1389 - ทัณฑ์สวรรค์ของร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณ
1389 - ทัณฑ์สวรรค์ของร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณ
บนภูเขาที่ไม่ได้สูงมากนัก มีกระท่อมอยู่เพียงไม่กี่หลัง ในช่วงสามปีที่ผ่านมาเย่ฟ่านอาศัยอยู่เนินเขาที่ไม่มีใครรู้จักโดยแทบไม่ก้าวเท้าออกจากภูเขาแม้แต่ครั้งเดียว
ด้านหน้ากระท่อมมีเถาของต้นองุ่น ด้านข้างเป็นลานที่มีการปลูกยาโบราณและพืชศักดิ์ศิทธิ์ไว้หลายชนิด
ไกลออกไปมีป่าโบราณซึ่งมีเหล่าสัตว์อสูรขนาดเล็กปีนป่ายหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
เย่ฟ่านนั่งสมาธิอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามปีเพื่อสัมผัสถึงเต๋าที่เบาบางภายในอากาศ โลกในยุคปัจจุบันกำลังเข้าสู่ภาวะเสื่อมทรามดังนั้นเขาจำเป็นต้องใช้สมาธิอย่างหนักกว่าจะพัฒนาตัวเองให้ก้าวเข้าสู่อาณาจักรต่อไปได้
“บูม”
สายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้า จากนั้นฝนก็โปรยลงมา เย่ฟ่านยืนมองสายฟ้าที่ปรากฏออกมาบางคราวอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้กล่าวอะไร
เสี่ยวซงเปิดผลเฟิ่งหวงที่เย่ฟ่านปลูกไว้ มันหยิบเนื้อสีแดงสดที่อยู่ข้างในออกมา ดวงตากลมโตของมันกระพริบแล้วยื่นให้เย่ฟ่าและจางชิงหยาง ท่าทางของมันดูน่ารักและประจบประแจง
“แคร็ก!”
งูสีเงินบินว่ายอยู่บนเมฆดำ แหวกท้องฟ้าพ่นกลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมาอย่างไม่รู้จบ สภาพอากาศเช่นนี้จะเป็นอันตรายต่อนักพรตอย่างมาก
“ชิงหยาง เจ้าพร้อมหรือยัง?” เย่ฟ่านถาม
“ข้าพร้อมแล้วอาจารย์” จางชิงหยางตอบ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขามีโอกาสได้สัมผัสกับพลังแห่งศรัทธาเคียงข้างเย่ฟ่าน และในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จครั้งใหญ่จนตอนนี้ฐานการบ่มเพาะของเขามีโอกาสจะพัฒนาก้าวเข้าสู่อาณาจักรผู้สูงสุด
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าสู่สายฟ้าได้เลย ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจของเจ้า ยอมรับการลงทัณฑ์โดยไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง ต่อสู้กับสายฟ้าเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา” เย่ฟ่านกล่าวเบาๆ
ทุกครั้งที่มีทัณฑ์สวรรค์ เย่ฟ่านจะให้คำแนะนำที่ดีแก่เหล่าศิษย์ตัวเองเสมอ เขาไม่ลังเลที่จะใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการช่วยเหลือทุกคน
อย่างไรก็ตามเขาจะไม่ยื่นมือเข้าไปขัดขวางกระบวนการนี้อย่างเด็ดขาด นั่นก็เพราะเขาจะอนุญาตให้ทุกคนฝ่าทัณฑ์สวรรค์ก็ต่อเมื่อมั่นใจว่ารากฐานของทุกคนแข็งแกร่งมากพอแล้วเท่านั้น
นิกายโบราณที่สำคัญทุกกนิกายล้วนมีทักษะลับ หากศิษย์ของพวกเขาสามารถเรียกสายฟ้าออกมาได้ก็จะมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่
นั่นก็เพราะสิ่งนี้ย่อมหมายความว่าลูกศิษย์ของพวกเขามีความสามารถในการท้าทายสวรรค์นั่นเอง!
