บทที่ 26: ข้าขอโทษ
ในช่วงเวลา 7 วันที่ผ่านมา เฟิ่งมู่ชิงวิ่งรอกไปมาระหว่างจวนที่อยู่ชานเมืองกับจวนผู้สำเร็จราชการฯ
จนถึงปัจจุบันเฟิ่งเทียนเซียวรวบรวมเด็กกำพร้าและขอทานมาได้กว่าหลายร้อยคน ตอนนี้พวกเขาทุกคนได้รับการฝึกฝนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยที่เฟิ่งมู่ชิงและโม่เยว่จะคอยไปดูพวกเขาเป็นครั้งคราวเพื่อให้การฝึกของพวกเขาราบรื่นยิ่งขึ้น
ในพริบตาเดียว กาลเวลาก็ผ่านพ้นไปจนมาถึงเทศกาลหมื่นบุปผา
ยามที่โคมไฟถูกจุดขึ้น ทั่วทั้งเมืองหลวงก็ส่งเสียงโห่ร้องดังสนั่นปะปนไปกับเสียงหัวเราะรื่นรมย์ของผู้ที่มาร่วมงานไม่ขาดสาย
ขณะนี้เฟิ่งมู่ชิงเดินไปตามถนนสายหลักโดยมีจวินหรูเย่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง
ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้คนรอบข้างที่เห็นชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นต่างรีบพากันหลบเลี่ยงสายตาพร้อมกับหลีกไปด้านข้างเพราะกลัวว่าจะบังเอิญไปชนอีกฝ่ายเข้า
ใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว! นั่นคือผู้สำเร็จราชการฯ ผู้ยิ่งใหญ่ คนธรรมดาแบบพวกเขาไม่กล้าแม้แต่มองหน้าเขาตรง ๆ เลยด้วยซ้ำ ใครจะไปกล้ามีเรื่องกับท่านกัน
หากมีใครบังเอิญไปลบหลู่ท่าน มันผู้นั้นคงจะสิ้นชีพทันที!
จวินหรูเย่ที่ผ่านการต่อสู้ในสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน เขาได้ก้าวผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง ดังนั้นทั่วร่างของเขาจึงมีแต่ไอสังหารที่ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้ ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะรู้สึกเคารพเขา แต่ความกลัวในใจก็มีมากกว่าอยู่ดี
ทันทีที่เฟิ่งมู่ชิงเห็นว่าผู้คนต่างพากันเปิดทางให้นางเดินแล้วไปแออัดกันอยู่ 2 ข้างทาง มันก็ทำให้นางอดที่จะปากกระตุกไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ท่านไปทำอะไรมาถึงทำให้คนพวกนี้กลัวท่านนักหนา?”
“ข้าไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากพวกเขาตรงไหนเลย” จวินหรูเย่ตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชายหนุ่มไม่สนใจว่าคนเหล่านั้นคิดกับตนอย่างไร เขาขอแค่คนข้างกายเข้าใจเขาก็เพียงพอแล้ว
ส่วนเฟิ่งมู่ชิงก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ระหว่างนั้นสายลมได้พัดผ่านร่างของหญิงสาวประกอบกับแสงไฟที่สาดส่องมายังตัวนางมันจึงทำให้ภาพลักษณ์ของนางชวนฝันในสายตาของจวินหรูเย่
ในเวลาเดียวกัน เฟิ่งมู่ชิงหันไปสนใจมองสิ่งรอบกายแล้วพบว่าชายหญิงนับไม่ถ้วนมาร่วมงานเทศกาลกันเป็นคู่ ทันทีที่นางได้เห็นความชื่นมื่นบนใบหน้าของพวกเขาก็พลันมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจของนาง
โลกมนุษย์ก็ยังคงมหัศจรรย์อยู่เช่นเคย
ทันใดนั้น แสงสีเหลืองอันอบอุ่นก็สาดส่องเข้ามาในสายตาของหญิงสาว ทำให้นางตกตะลึงไปชั่วครู่ แต่พอมองดูดี ๆ จะเห็นว่ามันเป็นโคมไฟอันหนึ่ง
เมื่อนางมองไล่ตามโคมไฟไปก็พบกับมือเรียวของจวินหรูเย่
เฟิ่งมู่ชิงยิ้มกว้างรับโคมไฟจากมืออีกฝ่ายหนึ่งมาถือเอาไว้พลางเอ่ยถามว่า “ท่านให้ข้าหรือ?”
