บทที่ 49: ใช่แล้ว ข้าฝึกวรยุทธ์
บทที่ 49: ใช่แล้ว ข้าฝึกวรยุทธ์
ตัวอย่างที่ง่ายที่สุด
สำหรับเส้นลมปราณและจุดฝังเข็มต่างๆ ของร่างกาย ศัพท์ลัทธิเต๋าหลายคำถูกใช้ในทักษะกำลังภายใน มันอธิบายทิศทางและกฎการทำงานของกำลังภายในในเส้นลมปราณและจุดฝังเข็มโดยใช้แนวคิดของลัทธิเต๋าเช่นกัน
ดังนั้นหากคุณไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดเหล่านี้ และทำเพียงฝึกฝนต่อไปโดยไม่คิดอะไร มันจึงไม่แปลกที่การพัฒนาของคุณจะคืบหน้าไปไม่ถึงไหน
“หากฉันไม่เข้าใจลัทธิเต๋า ด้วยความรู้ในปัจจุบันของฉัน ฉันก็คงจะสามารถพัฒนาไปจนกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามได้เท่านั้น”
ลู่หยวนพูดไม่ออกในใจ เขาวิพากษ์วิจารณ์วิธีการฝึกที่ยากลำบากเช่นนี้
แต่หลังจากการวิพากษ์วิจารณ์จบลง เขาก็หยิบตำราวรรณกรรมขึ้นมาอ่านอย่างถี่ถ้วน
แม้ว่าจะยังต้องใช้เวลาอีกนานก่อนที่เขาจะฝึกฝนทักษะกำลังภายในในขั้นนี้ได้สำเร็จ แต่กระนั้นมันก็ไม่ผิดที่เขาจะสะสมความรู้และเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้า
นอกจากนี้ การศึกษาบทกวี ฟังเพลง ฟังเรื่องราวแปลกๆ และอ่านตำราพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าอย่างหลากหลายนี้นอกจากจะทำให้เขาได้รับข้อมูลเชิงลึกค่อนข้างมากแล้ว มันยังทำให้สภาพจิตใจของเขาดีขึ้นมากอีกด้วย
คำถาม: เราจะปรับปรุงวรยุทธ์ของตนเองได้อย่างไร?
คำตอบ: อ่านหนังสือเพิ่มเติม
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกเดือนหนึ่ง
วันนี้ ลู่หยวนวางตำราหนังสือของเขาลง เนื่องจากสมุนไพรที่บ้านของเขาได้หมดลงแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องไปที่เมืองเพื่อหาซื้อพวกมันเพิ่ม
เพราะเดือนนี้เขาไม่ได้ออกไปล่าสัตว์ เขาจึงไม่มีของไปขาย ดังนั้นลู่หยวนจึงเลือกที่จะไม่แบกตะกร้าและเดินทางเข้าเมืองไปตัวเปล่า
หลังจากเดินทางหนึ่งชั่วโมงและจ่ายเงินสิบเหรียญเพื่อเข้าเมืองแล้ว เขาก็ตรงไปที่ร้านขายยาของโจวเจ๋อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงตลาด กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้มายืนขวางหน้าเขาไว้
“ลู่หยวน”
หน้าบากจากแก๊งหมาป่าทมิฬพร้อมด้วยลูกน้องหลายคนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“หน้าบาก” ลู่หยวนมีสีหน้าสงบ เขาไม่ได้แสดงรอยยิ้มใสซื่อออกมาเหมือนเมื่อก่อน และทำการทักทายอย่างไม่เป็นทางการ
“เจ้ากล้าดียังไงมาเรียกลูกพี่ของเราห้วนๆ แบบนั้น”
เมื่อเห็นทัศนคติของเขา พวกอันธพาลหลายคนก็โกรธขึ้นทันทีและต้องการจะสอนบทเรียนให้เขา
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ลู่หยวนก็ได้มองเขาอย่างเย็นชา
หลังจากฆ่าสัตว์ไปหลายพันตัวและฆ่าสมาชิกแก๊งทะเลใต้ไปหลายร้อยคนแล้ว ลู่หยวนก็ย่อมไม่ใช่นายพรานธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้เขาถือได้ว่าเป็นนักฆ่าแล้ว!
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อพวกอันธพาลยืนอยู่ต่อหน้าเขา พวกเขาจึงรู้สึกเหมือนกับกำลังยืนอยู่ต่อหน้าเสือ
ในขณะนี้ เมื่อเขาปล่อยจิตสังหารออกมาเล็กน้อย พวกอันธพาลจึงถูกข่มขู่โดยทันที และการเคลื่อนไหวของพวกมันก็ชะงักลง
หน้าบากเป็นคนที่มีความรู้และประสบการณ์ ดังนั้นหลังจากสัมผัสได้ถึงแรงกดดันนี้ เขาจึงโบกมือเพื่อยับยั้งลูกน้องของเขา
จากนั้นเมื่อมองไปที่ลู่หยวน เขาก็มองลู่หยวนขึ้นและลงแล้วพูดอย่างเย็นชา
“คราวนี้เจ้าไม่ได้มาขายสินค้าหรอ?”
“อืม” ลู่หยวนตอบกลับสั้นๆ “ข้าเปลี่ยนงานแล้ว และไม่ต้องการจะเป็นนายพรานแล้ว”
ตอนนี้เขาทำเงินได้เพียงพอแล้ว เขาจะไม่กลับไปเป็นนายพรานผู้ต่ำต้อยอีกต่อไปแล้ว ขณะเดียวกัน เขาจะไม่ยิ้มอย่างประจบประแจงและยอมให้คนเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้นแล้ว หลังจากกลับจากทะเลใต้ ลู่หยวนจึงตัดสินใจที่จะเลิกเป็นนายพราน
จากนี้ไป การล่าสัตว์จะไม่ใช่วิธีการหาเลี้ยงชีพ แต่จะเป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้น
ใบหน้าของหน้าบากจริงจังขึ้น “เจ้าฝึกวรยุทธ์มาหรอ?”
เขาสัมผัสได้ว่าลู่หยวนมีออร่าที่ดูคล้ายคลึงกันกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงที่มีกำลังภายใน
“ใช่ ข้าฝึกฝนมาหนึ่งปีแล้ว และข้าก็ก้าวหน้าไปบ้างแล้ว” ลู่หยวนยิ้มและยอมรับอย่างไม่ถ่อมตัว
ก่อนหน้านี้เขาต้องเก็บตัวต่ำๆ ดังนั้นเขาจึงต้องถอยกลับและปฎิเสธ แต่ตอนนี้ เนื่องจากเขาได้ฝึกฝนวรยุทธ์และได้รับความแข็งแกร่งมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงจะไม่ยอมจำนนอีกต่อไปโดยธรรมชาติ
และแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเปิดเผยฝ่ามือเมฆาได้ แต่ความแข็งแกร่งโดยพื้นฐานและการสนับสนุนจากกำลังภายในเพียงอย่างเดียวก็เกินพอแล้วที่จะใช้จัดการกับคนธรรมดา
และด้วยความแข็งแกร่งนี้ มันก็เพียงพอแล้วเช่นกันที่จะยับยั้งพวกอันธพาลที่ชอบมาทำตัวน่ารำคาญรอบตัวเขาให้ถอยห่างออกไป
ไม่อย่างนั้น ถ้าพวกมันยังคงเข้ามายั่วยุเขามากๆ เข้า เขาก็เกรงว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะทนไม่ไหวและเผลอฆ่าพวกมันลงก็ได้
แม้ว่าการฆ่าคนเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ลู่หยวนต้องการและอยากทำใจจะขาด
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
เขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับแก๊งหมาป่าทมิฬทั้งหมด และเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยง
การบดขยี้มดเหล่านี้ยังต้องรอเวลาอีกสิบปีหรือประมาณนั้น
'ฉันหวังว่าพวกมันจะยังมีชีวิตอยู่จนกว่าจะถึงตอนนั้นนะ' ลู่หยวนมองพวกอันธพาลตรงหน้าด้วยรอยยิ้มและสายตาที่ลึกล้ำ..