ่งมู่ชิงก้าวขึ้นมาบนลานประลอง ชุดสีแดงเพลิงก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบเร่าร้อนขึ้นจนดึงดูดความสนใจของทุกคนไปสิ้น
ถึงแม้ว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางจะมีหน้ากากสีทองบดบังเอาไว้ แต่มันก็ไม่สามารถปิดบังความงามสง่าได้อยู่ดี
ในตอนนั้นเองคุณหนูรองสกุลเฟิ่งสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศโดยรอบ นางจึงกัดฟันพูดเสียงดังว่า “ช่างไม่เจียมตัวเสียเลย!”
ทันทีที่หญิงใส่ชุดขาวพูดจบ นางก็ยกฝ่ามือขึ้นแล้วโบกไปทางคู่ต่อสู้
“ตะวันสาดแสง!”
ลูกไฟกลมโตพุ่งตรงเข้าใส่เฟิ่งมู่ชิงทันที นางรีบกระโดดหลบ แต่แล้วลูกไฟก็แยกออกเป็น 2 ส่วนก่อนจะพุ่งเข้ามาโจมตีนางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
จังหวะนั้นหญิงสาวใช้พลังวิญญาณของตัวเอง ไม่นานกระบี่เล่มสวยก็ปรากฏขึ้น
กระบี่เล่มนี้มีรังสีเย็นเยียบสะท้อนให้เห็นถึงความคมของใบมีด พร้อมกับมีลวดลายดอกปี่อั้นเล็ก ๆ บนใบมีด แล้วด้ามจับก็มีลวดลายดอกปี่อั้นที่ถูกแกะสลักสมจริงโดดเด่นสะดุดตา
ดังนั้นหญิงสาวจึงตั้งชื่อกระบี่เล่มนี้ว่า ‘ปี้ลั่ว’ ที่แปลว่าท้องฟ้า ปัจจุบันกระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่บินประจำกายของเฟิ่งมู่ชิง
หลังจากหญิงสาวเรียกกระบี่ปี้ลั่วออกมา นางก็จับด้ามที่มีลวดลายดอกไม้ไว้ในมือแล้วยกขึ้นมาปิดกั้นการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้เปลวไฟที่ร้อนแรงมอดไหม้ไปจนสิ้น
พอเปลวเพลิงสลายไปแล้ว เฟิ่งหวานหว่านก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ นางประสานอินเข้าหากันก่อนจะตะโกนว่า “อรุโณทัยส่องสะท้อน!”
‘อรุโณทัยส่องสะท้อน’ เป็นวิชายุทธระดับธุลีขั้นต้น แต่การที่เฟิ่งหวานหว่านเลือกใช้วิชานี้ทั้งที่ตัวเองอยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานขั้นแรกแล้วนั้นเป็นเพราะว่านางต้องการจะดูว่าเฟิ่งมู่ชิงจะสามารถต้านทานมันได้หรือไม่
กระบวนท่าที่ 2 ที่พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้เฟิ่งมู่ชิงเคร่งเครียดยิ่งขึ้น แต่ถึงกระนั้นนางก็มุ่งความสนใจไปที่การรับมือกับมันได้สำเร็จในเสี้ยวอึดใจต่อมา
การต่อสู้ครั้งนี้บ่งบอกได้เลยว่าพลังระหว่างนางกับเฟิ่งหวานหว่านมีช่องว่างขนาดใหญ่มาก และจากท่าทางของคู่ต่อสู้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายอยากจะฆ่านางให้ตายเสียตรงนี้ แต่นางจะไม่ยอมให้อีกคนได้สมดังใจแน่นอน
ปัจจุบันนางติดอยู่ที่ขั้นที่ 7 ของขอบเขตกลั่นลมปราณ เท่าที่หญิงสาวสำรวจประสบการณ์ของเจ้าของดั้งเดิม มันอาจจะเกิดขึ้นเพราะขาดประสบการณ์การต่อสู้จริง ๆ ร่างกายจึงจดจำการเคลื่อนไหวได้ไม่มากนัก เพราะฉะนั้นนางเลยเลือกที่จะใช้เวทีประลองนี้เป็นการกระตุ้นตัวเอง
แต่ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สามารถทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ได้!
ขณะนี้เฟิ่งมู่ชิงได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนางจึงสามารถใช้วิชายุทธระดับธุลีขั้นสูงได้เช่นกัน
“เทพธิดาโปรยมาลา!”
แม้ว่าเฟิ่งหวานหว่านจะไปถึงขอบเขตสร้างรากฐานขั้นแรก แต่วิชาอรุโณทัยส่องสะท้อนกลับเป็นเพียงวิชาระดับธุลีขั้นต้นเท่านั้น การโจมตีของทั้งสองจึงปะทะกันอยู่กลางอากาศและระเบิดออกในทันที
ตูม!!
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ชมโดยรอบพากันตกตะลึง
ในตอนแรกพวกเขาคิดเอาไว้ว่าเฟิ่งมู่ชิงไม่มีทางรับมือเฟิ่งหวานหว่านได้แน่นอน
คนที่ถูกร่ำลือว่าเป็นคนไร้ประโยชน์สามารถประมือกับเฟิ่งหวานหว่านที่เป็นถึงอัจฉริยะที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานตั้งแต่อายุยังน้อยได้อย่างนั้นหรือ?
ทันทีที่คุณหนูรองเฟิ่งได้เห็นสถานการณ์ตรงหน้า นางก็รู้ได้ทันทีว่าคู่ต่อสู้ของตนอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณเท่านั้น มันคงจะเร็วไปถ้าจะบอกว่าอีกฝ่ายเอาชนะนางได้!
วันนี้ข้าจะต้องฆ่าเฟิ่งมู่ชิงให้จงได้!
“สุริยันนพเก้า!” วิชาระดับสูงถูกเรียกใช้อีกครั้ง ซึ่งมันทำให้หัวใจของเฟิ่งมู่ชิงเต้นระรัวพร้อมกับที่มีวิชาต่าง ๆ มากมายแล่นเข้ามาในหัวของนาง
ในเวลาเดียวกัน จวินหรูเย่จดจ่ออยู่กับภรรยาสาวขณะที่มือทั้งสองข้างของเขาจับรถเข็นเอาไว้แน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ในระหว่างนั้นเขาก็ได้ส่งสายตาเหี้ยมเกรียมให้กับเฟิ่งหวานหว่านอยู่เป็นเนือง ๆ
หากชิงชิงของข้าได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ข้าจะให้คนทั้งจวนมหาเสนาบดีร่วมฝังไปกับนาง!!
ยามนี้ลูกไฟกำลังพุ่งเข้ามาตรงหน้าของเฟิ่งมู่ชิง พลันนางก็นึกอะไรบางอย่างออก ไม่นานมือเรียวก็เคลื่อนไหวรวดเร็วมากจนเห็นเป็นเพียงภาพเงา ทันใดนั้นนางก็ตบมือลงบนพื้นก่อนที่กำแพงสูงจะโผล่ขึ้นมาตั้งตระหง่านขวางหน้านาง
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้จวินหรูเย่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางกำลังใช้วิชายุทธธาตุดินระดับธุลีขั้นสูง!
นอกจากเฟิ่งมู่ชิงจะมีรากวิญญาณธาตุโลหะแล้ว นางยังมีรากวิญญาณธาตุดินด้วย!!
ข้อเท็จจริงที่เพิ่งค้นพบนี้ส่งผลให้ใบหน้าของเฟิ่งหวานหว่านยิ่งลงมือหนักขึ้น
ดูจากท่าทางแล้วนางคงจะต้องใช้เวลาสักพักในการรับมือกับวิชาสุริยนนพเก้า ดังนั้นข้าจะปล่อยให้นางได้มีโอกาสตั้งตัวไม่ได้!
พอสตรีในชุดขาวตัดสินใจได้แล้ว นางก็ทำการลงมือแบบไม่ยั้ง
“เพลิงอาทิตย์สะบั้น!”
หลังจากสิ้นเสียงตะโกน เปลวไฟในมือของเฟิ่งหวานหว่านก็พุ่งออกจากมือแล้วแปลงร่างเป็นมังกรกลางอากาศ โดยที่มันมีเป้าหมายเดียวนั่นก็คือเฟิ่งมู่ชิง!
ชั่วอึดใจนั้น รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของคุณหนูรองตระกูลเฟิ่ง ในขณะที่ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความยินดีราวกับว่านางได้เห็นชัยชนะอยู่ตรงหน้าแล้ว
นี่คือวิชายุทธระดับสูงที่สุดที่มีอยู่ในจวนมหาเสนาบดี มันเป็นวิชายุทธธาตุไฟระดับปฐพีเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในมือของมหาเสนาบดี
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงต้องตกใจจนหน้าซีด ตอนนี้พลังวิญญาณในจุดตันเถียนของนางถูกระดมมาใช้เต็มกำลังแล้ว นางจึงทำได้เพียงกดมือลงบนพื้นอย่างสิ้นหวัง
“ฟ้าดินสั่นสะเทือน!”
ต่อมาก็มีกำแพงเหล็กโผล่ขึ้นมาจากพื้นเรียงกันเป็นแถวขวางกั้นมังกรเพลิงเอาไว้แน่นหนา
บัดนี้ทุกคนให้ความสนใจกับการต่อสู้ระหว่างสองพี่น้องตระกูลเฟิ่งมาก และพวกเขาก็รู้สึกเห็นใจเฟิ่งมู่ชิงที่ต้องมาพบเจอกับอัจฉริยะแบบนี้
ทันใดนั้นก็มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเฟิ่งมู่ชิง นางรู้สึกว่าพลังวิญญาณในจุดตันเถียนของตนกำลังจะหมดลง แม้แต่พลังฮุ่นตุ้นก็ยังเหือดแห้ง
ณ ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย จู่ ๆ ก็มีใบไม้ลอยขึ้นมาในอากาศ ซึ่งใบไม้ใบเล็กนั้นปะทะเข้ากับการโจมตีอันรุนแรงของพวกนางในทันที ทำให้คู่ต่อสู้ทั้งสองคนถูกแรงสะท้อนกลับกระเด็นถอยไปด้านหลัง
“ใครน่ะ!!” เฟิ่งหวานหว่านรู้สึกโกรธมากที่มีคนมาขัดจังหวะการห้ำหั่นศัตรูของนาง
อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขาดอีกเพียงเล็กน้อยข้าก็จะสามารถกำจัดหนามยอกอกของข้าไปจนสิ้นแล้วแท้ ๆ!
ไม่นานก็มีร่างระหงค่อย ๆ เดินขึ้นมาบนเวทีการประลอง สตรีผู้นี้เป็นหญิงสาวสวมชุดสีเขียวที่มีบุคลิกดูเย็นชา แต่ดวงตาที่เป็นประกายสดใสของนางทำให้ใจของผู้คนละลายได้โดยง่าย
แม้ว่าบุคลิกกับนัยน์ตาของนางจะดูขัดแย้งกันไปบ้าง แต่มันกลับดูกลมกลืนกันมาก
“ลานประลองหมื่นบุปผามีกฎที่ทุกคนยึดถือเสมอมา คุณหนูเฟิ่งกำลังพยายามจะละเมิดกฎอย่างนั้นหรือ?” เสียงก้องกังวานใสนั้นทรงพลังมาก มันไม่ได้ฟังดูอ่อนโยนหรือแหลมสูงเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่มันก็ไม่ได้กล้าแกร่งดังชายชาตรีด้วยเหมือนกัน
ในเวลาเดียวกัน เฟิ่งมู่ชิงมีท่าทางสงบขณะมองดูคนที่เข้ามาขัดจังหวะได้ทันท่วงที
หญิงสาวผู้นี้ใช้เพียงใบไม้ใบเล็ก ๆ ก็สามารถเอาชนะการโจมตีของพวกนางได้แล้ว นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายจะต้องแข็งแกร่งมาก
“ท่านเป็นใครถึงกล้ายื่นมือมายุ่งเรื่องของข้า?” เฟิ่งหวานหว่านเองก็รู้ดีว่าสตรีตรงหน้านางแข็งแกร่งยิ่งนัก ทว่าในใจของนางไม่อยากจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปจึงทำให้นางไม่สนใจข้อเท็จจริงดังกล่าว
นี่ถือได้ว่าเป็นโอกาสเดียวที่นางจะเหยียบย่ำเฟิ่งมู่ชิงได้อย่างเปิดเผย!
“ข้ามีนามว่า ‘มู่หรงผิงถิง’ เป็นศิษย์สำนักศึกษาเทียนฝู่ และเป็นบุตรสาวคนเดียวของแม่ทัพเจิ้นหนาน”
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘โยนหินก้อนเดียวก็ทำให้เกิดคลื่นลม’ นอกจากว่านางจะเป็นศิษย์สำนักเทียนฝู่ซึ่งเป็นสำนักศึกษาอันดับ 1 ของแคว้นแล้ว นางยังเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ทัพเจิ้นหนานอีกด้วย
สำหรับบุคคลทั่วไปนับได้ว่าการมาเที่ยวชมเทศกาลหมื่นบุปผาในครั้งนี้คุ้มค่ามากจริง ๆ
เดิมทีในดินแดนซิงหยุนมีสำนักศึกษาหลักอยู่ 4 แห่ง ได้แก่ สำนักเทียนฝู่, สำนักว่านเหิง, สำนักชางหยุน และสำนักหลิงหยาง
สำหรับตระกูลของแม่ทัพเจิ้นหนานเป็นตระกูลที่ภักดีต่อแว่นแคว้น คนของตระกูลมู่หรงกว่า 3 ชั่วอายุคนนั้นถูกฝังอยู่ที่ชายแดนทางใต้ ดังนั้นทั้งตระกูลจึงได้ตั้งรกรากอยู่ที่ชายแดนทางใต้มาตลอด สำหรับประชาชนในเป่ยอี้ ตระกูลของแม่ทัพเจิ้นหนานได้รับความเคารพมากกว่าผู้สำเร็จราชการฯ เสียอีก
นับตั้งแต่ที่เป่ยอี้ก่อตั้งขึ้นมาก็มีเพียงตระกูลมู่หรงเท่านั้นที่สามารถปราบปรามศัตรูที่มารุกรานในดินแดนทางตอนใต้ได้อยู่หมัด
แม้จะเป็นประโยคแนะนำตัวธรรมดา แต่ทันทีที่มู่หรงผิงถิงเปิดเผยตัวตน มันก็กระตุ้นให้เกิดความโกลาหลจากรอบด้าน และนั่นก็ยิ่งทำให้เฟิ่งหวานหว่านรู้สึกโกรธมากขึ้น ทว่าเนื่องจากสถานะของอีกฝ่าย นางเลยจำต้องเก็บกดอารมณ์ไว้ในใจ
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสตรีผู้นี้เป็นศิษย์ของสำนักเทียนฝู่ แค่ในฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพเจิ้นหนานก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องนางแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกับรู้สึกมีความสุขที่รอดพ้นจากวิกฤตมาได้