ชายหนุ่มตอบกลับเบา ๆ ว่า “อืม” ก่อนที่เขาจะเสตามองไปด้านข้างไม่กล้าสบตาภรรยาสาว
เมื่อครู่นี้เขาเห็นว่านางยิ้มให้กับคู่รักพวกนั้น เขาก็เลยตัดสินใจซื้อโคมไฟมาแบบไม่รู้ตัว จนกระทั่งตอนที่นางถาม เขาก็คิดในใจว่าตัวเองทำบ้าอะไรอยู่กันแน่?
“ข้าขอโทษ หาได้ยากมากเลยนะเนี่ยที่ท่านจะมาทำอะไรแบบนี้ ท่านเองก็มีมุมน่ารักเช่นนี้เหมือนกันสินะ” เฟิ่งมู่ชิงกล่าวติดตลก
คำพูดไม่กี่ประโยคทำให้ใบหน้าของจวินหรูเย่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งตัวเองในใจ เขาเองก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ นับตั้งแต่ที่ชายหนุ่มได้พบกับสตรีผู้นี้ เขาก็ยิ่งทำตัวแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในเวลาเดียวกัน พอโม่อิ๋งได้เห็นท่าทางอึดอัดใจของผู้เป็นนายเขาก็ก้มศีรษะกลั้นหัวเราะ
ระหว่างนั้นเขาก็คิดว่าที่ผ่านมาชื่อเสียงอันโหดเหี้ยมของนายท่านขจรไกลมากแค่ไหน แต่พออยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ ความน่าเกรงขามกลับถูกทำลายไปจนสิ้น เหตุใดนายท่านถึงปฏิบัติต่อพระชายาพิเศษกว่าคนอื่นแบบนี้?
ที่แท้ความรักก็ทำให้เจ้านายที่แสนฉลาดและทรงพลังของเขากลายเป็นคนธรรมดาได้เหมือนกัน ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง!
แม้ว่าผู้คนรอบตัวพวกเขาอาจจะไม่รู้จักเฟิ่งมู่ชิง แต่คนเหล่านี้ย่อมรู้จักจวินหรูเย่ เมื่อได้เห็นความรักอันลึกซึ้งระหว่างชายหญิงทั้งสองพวกเขาก็สามารถคาดเดาตัวตนของเฟิ่งมู่ชิงได้ในทันที
ไม่นานก็มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าผู้สำเร็จราชการฯ กับพระชายาของเขามีความรักลึกซึ้งต่อกัน
ทันทีที่สตรีทั้งหลายในเมืองหลวงได้ยินข่าว พวกนางก็ได้แต่ทุบอกกระทืบเท้าเต้นเร่า ๆ เพราะทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าเฟิ่งมู่ชิงมีชื่อเสียงฉาวโฉ่แค่ไหน แต่แล้วทำไมผู้ที่มีตำแหน่งสูงศักดิ์ถึงได้ต้องตาต้องใจนาง!
ในอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งหวานหว่านแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มที่มาร่วมงานเทศกาลหมื่นบุปผาแล้วบังเอิญพบกับสหายคนสนิทเข้า
“หวานหว่าน นี่เจ้าสวมชุดม่านหมอกแสงรำไรของร้านจิ่นซิ่วฟางใช่หรือไม่?!” ผู้หญิงที่สวมชุดสีชมพูถามเสียงสูง
เฟิ่งหวานหว่านพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจว่า “ท่านพ่อไปสั่งตัดชุดที่ร้านจิ่นซิ่วฟางให้ข้าเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ เขาบอกว่าเป็นสาวเป็นนางจะออกจากบ้านต้องแต่งตัวให้ดูดีสักหน่อย”
“ท่านมหาเสนาบดีรักเจ้ามากจริง ๆ” หญิงในชุดชมพูพูดอย่างอิจฉา
เฟิ่งหวานหว่านเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง นางถือได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของมหาเสนาบดี ทว่าเรื่องการสวมรอยแต่งงานแทนพี่สาวของนางนั้นได้ทำลายชื่อเสียงไปจนสิ้น พอคิดถึงเรื่องนี้ หญิงสาวก็ตัดสินใจที่จะกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับมาในเทศกาลหมื่นบุปผานี้ นางจะต้องไปแสดงฝีมือบนลานประลองหมื่นบุปผา
“แน่นอนอยู่แล้ว!” คุณหนูรองสกุลเฟิ่งกล่าวพร้อมกับเชิดหน้าภูมิใจ
สตรีในชุดสีชมพูคนนี้มีนามว่า ‘จ้าวเจียอี๋’ นางเป็นลูกสาวของเสนาบดีเจ้ากรมทั้ง 6
“เรารีบไปที่ลานประลองหมื่นบุปผากันเถอะ จวนใกล้จะได้เวลาแล้ว” จ้าวเจียอี๋เอ่ยปากเร่งเร้า พร้อมกับดึงเฟิ่งหวานหว่านให้เดินตามไปอย่างเร่งรีบ
ตอนนี้การประลองกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ผู้คนโดยรอบจึงมุ่งหน้าไปยังลานประลองเพื่อรับชมการประลองอันน่าตื่นตาตื่นใจ
กลับมาทางด้านเฟิ่งมู่ชิง หญิงสาวไม่ค่อยสนใจเทศกาลหมื่นบุปผามากนักเพราะท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตนเรียบร้อย งานรื่นเริงของหนุ่มสาวที่กำลังมองหาคู่จึงไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่
ลานประลองหมื่นบุปผาที่จัดขึ้นระหว่างเทศกาลหมื่นบุปผานั้นเป็นเวทีประลองของผู้ที่มีพลังวิญญาณ สำหรับผู้ชนะก็นับได้ว่าเป็นเวทีที่ช่วยสร้างชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ส่วนผู้แพ้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์การต่อสู้ที่ดีครั้งหนึ่ง อีกทั้งการประลองก็มีกฎครอบคลุมไม่ให้ผู้เข้าประลองต้องเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
หากศิษย์จากสำนักศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งขึ้นเวทีประลอง เขาจะต้องท้าประลองกับผู้ที่มีรายชื่อติดอันดับจากการจัดอันดับในปีที่ผ่านมา ถ้าศิษย์คนนั้นชนะเขาก็จะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแคว้น แต่ถ้าหากว่าเขาพ่ายแพ้ก็จะนับได้ว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดี
อาจกล่าวได้ว่าชื่อเสียงทั้งหมดของเฟิ่งหวานหว่านก็สั่งสมมาจากลานประลองหมื่นบุปผา เพราะสุดท้ายแล้วการที่จะก้าวเข้าไปถึงขอบเขตสร้างรากฐานตั้งแต่อายุ 15 ปีเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก
เฟิ่งมู่ชิงคิดว่าน้องสาวนอกไส้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคงจะไม่พลาดโอกาสดี ๆ แบบนี้ไปแน่นอน
เนื่องจากหญิงสาวติดอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 มาเป็นเวลานานแล้ว นางจึงคิดที่จะใช้โอกาสนี้ลองดูว่านางจะสามารถก้าวไปอีกขั้นได้หรือไม่
ลานประลองหมื่นบุปผาถูกสร้างขึ้นกลางทะเลสาบโดยมีเพียงสะพานเชื่อมกับบนฝั่ง ซึ่งบริเวณโดยรอบก็มีแสงไฟสว่างไสวทำให้ทุกคนได้เห็นภาพบนลานประลองได้อย่างชัดเจน
ขณะนี้เฟิ่งมู่ชิงและจวินหรูเย่ได้เดินมาถึงลานประลองหมื่นบุปผาแล้ว ทั้งคู่โดดเด่นมากจนดึงดูดความสนใจของทุกคนไปพร้อมกับที่พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับชายหญิงทั้งสอง
และนั่นมันก็ทำให้คุณหนูรองเฟิ่งสังเกตเห็นสามีภรรยาคู่นี้ทันทีที่ไปถึง
“เฮอะ!” เฟิ่งหวานหว่านส่งเสียงไม่พอใจพลางเขม็งมองเฟิ่งมู่ชิง
คอยดูเถอะ! เฟิ่งมู่ชิง ข้าจะเอาเลือดของเจ้ามาล้างความอับอายของข้าให้ได้
ในเวลาเดียวกัน จ้าวเจียอี๋ก็ได้ยินบทสนทนาของผู้คนรอบข้าง นางจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสะกิดแขนของสหายคนสนิท “หวานหว่าน นั่นพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ใช่หรือไม่?”
หญิงสาวที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบแต่งกายด้วยชุดสีแดง ผมสีดำขลับของนางถูกปล่อยให้ลู่ไปกับสายลมยามค่ำคืน ส่วนชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายนางมีคิ้วรูปดาบรับกับดวงตามีเสน่ห์ เขาแต่งกายด้วยชุดสีดำซึ่งมันช่วยขับให้ใบหน้างดงามของเจ้าตัวดูเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ก็อยู่ที่นี่ด้วย!”
จ้าวเจียอี๋ต้องใช้เวลามองครู่หนึ่งถึงจะรู้ว่าจวินหรูเย่ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่านางไม่คิดว่าคนแบบจวินหรูเย่จะสนใจมาร่วมงานเทศกาลหมื่นบุปผากับเขาเหมือนกัน
แต่พอนางได้เห็นหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างชายหนุ่ม นางก็เข้าใจได้ในทันที ที่แท้ผู้ชายคนนั้นพาภรรยาของเขามาเที่ยวชมงานรื่นเริงนี่เอง
ชายหญิงสองคนนี้ดูเหมือนจะรักกันตามข่าวลือจริง ๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จ้าวเจียอี๋ก็อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ แม้ว่าเฟิ่งมู่ชิงจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ แต่สวรรค์ก็ยังเมตตานางให้ได้พบรักกับชายที่เป็นถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
ปัจจุบันมีผู้คนมากมายอยู่รอบ ๆ ลานประลองหมื่นบุปผา ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนเวทีประลอง ส่งผลให้ผู้คนรอบข้างส่งเสียงโห่ร้อง
“ข้าน้อยมีนามว่าซ่งอวี้ชู ขอคำชี้แนะด้วย”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ชักกระบี่เล่มยาวออกมาตั้งท่ารอให้ผู้ท้าชิงขึ้นมาบนเวที
หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ ชายคนหนึ่งที่ใช้กระบี่เหมือนกันก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีแล้วพูดว่า “หวังเจียป้ามาขอคำชี้แนะจากท่าน”
จากนั้นชายทั้งสองก็ทำการต่อสู้กันอย่างดุเดือดบนสังเวียน เงากระบี่ที่ตวัดไปมานั้นทำให้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกเวียนหัว แม้แต่จวินหรูเย่เองก็ไม่ได้หันไปจดจ่อกับการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้น ในขณะที่เขาคิดในใจว่า
แน่นอนว่าวิชากระบี่ของชิงชิงนั้นเคลื่อนไหวได้งดงามกว่าสองคนนั้นมาก
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ผู้เข้าร่วมการประลองบนลานประลองหมื่นบุปผาก็สลับกันขึ้นลงเวทีไม่หยุดหย่อนจนกระทั่งถึงเวลาที่เฟิ่งหวานหว่านก้าวขึ้นไปบนเวที
เฟิ่งหวานหว่านสมแล้วที่เป็นผู้ที่อยู่ในขั้นแรกของขอบเขตสร้างรากฐาน พอนางขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นมันก็เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าคนดูไปได้ไม่น้อย แล้วนางก็ประกาศให้ผู้คนได้รับรู้ในขณะที่สายตาจับจ้องไปที่เฟิ่งมู่ชิง “พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ท่านจะรับคำท้าของข้าหรือไม่!”
การกระทำนั้นทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่สตรีผู้สวมหน้ากากสีทอง ซึ่งมันกดดันจนนางไม่สามารถเพิกเฉยกับเรื่องนี้ได้
พวกเราจะได้เห็นการแสดงดี ๆ อีกแล้ว คุณหนูรองสกุลเฟิ่งคงกำลังคิดบัญชีย้อนหลังใช่หรือไม่?!
เนื่องจากเหตุการณ์สวมรอยแต่งงานที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ทุกคนจึงคิดว่าเฟิ่งหวานหว่านคงกำลังพยายามกู้หน้าของตัวเองกลับคืนมา
ทางด้านจวินหรูเย่สังเกตเห็นความกระตือรือร้นในดวงตาของเฟิ่งมู่ชิง เขาจึงรีบคว้าแขนเสื้อของนางแล้วกระซิบพูดเบา ๆ ว่า “เจ้าไม่ใช่คู่มือของนาง”
หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าไม่เคยลองแล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าสู้นางไม่ได้”
ทันทีที่เฟิ่งมู่ชิงพูดจบ นางก็ตั้งท่าจะขึ้นไปบนลานประลองหมื่นบุปผา แต่นางก็ยังคงถูกดึงรั้งเอาไว้ พอหันกลับไปก็พบว่าจวินหรูเย่ยังไม่ยอมปล่อยมือที่จับแขนเสื้อของนาง
ยามนี้ชายหนุ่มทำหน้านิ่งมองดูภรรยาสาวด้วยสายตาแน่วแน่
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หากเขาไปถึงไม่ทันเวลา พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ คงจะสิ้นชื่อไปแล้ว แถมปัจจุบันนางก็ยังก้าวไปไม่ถึงขอบเขตสร้างรากฐาน ดังนั้นนางจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟิ่งหวานหว่านอย่างแน่นอน
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เตรียมแก้มือรอบที่ 2 มีพี่หรูเย่คอยจับตามองอยู่ด้วย คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง