ตอนที่ 339 ผู้โดยสารโปรดทราบ (ฟรี)
(ตอนเดียวนะครับกลับมาแปลไม่ทัน ขออภัยด้วย)
ชาหลัวนั่งมองไปรอบๆ ก่อนที่จะถามขึ้นเบาๆ
“พี่ฮู่เตียน สายการบินจะอยู่ที่เมืองปักษากี่วันงั้นหรอ?”
“แค่วันเดียว”
ฮู่เตียนตอบด้วยน้ำเสียงไพเราะ
ก่อนที่จะใช้นิ้วของเธอม้วนผมเล่น และมองหาผมที่แตกปลายโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
หลังจากที่สายการบินเต่าทมิฬไปถึงเมืองปักษา มันจะพักอยู่ที่นั่นหนึ่งวัน และตรงกับมาเมืองเต่าทมิฬทันที
เหตุผลหลักที่ค้างหนึ่งวัน ก็เพื่อที่จะได้โฆษณาเมืองและดึงดูดพ่อค้าให้มาซื้อขายที่เมืองเต่าทมิฬ
แล้วในตอนนั้นเองที่ประตูด้านนอกโถงหงเฟ่ยก็เปิดขึ้น
มีพนักงานเดินเข้ามาและตะโกนขึ้น
“สายการบินเต่าทมิฬพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว ผู้โดยสารโปรดเข้าแถวเพื่อตรวจตั๋วก่อนออกเดินทางอีกครั้ง”
“พี่ได้เวลาแล้ว”
แววตาของชาหลัวเป็นประกายและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“อื้มไปกันเถอะ”
ชาหน่าตอบเบาๆ
เขาถือกระเป๋าหนังสัตว์ขึ้นมาและเดินไปที่ประตู
“ฉันคงมาส่งได้แค่นี้ เดินไปตามทางที่คนประกาศแนะนำ ขอให้โชคดี”
ฮู่เตียนโบกมือให้เล็กน้อย ก่อนที่จะลุกและเดินจากไป
“คุณฮู่เตียนขอบคุณที่มาส่ง”
ชาหน่าตะโกนกล่าวขอบคุณ
“ด้วยความยินดี”
ฮู่เตียนเหลือบกลับมามองและตอบก่อนที่จะเดินส่ายหางออกไป
“เฮ่อ…”
ชาหน่าถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับความกดดันที่หายไป
สองพี่น้องชาเดินไปถึงทางออกของโถงหงเฟ่ย และถูกพนักงานหยุดเอาไว้
“ขอดูตั๋วด้วยครับ”
พนักงานยิ้มให้และพูดขึ้น
“นี่”
ชาหลัวส่งตั๋วของเธอให้ทันที
พนักงานรับตั๋วมาก่อนที่จะประทับตราคำว่า ‘ตรวจสอบแล้ว’ ไว้ที่ด้านล่างของตั๋ว
ก่อนที่เขาจะส่งตั๋วคืนและพูดเบาๆ
“เชิญขึ้นได้เลยครับ หลังจากนี้เราจะออกเดินทางแล้ว”
“ค่ะ”
ชาหลัวยิ้มหวานให้
เธอเดินออกไปจากโถงหงเฟ่ย และเห็นอินทรีอัคคีขนาดใหญ่นอนก้มตัวอยู่
“ผู้โดยสารเชิญทางนี้เลยค่ะ”
ที่ใกล้ตัวอินทรีอัคคีมีพนักงานต้อนรับของสายการบินในเครื่องแบบยืนโบกมือเรียกอยู่
“ผู้โดยสารทั้งสอง ซื้อที่นั่งชั้นหนึ่งหรือสองค่ะ”
พนักงานถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ชั้นหนึ่ง”
ชาหลัวแสดงตั๋วของเธอให้พนักงานดู
เมื่อพนักงานเห็นก็ยิ้มให้ ก่อนที่จะผายมือบอกทางให้กับทั้งสอง
“ผู้โดยสารตามฉันมาเลยค่ะ”
เธอเดินขึ้นบันไดที่ทำมาจากผลึกแก้วที่ด้านหลังของอินทรีอัคคี และพาสองพี่ชาไปที่นั่งด้านหน้าของห้องโดยสาร
ชาหลัวมองดูรอบๆ ห้องโดยสารด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะในนี้มันทั้งกว้างและดูหรูหรากว่าที่คิด และทั้งห้องโดยสารทำมาจากผลึกแก้ว
พนักงานต้อนรับผายมือไปทางที่นั่งในส่วนของที่นั่งชั้นหนึ่งและพูดขึ้น
“ผู้โดยสารทั้งสองนี่คือส่วนของที่นั่งชั้นหนึ่ง บนตั๋วได้ระบุตัวเลขที่นั่งเอาไว้แล้วโปรดนั่งตามเลขที่นั่งได้เลย”
ชาหลัวดูตั๋วอีกครั้งและเห็นว่ามีเลข 2 เขียนอยู่ที่มุมบนซ้ายจริงๆ
“ที่นั่งหมายเลข 2…”
เธอมองไปก็เห็นที่นั่งริมหน้าต่างและมีป้ายเล็กๆ ติดกับที่นั่งเขียนเลข 2 เอาไว้ซึ่งเป็นแถวหน้าสุด
“ผู้โดยสายทั้งสองอย่าได้ลุกไปไหนขณะที่เสี่ยวหยูกำลังบินขึ้น อีกไม่ช้าพวกเราจะออกบินกันแล้ว”
พนักงานต้อนรับแนะนำด้วยรอยยิ้ม
“เข้าใจแล้ว”
ชาหลัวเก็บตั๋วและนั่งลงบนที่นั่งของเธอ มันเป็นเก้าอี้นั่งที่ใหญ่พอที่จะมีพื้นที่ให้ปีกของเธอ
ชาหน่านั่งลงและมองไปรอบๆ ห้องโดยสาร และเพราะห้องโดสารทำมาจากระจกทำให้พอที่จะเห็นด้านนอกได้
เวลาเดียวกันผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เริ่มออกมาจากโถงหงเฟ่ยแล้วถยอยกันขึ้นมาบนห้องโดยสารกันแล้ว
“หัวหน้า ฉันไม่ค่อยมั่นใจเลย”
ตาซื่ออุ้มถุงหนังสัตว์เอาไว้แน่น และเริ่มมีเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผากของเขา
“เดินไป..อย่าคิดมาก”
หวาเอ่อกังเหลือบมองเล็กน้อย
ที่จริงเขาเองก็วิตกเหมือนกัน แต่ไม่กล้าที่จะแสดงออก เพราะมันจะเสียภาพลักษณ์ของเขาได้
พนักงานต้อนรับเดินเข้ามาในส่วนของพื้นที่นั่งชั้นสองและตะโกนขึ้น
“กรุณานั่งที่นั่งตามหมายเลขบนตั๋วด้วย
“ที่นั่ง?”
หวาเอ่อกังเอาตั๋วขึ้นมาดูและเห็นว่ามีเลข 15 เขียนอยู่ที่มุมบนซ้าย
และเขาก็กวาดสายตามองไปรอบๆ และเห็นว่ามีที่นั่งหนึ่งมีเลข 15 ติดอยู่
“ตอนนี้เราจะออกเดินทางแล้ว กรุณานั่งลงกับที่ด้วย”
พนักงานต้อนรับกล่าวเตือนอีกครั้ง
ในห้องโดยสารชั้นสอง ทุกคนรีบหาที่นั่งของตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ชาหลัวมองไปรอบๆ และหันมาคุยกับพี่ชายของเธอ
“พี่ชายดูเหมือนว่าตรงนี้จะมีแค่เรานะ”
“นั้นก็ดี…”
ชาหน่าพูดอย่างใจเย็น
ที่ลานกว้างเล็กๆ ด้านหน้าป้อมซานไห่หยู่เฟ่ยหยานในชุดเกราะหงส์เพลิงกำลังบอกลาแม่ของเธออยู่
“เดินทางระวังด้วย รักษาตัวเข้าใจไหม”
หยู่ฉินหลานกล่าวเตือน
“อื้ม”
หยู่เฟ่ยหยานทำหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
“แม่ หนูรู้แล้วหนูไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะ”
“ในสายตาของฉันลูกก็ยังไม่ต่างจากเด็กสามขวบหรอก”
หยู่ฉินหลานยิ้มมุมปาก และดีดหน้าผากของลูกสาวเบาๆ
“อะไรแม่!”
หยู่เฟ่ยหยานทำจมูกย่นและพ่นลมหายใจที่ไม่พอใจออกมา
“จำสิ่งที่แม่พูดเอาไว้ให้ดี”
หยู่ฉินหลานดุลูกสาวด้วยรอยยิ้ม
มีแม่ที่ไหนบ้างไม่กังวลเมื่อลูกสาวจะต้องออกเดินทางไกล
“รู้แล้วหนูดูแลตัวเองได้”
หยู่เฟ่ยหยานเอามือขึ้นมากุมหน้าผากเอาไว้ และพยักหน้า
หยู่ฉินหลานคืนความสงบและสง่างามอีกครั้งก่อนที่จะใช้มือรวบผมของตัวเอง
และพูดเบาๆ
“อย่าไว้ใจคนแปลกหน้าเกินไป และระวังคนแปลกหน้าเอาไว้”
“เข้าใจแล้ว”
หยู่เฟ่ยหยานพยักหน้า
“งั้นก็ไปเถอะ”
หยู่ฉินหลานถอยออกไปก้าวหนึ่งและมองดูลูกสาว
“ไปก่อนนะแม่”
หยู่เฟ่ยหยานโบกมือให้ และตรงขึ้นไปบนเสี่ยวหยู่
“โถ่ๆ….”
หยู่ฉินหลานแอบถอนหายใจ พร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล
เธอได้แค่ปลอบใจตัวเองว่า ตราบใดที่หยู่เฟ่ยหยานสวมชุดเกราะหงเพลิงกับมีพัดอัคคีอยู่ หากไม่เผชิญหน้ากับผู้มีพลังขั้น 8 หรือสัตว์อสูรขั้น 8 ลูกสาวของเธอคงไม่เป็นอะไร
บนห้องโดยสาร
มีหน่วยคุ้มกันทั้งหมด 7 คนเข้าแถวกันอยู่และมองไปด้านหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
หกคนเป็นมนุษย์มีพลังขั้น 1 มีหนึ่งคนเป็นผู้กลายพันธ์มีพลังขั้น 4
ผู้กลายพันธ์คนนี้เป็นลูกน้องเก่าของฮู่เตียนและได้รับการตรวจสอบภูมิหลังจากลี่เยว่แล้ว
หลังจากได้รับการยืนยันแล้วว่าปลอดภัย ผู้กลายพันธ์คนนี้จึงถูกรับเลือกให้เข้าสู่กองทัพอากาศและรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยให้กับสายการบินร่วมกับหยู่เฟ่ยหยาน
หยู่เฟ่ยหยานไพล่มือไว้ด้านหลัง และถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ทุกคนพร้อมรึยัง”
“พร้อม”
หน่วยคุ้มกันทั้ง 7 ตอบพร้อมกัน
“งั้นประจำตำแหน่ง และเตรียมออกเดินทางได้”
หยู่เฟ่ยหยานยกมือขึ้นและโบกมือออกคำสั่ง
“รับทราบ”
ทั้งหมดขานรับพร้อมกัน
ก่อนที่ทุกคนจะกระจายตัวไปตามตำแหน่งในห้องโดยสารและห้องสัมภาระตามความรับผิดชอบ
ภายในห้องโดยสาร
พนักงานต้อนรับทุกคนนั่งลงก่อนที่จะวางมือบนที่เท้าแขนและพูดขึ้น
“สายการบินกำลังจะออกตัวแล้ว โปรดนั่งให้มั่นคงบนที่นั่งของทุกคน”
หวาเอ่อกังเม้มปากเล็กน้อยและรู้สึกไม่สบายใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขึ้นมาบนหลังของสัตว์อสูรขั้น 7 ที่บินได้แบบนี้ มันต่างจากการขึ้นนกขนส่งอย่างมาก
ภายในห้องโดยสารหยู่เฟ่ยหยานหยิบส้อมเสียงออกมา มันทำมาจากผลึกแก้วและด้ามจับทำมาจากขนของอินทรีอัคคี
นี้คือยุทธภัณฑ์วิญญาณที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษโดยมู่เหลียง มันสามารถให้คำสั่งกับเสี่ยวหยูได้ แต่มีเพียงไม่กี่คำสั่งเช่น ออกตัว ขึ้น ลง ลงจอด
…..
แคร็ง แค็ง
หยู่เฟ่ยหยานสั่นส้อมเสียงจนเกิดเสียงดังไปทั่วหน้าป้อมซานไห่
แคว้ก!!
ก่อนที่อินทรีอัคคีจะลืมตาขึ้นและ กางปีกอันใหญ่โตของมันออก และลุกขึ้นก่อนที่จะกระพือปีกทะยานสู่ท้องฟ้า พร้อมกับเสียงร้องที่ดังไปทั่ว
เพียงการกระพือปีกไม่กี่ครั้ง อินทรีอัคคีก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในห้องโดยสาร ชาหลัวมองออกไปรอบๆ และเห็นทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นชั้นเมฆในที่สุด
“นุ่มมาก”
ชาหน่าเอ่ยปากชม
“ใช่มันออกตัวได้มั่นคงและนุ่มกว่านกขนส่งของเราอีก”
ชาหลัวพูดพร้อมกับแววตาที่เป็นประกาย
เธอไม่รู้ถึงกระแสลมที่รุนแรงปะทะร่างเลย นอกจากแรงสั่นสะเทือนเป็นบางครั้ง
สิบนาทีต่อมาหน่วยคุ้มกันก็เปิดประตูภายในห้องโดยสาร
พร้อมกับพนักงานต้อนรับที่ยืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด
“ตอนนี้ผู้โดยสารสามารถเคลื่อนไหวและเดินไปรอบๆ ได้แล้วค่ะ แต่โปรดคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย และอย่าได้ลุกจากที่นั่งนานเกินไป
“พี่เราลุกไปดูรอบๆ กัน”
ชาหลัวลุกขึ้น และเดินไปรอบๆ ด้วยท่าทางร่าเริง
ชาหน่ายิ้มก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ แม้พวกเขาจะบินบนท้องฟ้าได้และเห็นท้องฟ้ามาหลายครั้ง แต่บนผืนฟ้าแห่งนี้ก็ยังทำให้เขาหลงไหลได้ทุกครั้ง
สองพี่น้องมองดูเมฆสีเทาที่เลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วนอกหน้าต่าง
“มันเร็วมาก”
ชาหลัวเปิดปากพูดขึ้นมาเล็กน้อย
ความเร็วของอินทรีอัคคีนั้นเร็วกว่านกขนส่งของเมืองปักษาหลายเท่า
ที่ห้องโดนสารชั้นสอง ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เริ่มแสดงออกถึงความประหลาดใจ
คนที่ไม่แข็งแกร่งพอได้แต่นั่งคดตัว และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้ และมีผู้โดยสารหลายคนที่เป็นเช่นนั้น
“ขาฉันไม่มีแรงเลย”
พ่อค้าบางคนพูดขึ้นและทำท่าเหมือนจะอาเจียน
เพราะอินทรีอัคคีไต่ระดับความสูงเร็วมาก และสูงยิ่งกว่านกขนส่ง ทำให้ความดันเปลี่ยนอย่างฉับพลันทำให้หลายคนตั้งตัวไม่ทัน
“ด้วยความเร็วขนาดนี้ เราจะไปถึงเมืองปักษาก่อนมืดแน่”
หวาเอ่อกังรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที และหันมองกลับไปที่ด้านหลังห้องโดยสาร
ผลไม้ของเขาอยู่ด้านหลังของห้องโดยสาร และเขาไม่อยากจะปล่อยทิ้งเอาไว้นานเกินไป