ตอนที่แล้วตอนที่ 338 มันจำเป็น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 340 ลูกเล่นของโหย่วเฟ่ย

ตอนที่ 339 ผู้โดยสารโปรดทราบ (ฟรี)


(ตอนเดียวนะครับกลับมาแปลไม่ทัน ขออภัยด้วย)

ชาหลัวนั่งมองไปรอบๆ ก่อนที่จะถามขึ้นเบาๆ

“พี่ฮู่เตียน สายการบินจะอยู่ที่เมืองปักษากี่วันงั้นหรอ?”

“แค่วันเดียว”

ฮู่เตียนตอบด้วยน้ำเสียงไพเราะ

ก่อนที่จะใช้นิ้วของเธอม้วนผมเล่น และมองหาผมที่แตกปลายโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

หลังจากที่สายการบินเต่าทมิฬไปถึงเมืองปักษา มันจะพักอยู่ที่นั่นหนึ่งวัน และตรงกับมาเมืองเต่าทมิฬทันที

เหตุผลหลักที่ค้างหนึ่งวัน ก็เพื่อที่จะได้โฆษณาเมืองและดึงดูดพ่อค้าให้มาซื้อขายที่เมืองเต่าทมิฬ

แล้วในตอนนั้นเองที่ประตูด้านนอกโถงหงเฟ่ยก็เปิดขึ้น

มีพนักงานเดินเข้ามาและตะโกนขึ้น

“สายการบินเต่าทมิฬพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว ผู้โดยสารโปรดเข้าแถวเพื่อตรวจตั๋วก่อนออกเดินทางอีกครั้ง”

“พี่ได้เวลาแล้ว”

แววตาของชาหลัวเป็นประกายและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“อื้มไปกันเถอะ”

ชาหน่าตอบเบาๆ

เขาถือกระเป๋าหนังสัตว์ขึ้นมาและเดินไปที่ประตู

“ฉันคงมาส่งได้แค่นี้ เดินไปตามทางที่คนประกาศแนะนำ ขอให้โชคดี”

ฮู่เตียนโบกมือให้เล็กน้อย ก่อนที่จะลุกและเดินจากไป

“คุณฮู่เตียนขอบคุณที่มาส่ง”

ชาหน่าตะโกนกล่าวขอบคุณ

“ด้วยความยินดี”

ฮู่เตียนเหลือบกลับมามองและตอบก่อนที่จะเดินส่ายหางออกไป

“เฮ่อ…”

ชาหน่าถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับความกดดันที่หายไป

สองพี่น้องชาเดินไปถึงทางออกของโถงหงเฟ่ย และถูกพนักงานหยุดเอาไว้

“ขอดูตั๋วด้วยครับ”

พนักงานยิ้มให้และพูดขึ้น

“นี่”

ชาหลัวส่งตั๋วของเธอให้ทันที

พนักงานรับตั๋วมาก่อนที่จะประทับตราคำว่า ‘ตรวจสอบแล้ว’ ไว้ที่ด้านล่างของตั๋ว

ก่อนที่เขาจะส่งตั๋วคืนและพูดเบาๆ

“เชิญขึ้นได้เลยครับ หลังจากนี้เราจะออกเดินทางแล้ว”

“ค่ะ”

ชาหลัวยิ้มหวานให้

เธอเดินออกไปจากโถงหงเฟ่ย และเห็นอินทรีอัคคีขนาดใหญ่นอนก้มตัวอยู่

“ผู้โดยสารเชิญทางนี้เลยค่ะ”

ที่ใกล้ตัวอินทรีอัคคีมีพนักงานต้อนรับของสายการบินในเครื่องแบบยืนโบกมือเรียกอยู่

“ผู้โดยสารทั้งสอง ซื้อที่นั่งชั้นหนึ่งหรือสองค่ะ”

พนักงานถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ชั้นหนึ่ง”

ชาหลัวแสดงตั๋วของเธอให้พนักงานดู

เมื่อพนักงานเห็นก็ยิ้มให้ ก่อนที่จะผายมือบอกทางให้กับทั้งสอง

“ผู้โดยสารตามฉันมาเลยค่ะ”