แต่ไม่ใช่กับยุคปัจจุบัน เพราะตอนนี้ไม่มีใครสามารถกระตุ้นทัณฑ์ออกมาได้ ครั้งล่าสุดที่มีการจดบันทึกไว้มันเป็นเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อสี่ร้อยปีก่อนเลยทีเดียว
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เหล่าศิษย์หลายคนได้เผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์แล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาต่างรอดชีวิตกลับมาเพราะความช่วยเหลือจากทรัพยากรของเย่ฟ่าน
และในตอนนี้จางชิงหยางก็กำลังเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์เป็นครั้งที่สอง ในบรรดาผู้คนทั้งหมดเขาคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดของเย่ฟ่าน
ในความเป็นจริงลูกศิษย์ทุกคนของเย่ฟ่านล้วนมีพรสวรรค์สูงส่ง หากพวกเขาเกิดอยู่ในนเป่ยโต้วอย่างน้อยคนเหล่านี้จะต้องกลายเป็นปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดแล้ว
น่าเสียดายที่พวกเขาเกิดในยุคแห่งความเสื่อมทราม ตามปกติหากไม่พบกับเย่ฟ่านในชีวิตของพวกเขาอาจไม่เคยเจอทัณฑ์สวรรค์เลยสักครั้ง
สำหรับคนธรรมดาการเผชิญหน้ากับทันสวรรค์ครั้งเดียวก็ถือเป็นขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว
อย่างไรก็ตามลูกศิษย์ของเย่ฟ่านอาจต้องเผชิญกับพวกมันในทุกครั้งที่ทะลวงขอบเขต เพราะพวกเขาทุกคนล้วนได้เรียนรู้ทักษะอันยอดเยี่ยมที่ท้าทายสวรรค์อย่างมาก
ทุกย่างก้าวของพวกเขาจึงจำเป็นต้องก้าวไปด้วยความระมัดระวัง เพราะรากฐานของเต๋าของพวกเขามีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้คนรุ่นเดียวกันนั่นเอง
ระหว่างกระบวนการนี้ เย่ฟ่านได้ค้นพบบางสิ่งที่พิเศษ ในการบ่มเพาะช่วงที่ผ่านมาเย่ฟ่านได้รับการศรัทธาจากผู้คนมากมาย เขาสามารถใช้สิ่งนี้ต่อต้านทัณฑ์สวรรค์ได้บางส่วน ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น
“ข้าจะขึ้นไปแล้ว…” จางชิงหยางกล่าวกับเย่ฟ่าน
เขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเผชิญกับทะเลสายฟ้าที่ไม่สิ้นสุด จางชิงหยางเข้าไปในเมฆที่หนาทึบ แล้วเริ่มต่อสู้กับพวกมันอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นแสงไฟก็สว่างขึ้น งูสีเงินเคลื่อนไหวอย่างดุเดือดมันคล้ายกับสัมผัสได้ถึงพลังของจางชิงหยางดังนั้นงูสีเงินตัวนี้จึงเริ่มลงมือกับเขาโดยตรง
“รากฐานของเขามีความมั่นคงมากกว่าในอดีตอย่างเทียบกันไม่ได้” เย่ฟ่านกล่าวกับตัวเอง
“บูม”
ทะเลสายฟ้านั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จางชิงหยางจมอยู่ในแสงหลากสีสัน หากไม่ใช่ว่าเย่ฟ่านมีดวงตาของปรมาจารย์ต้นกำเนิดสวรรค์คงยากจะมองเห็นความเคลื่อนไหวของเขาได้
เย่ฟ่านเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดและเตรียมที่จะลงมือช่วยชีวิตจางชิงหยางทันทีที่เขามีท่าทีจะทนไม่ไหว
อย่างไรก็ตามเขาจำเป็นต้องอดกลั้นให้ถึงขีดสุด เพราะการเข้าไปช่วยเหลือจะทำให้จางชิงหยางไม่มีความหวังในการพัฒนาตัวเองอีกต่อไป
เสี่ยวซงกระพริบดวงตากลมโตของมันและจ้องมองไปยังก้อนเมฆ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมันเป็นคนที่ได้เผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์มากที่สุด
สาเหตุก็เพราะเสี่ยวซงมีฐานการบ่มเพาะค่อนข้างต่ำ ดังนั้นอัตราการทะลุทะลวงของมันจึงเร็วมากกว่าทุกคน
“มันได้ผล!”
เย่ฟ่านจ้องมองไปที่ทะเลสายฟ้า พลังอันบริสุทธิ์ของความศรัทธาในตัวจางชิงหยางพยายามขัดเกลาทัณฑ์สวรรค์ให้ผสมผสานกับเนื้อหนังของตัวเอง สิ่งนี้ทำให้เขาปลอดภัยจากภัยพิบัติที่กำลังจู่โจมเข้ามาโดยไม่หยุดพัก
ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด แสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มีพลังลีบลับที่สามารถบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ หากไม่มีสิ่งใดบรรเทาแรงกดดัน บางทีจางชิงหยางอาจยืนหยัดไม่ถึงช่วงท้าย
ครึ่งชั่วยามต่อมา สายฟ้าเก้าระดับสุดท้ายฟาดลงมาที่ผิวหนังของจางชิงหยาง ร่างกายของเขาถูกฉีดขาด กระดูกเกือบแทบจะไหม้เกรียม แต่ในที่สุดเขาก็ยังรอดตายและเอาชนะภัยพิบัติได้
จางชิงหยางบินลงมาจากท้องฟ้าด้วยความตื่นเต้น ในขณะนี้เมื่อเขาสามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์เขาย่อมได้รับการชดเชยอย่างไม่สิ้นสุด
ในปัจจุบันไม่เพียงแค่ร่างกายของจางชิงหยางจะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น วิญญาณของเขายังได้รับการยกระดับขึ้นอีกด้วย
“ดีมาก” เย่ฟ่านพยักหน้า
ความสำเร็จของจางชิงหยางก็ทำให้เย่ฟ่านเกิดความตื่นเต้นเช่นกัน ในตอนนี้เย่ฟ่านมีโอกาสที่จะทะลุทะลวงแล้ว โอกาสนั้นอาจมาถึงได้ตลอดเวลา
ดังนั้นเย่ฟ่านจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม และพลังแห่งศรัทธาที่ใช้ขัดเกลาสายฟ้าจากสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมซึ่งจะช่วยให้เขามีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นเช่นกัน
ต้องเข้าใจว่าการทะลุทะลวงครั้งต่อไปของเย่ฟ่านมีความอันตรายอย่างมาก สาเหตุก็เพราะเขาคือร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณ
การก้าวเข้าสู่อาณาจักรเซียนเทียมขั้นสามย่อมหมายความว่าร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณของเขาจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
ซึ่งแน่นอนว่าความยากลำบากของมันจะต้องมีมากกว่าตอนที่เขาก้าวเข้าสู่อาณาจักรสี่สุดขั้วหลายร้อยหลายพันเท่า
“เจ้าต้องกำหนดเต๋าของตัวเองขึ้นมา ข้าไม่สามารถมอบมันให้เจ้าได้ เจ้าต้องเรียนรู้ในการเอาชนะความยากลำบาก รับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง” เย่ฟ่านกล่าว
ในขั้นตอนปัจจุบันเย่ฟ่านไม่ต้องการให้ลูกศิษย์ยึดติดกับตัวเขามากเกินไป เขาอยากให้ทุกคนกำหนดเส้นทางของตัวเองเพราะนั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ไกลมากที่สุด
หนึ่งเดือนต่อมา เย่ฟ่านบินออกจากโลกใบนี้เพียงลำพัง เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดติดตามมาด้วย เสี่ยวซงและจางชิงหยางตะโกนขอให้เย่ฟ่านร้องขอพลังศรัทธาของผู้คนทั้งโลกให้มากกว่านี้
เย่ฟ่านปฏิเสธ เขาเลือกที่จะใช้พลังศรัทธาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริงก็คือการเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้าอย่างตรงไปตรงมา
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเย่ฟ่านตระหนักว่าหาเขาหรือพาความช่วยเหลือจากภายนอกมันจะทำให้เต๋าของเขาได้รับผลกระทบไปด้วย
ดังนั้นเขาจึงนำพลังศรัทธาที่ได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมาบรรจุลงไปในหม้อปราณปฐพีต้นกำเนิด ในขณะที่ตัวเขาบินออกจากโลกใบนี้โดยไม่หันหลังกลับมามอง
เย่ฟ่านไม่นำสิ่งใดติดตัวไปด้วย ยกเว้นหม้อปราณปฐพีต้นกำเนิดซึ่งจำเป็นต้องได้รับการขัดเกลาจากสายฟ้า นี่คือทางเลือกที่เย่ฟ่านต้องการและมันจะไม่เปลี่ยนแปลงไป
“พลังแห่งความศรัทธาสามารถใช้ได้กับทุกสิ่งมีชีวิต แต่มันจะไม่ใช่เรื่องดีในอนาคต ข้าไม่เชื่อว่าการหยิบยืมพลังของผู้อื่นมาจะทำให้เรากลายเป็นอมตะได้”
นี่คือสิ่งที่เย่ฟ่านกังวลอยู่ในใจ ต่อให้ครั้งนี้สามารถผลักดันเขาเป็นอมตะได้จริงๆ แต่เขาคิดว่ามันจะทำให้เต๋าของเขาได้รับผลกระทบในอนาคต
เย่ฟ่านขึ้นไปบนท้องฟ้าและเดินทางไปยังดวงดาวที่อยู่ห่างไกลจากโลกพอสมควร เพราะเขากลัวว่าทัณฑ์สวรรค์ของเขาอาจสร้างหายนะครั้งใหญ่ให้กับสภาพแวดล้อมของโลก
เย่ฟ่านตระหนักดีว่าทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้จะน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด เพราะแม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อยว่าจะรอดชีวิตออกจากที่นี่ได้
เย่ฟ่านยืนอยู่คนเดียวในดินแดนที่หนาวเย็น รู้สึกถึงความเงียบงัน จิตใจของเขาผ่อนคลายและลบล้างความกังวลทั้งหมดออกไปจนหมดสิ้น จากนั้นเขาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ถึงเวลาแล้ว มาผ่านเรื่องนี้กันเถอะ”
เย่ฟ่านกล่าวกับตัวเองเบาๆ
เขาเริ่มกระตุ้นทักษะเต๋า โดยไม่ระงับความแข็งแกร่งของตนเองอีกต่อไป ร่างกายและจิตใจของเขาเชื่อมโยงเข้ากับจักรวาล ในเวลาต่อมาเมฆสีดำทะมึนหลายแสนลี้ก็ปกคลุมทัวร์ท้องฟ้าของดาวโบราณแห่งนี้
…………..