เธอเดินขึ้นบันไดที่ทำมาจากผลึกแก้วที่ด้านหลังของอินทรีอัคคี และพาสองพี่ชาไปที่นั่งด้านหน้าของห้องโดยสาร

ชาหลัวมองดูรอบๆ ห้องโดยสารด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะในนี้มันทั้งกว้างและดูหรูหรากว่าที่คิด และทั้งห้องโดยสารทำมาจากผลึกแก้ว

พนักงานต้อนรับผายมือไปทางที่นั่งในส่วนของที่นั่งชั้นหนึ่งและพูดขึ้น

“ผู้โดยสารทั้งสองนี่คือส่วนของที่นั่งชั้นหนึ่ง บนตั๋วได้ระบุตัวเลขที่นั่งเอาไว้แล้วโปรดนั่งตามเลขที่นั่งได้เลย”

ชาหลัวดูตั๋วอีกครั้งและเห็นว่ามีเลข 2 เขียนอยู่ที่มุมบนซ้ายจริงๆ

“ที่นั่งหมายเลข 2…”

เธอมองไปก็เห็นที่นั่งริมหน้าต่างและมีป้ายเล็กๆ ติดกับที่นั่งเขียนเลข 2 เอาไว้ซึ่งเป็นแถวหน้าสุด

“ผู้โดยสายทั้งสองอย่าได้ลุกไปไหนขณะที่เสี่ยวหยูกำลังบินขึ้น อีกไม่ช้าพวกเราจะออกบินกันแล้ว”

พนักงานต้อนรับแนะนำด้วยรอยยิ้ม

“เข้าใจแล้ว”

ชาหลัวเก็บตั๋วและนั่งลงบนที่นั่งของเธอ มันเป็นเก้าอี้นั่งที่ใหญ่พอที่จะมีพื้นที่ให้ปีกของเธอ

ชาหน่านั่งลงและมองไปรอบๆ ห้องโดยสาร และเพราะห้องโดสารทำมาจากระจกทำให้พอที่จะเห็นด้านนอกได้

เวลาเดียวกันผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เริ่มออกมาจากโถงหงเฟ่ยแล้วถยอยกันขึ้นมาบนห้องโดยสารกันแล้ว

“หัวหน้า ฉันไม่ค่อยมั่นใจเลย”

ตาซื่ออุ้มถุงหนังสัตว์เอาไว้แน่น และเริ่มมีเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผากของเขา

“เดินไป..อย่าคิดมาก”

หวาเอ่อกังเหลือบมองเล็กน้อย

ที่จริงเขาเองก็วิตกเหมือนกัน แต่ไม่กล้าที่จะแสดงออก เพราะมันจะเสียภาพลักษณ์ของเขาได้

พนักงานต้อนรับเดินเข้ามาในส่วนของพื้นที่นั่งชั้นสองและตะโกนขึ้น

“กรุณานั่งที่นั่งตามหมายเลขบนตั๋วด้วย

“ที่นั่ง?”

หวาเอ่อกังเอาตั๋วขึ้นมาดูและเห็นว่ามีเลข 15 เขียนอยู่ที่มุมบนซ้าย

และเขาก็กวาดสายตามองไปรอบๆ และเห็นว่ามีที่นั่งหนึ่งมีเลข 15 ติดอยู่

“ตอนนี้เราจะออกเดินทางแล้ว กรุณานั่งลงกับที่ด้วย”

พนักงานต้อนรับกล่าวเตือนอีกครั้ง

ในห้องโดยสารชั้นสอง ทุกคนรีบหาที่นั่งของตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินสิ่งนี้

ชาหลัวมองไปรอบๆ และหันมาคุยกับพี่ชายของเธอ

“พี่ชายดูเหมือนว่าตรงนี้จะมีแค่เรานะ”

“นั้นก็ดี…”

ชาหน่าพูดอย่างใจเย็น

ที่ลานกว้างเล็กๆ ด้านหน้าป้อมซานไห่หยู่เฟ่ยหยานในชุดเกราะหงส์เพลิงกำลังบอกลาแม่ของเธออยู่

“เดินทางระวังด้วย รักษาตัวเข้าใจไหม”

หยู่ฉินหลานกล่าวเตือน

“อื้ม”

หยู่เฟ่ยหยานทำหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น

“แม่ หนูรู้แล้วหนูไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะ”

“ในสายตาของฉันลูกก็ยังไม่ต่างจากเด็กสามขวบหรอก”

หยู่ฉินหลานยิ้มมุมปาก และดีดหน้าผากของลูกสาวเบาๆ

“อะไรแม่!”

หยู่เฟ่ยหยานทำจมูกย่นและพ่นลมหายใจที่ไม่พอใจออกมา

“จำสิ่งที่แม่พูดเอาไว้ให้ดี”

หยู่ฉินหลานดุลูกสาวด้วยรอยยิ้ม

มีแม่ที่ไหนบ้างไม่กังวลเมื่อลูกสาวจะต้องออกเดินทางไกล

“รู้แล้วหนูดูแลตัวเองได้”

หยู่เฟ่ยหยานเอามือขึ้นมากุมหน้าผากเอาไว้ และพยักหน้า

หยู่ฉินหลานคืนความสงบและสง่างามอีกครั้งก่อนที่จะใช้มือรวบผมของตัวเอง

และพูดเบาๆ

“อย่าไว้ใจคนแปลกหน้าเกินไป และระวังคนแปลกหน้าเอาไว้”

“เข้าใจแล้ว”

หยู่เฟ่ยหยานพยักหน้า

“งั้นก็ไปเถอะ”

หยู่ฉินหลานถอยออกไปก้าวหนึ่งและมองดูลูกสาว

“ไปก่อนนะแม่”

หยู่เฟ่ยหยานโบกมือให้ และตรงขึ้นไปบนเสี่ยวหยู่

“โถ่ๆ….”

หยู่ฉินหลานแอบถอนหายใจ พร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล

เธอได้แค่ปลอบใจตัวเองว่า ตราบใดที่หยู่เฟ่ยหยานสวมชุดเกราะหงเพลิงกับมีพัดอัคคีอยู่ หากไม่เผชิญหน้ากับผู้มีพลังขั้น 8 หรือสัตว์อสูรขั้น 8 ลูกสาวของเธอคงไม่เป็นอะไร

บนห้องโดยสาร

มีหน่วยคุ้มกันทั้งหมด 7 คนเข้าแถวกันอยู่และมองไปด้านหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

หกคนเป็นมนุษย์มีพลังขั้น 1 มีหนึ่งคนเป็นผู้กลายพันธ์มีพลังขั้น 4

ผู้กลายพันธ์คนนี้เป็นลูกน้องเก่าของฮู่เตียนและได้รับการตรวจสอบภูมิหลังจากลี่เยว่แล้ว

หลังจากได้รับการยืนยันแล้วว่าปลอดภัย ผู้กลายพันธ์คนนี้จึงถูกรับเลือกให้เข้าสู่กองทัพอากาศและรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยให้กับสายการบินร่วมกับหยู่เฟ่ยหยาน

หยู่เฟ่ยหยานไพล่มือไว้ด้านหลัง และถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“ทุกคนพร้อมรึยัง”

“พร้อม”

หน่วยคุ้มกันทั้ง 7 ตอบพร้อมกัน

“งั้นประจำตำแหน่ง และเตรียมออกเดินทางได้”

หยู่เฟ่ยหยานยกมือขึ้นและโบกมือออกคำสั่ง

“รับทราบ”

ทั้งหมดขานรับพร้อมกัน

ก่อนที่ทุกคนจะกระจายตัวไปตามตำแหน่งในห้องโดยสารและห้องสัมภาระตามความรับผิดชอบ

ภายในห้องโดยสาร

พนักงานต้อนรับทุกคนนั่งลงก่อนที่จะวางมือบนที่เท้าแขนและพูดขึ้น

“สายการบินกำลังจะออกตัวแล้ว โปรดนั่งให้มั่นคงบนที่นั่งของทุกคน”

หวาเอ่อกังเม้มปากเล็กน้อยและรู้สึกไม่สบายใจ

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขึ้นมาบนหลังของสัตว์อสูรขั้น 7 ที่บินได้แบบนี้ มันต่างจากการขึ้นนกขนส่งอย่างมาก

ภายในห้องโดยสารหยู่เฟ่ยหยานหยิบส้อมเสียงออกมา มันทำมาจากผลึกแก้วและด้ามจับทำมาจากขนของอินทรีอัคคี

นี้คือยุทธภัณฑ์วิญญาณที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษโดยมู่เหลียง มันสามารถให้คำสั่งกับเสี่ยวหยูได้ แต่มีเพียงไม่กี่คำสั่งเช่น ออกตัว ขึ้น ลง ลงจอด

…..

แคร็ง  แค็ง

หยู่เฟ่ยหยานสั่นส้อมเสียงจนเกิดเสียงดังไปทั่วหน้าป้อมซานไห่

แคว้ก!!

ก่อนที่อินทรีอัคคีจะลืมตาขึ้นและ กางปีกอันใหญ่โตของมันออก และลุกขึ้นก่อนที่จะกระพือปีกทะยานสู่ท้องฟ้า พร้อมกับเสียงร้องที่ดังไปทั่ว

เพียงการกระพือปีกไม่กี่ครั้ง อินทรีอัคคีก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

ในห้องโดยสาร ชาหลัวมองออกไปรอบๆ และเห็นทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นชั้นเมฆในที่สุด

“นุ่มมาก”

ชาหน่าเอ่ยปากชม

“ใช่มันออกตัวได้มั่นคงและนุ่มกว่านกขนส่งของเราอีก”

ชาหลัวพูดพร้อมกับแววตาที่เป็นประกาย

เธอไม่รู้ถึงกระแสลมที่รุนแรงปะทะร่างเลย นอกจากแรงสั่นสะเทือนเป็นบางครั้ง

สิบนาทีต่อมาหน่วยคุ้มกันก็เปิดประตูภายในห้องโดยสาร

พร้อมกับพนักงานต้อนรับที่ยืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด

“ตอนนี้ผู้โดยสารสามารถเคลื่อนไหวและเดินไปรอบๆ ได้แล้วค่ะ แต่โปรดคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย และอย่าได้ลุกจากที่นั่งนานเกินไป

“พี่เราลุกไปดูรอบๆ กัน”

ชาหลัวลุกขึ้น และเดินไปรอบๆ ด้วยท่าทางร่าเริง

ชาหน่ายิ้มก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ แม้พวกเขาจะบินบนท้องฟ้าได้และเห็นท้องฟ้ามาหลายครั้ง แต่บนผืนฟ้าแห่งนี้ก็ยังทำให้เขาหลงไหลได้ทุกครั้ง

สองพี่น้องมองดูเมฆสีเทาที่เลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วนอกหน้าต่าง

“มันเร็วมาก”

ชาหลัวเปิดปากพูดขึ้นมาเล็กน้อย

ความเร็วของอินทรีอัคคีนั้นเร็วกว่านกขนส่งของเมืองปักษาหลายเท่า

ที่ห้องโดนสารชั้นสอง ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เริ่มแสดงออกถึงความประหลาดใจ

คนที่ไม่แข็งแกร่งพอได้แต่นั่งคดตัว และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้ และมีผู้โดยสารหลายคนที่เป็นเช่นนั้น

“ขาฉันไม่มีแรงเลย”

พ่อค้าบางคนพูดขึ้นและทำท่าเหมือนจะอาเจียน

เพราะอินทรีอัคคีไต่ระดับความสูงเร็วมาก และสูงยิ่งกว่านกขนส่ง ทำให้ความดันเปลี่ยนอย่างฉับพลันทำให้หลายคนตั้งตัวไม่ทัน

“ด้วยความเร็วขนาดนี้ เราจะไปถึงเมืองปักษาก่อนมืดแน่”

หวาเอ่อกังรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที และหันมองกลับไปที่ด้านหลังห้องโดยสาร

ผลไม้ของเขาอยู่ด้านหลังของห้องโดยสาร และเขาไม่อยากจะปล่อยทิ้งเอาไว้นานเกินไป

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด