บทที่ 24: ผีหลอก
เวลานี้ใบหน้าของเฟิ่งหวานหว่านเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ทว่าในใจของนางกลับมีแต่ความโกรธเกรี้ยว อีกทั้งร่างกายอันบอบบางก็สั่นเทิ้ม ส่วนดวงตาของนางนั้นแดงก่ำราวกับว่าตนคือผู้ที่ถูกรังแก
แน่นอนว่าเฟิ่งมู่ชิงสังเกตเห็นแววตาขุ่นเคืองของอีกฝ่ายก่อนที่มันจะหายไป นางจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหาคนที่อยู่ใจกลางศาลาช้า ๆ แล้วเอ่ยถามสตรีที่อยู่ตรงหน้าว่า
“ไม่พอใจงั้นหรือ?”
เมื่อเฟิ่งหวานหว่านได้ยินในสิ่งที่อีกคนถามก็อยากจะพยักหน้า แต่นางกลับต้องส่ายหัวเพื่อเป็นการปฏิเสธ
ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย แม้ว่านางจะแพ้ให้กับเฟิ่งมู่ชิงจนรู้สึกอับอาย แต่นางก็ไม่สามารถวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ได้
“เจ้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองรึ?”
สตรีผู้พ่ายแพ้ส่ายหัวอีกครั้งพลางกลั้นน้ำตา
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงร้องไห้?”
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นว่าน้องสาวนอกไส้ผู้แสนบอบบางก้มหน้าลงพร้อมกับทำท่าทางเหมือนว่ากำลังถูกกลั่นแกล้ง นางจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“ไม่… เป็นข้าเองที่ไม่รู้เรื่องราว… แถมข้ายังบังอาจท้าทายพระชายา”
คุณหนูรองเฟิ่งพูดเสียงกลั้นสะอื้น น้ำตาของนางร่วงหล่นประหนึ่งลูกแพรที่อยู่กลางสายฝนจนทำให้ชายหนุ่มหลายคนในงานรู้สึกสงสาร
“หากใครที่ไม่รู้เรื่องราวมาเห็นเจ้าในตอนนี้ พวกเขาคงจะคิดว่าข้ารังแกเจ้าเป็นแน่ ทั้งที่จริงแล้ว เจ้าเองต่างหากที่เป็นคนริเริ่มเรื่องนี้ก่อน เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
ครั้นเฟิ่งหวานหว่านได้ยินคำพูดของคนตรงหน้าเอ่ยตอกย้ำก็รู้สึกหดหู่ใจมากจนนางก้มศีรษะลงโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่นางจะวิ่งกลับไปยังทิศทางที่คนในจวนมหาเสนาบดีเฟิ่งนั่งอยู่
เฟิ่งมู่ชิงที่เห็นสิ่งนี้ก็เผยรอยยิ้มหวานด้วยความพึงพอใจ ภาพของศัตรูที่อยู่ในอารมณ์หดหู่ย่อมสร้างความสุขให้แก่นางได้เป็นอย่างดี
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้คนในงานก็กลับเข้าสู่บรรยากาศของการเฉลิมฉลอง พวกเขาต่างดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงและการแสดงอันงดงามจนหลงลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ชั่วคราว
เมื่อเวลาผ่านไปถึงครึ่งค่อนคืนในที่สุดงานเลี้ยงก็จบลง หลังจากที่เฟิ่งมู่ชิงกลับมาถึงจวนผู้สำเร็จราชการฯ นางก็รีบกลับไปที่ห้องแล้วปิดประตูทันที ทั้งยังสั่งให้โม่เยว่เฝ้าอยู่หน้าประตูโดยกำชับว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาเด็ดขาด
เรื่องในวันนี้มันยังไม่จบ ข้าปล่อยผ่านมันไปไม่ได้หรอก
…
ในเวลากลางดึกของคืนที่ไร้เมฆหมอก แสงนวลของพระจันทร์ส่องประกายแสงเยือกเย็น ทำให้บรรยากาศในจวนมหาเสนาบดีเฟิ่งดูเงียบสงบกว่าที่เคย
ขณะนั้นเฟิ่งหวานหว่านนอนพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ ตอนนี้ในหัวของนางเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์น่าอับอายที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยง นางจึงลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะเพื่อรินชาดื่มโดยหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความหงุดหงิดในใจของนางลงได้บ้าง
แต่ทันใดนั้นลมหนาวก็พัดมาหอบใหญ่ แล้วหน้าต่างห้องของนางก็เปิดออกตามด้วยความหนาวเย็นที่เข้ามาพร้อมกัน ส่งผลให้เจ้าของห้องซึ่งสวมชุดนอนบาง ๆ สั่นสะท้านเนื่องจากความเหน็บหนาว นางเลยกัดฟันก้าวไปข้างหน้าเพื่อปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ไม่นานลมหนาวที่เคยมีก็หายไป
เมื่อภายในห้องอบอุ่นขึ้น เฟิ่งหวานหว่านจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และในขณะที่นางกำลังจะหันหลังกลับไปพักผ่อน จู่ ๆ ก็มีลมพัดเข้ามาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ไม่เพียงแค่พัดหน้าต่างให้เปิดออกเท่านั้น แต่ยังพัดแสงเทียนอ่อน ๆ ภายในห้องให้ดับลงอีกด้วย
ทันทีที่ห้องมืดลงไร้ซึ่งแสงเทียนโดยมีเพียงแสงจันทร์ที่เยือกเย็นส่องลอดผ่านหน้าต่าง ห้องของนางก็ดูน่าขนลุกและน่าสะพรึงกลัวขึ้นมาแบบฉับพลัน
“อาชิว! อาชิว!”
ชั่วอึดใจนั้นความกลัวได้เข้าครอบงำจิตใจของเฟิ่งหวานหว่าน นางจึงเรียกหาสาวใช้ส่วนตัวอย่างกระวนกระวายใจ แต่ไม่ว่านางจะเรียกหามากเพียงไรก็ไม่มีใครมาหาตนเลย
เพล้ง!
เสียงที่คมชัดดังขึ้นจนทำให้คุณหนูรองตระกูลเฟิ่งก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก และเมื่อนางหันมองไปยังต้นเสียงก็พบว่าถ้วยชาที่ตนเคยดื่มก่อนหน้านี้หล่นแตกกองอยู่บนพื้น
พอเห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกไม่สบายใจมาก พร้อมกับที่หัวใจดวงน้อย ๆ เต้นแรงราวกับจะพุ่งออกจากอก
ทันใดนั้นเองก็มีเงาสีขาวลอยผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง โดยมีผมยาวสีดำสนิทปกคลุมจนไม่เห็นใบหน้าของผู้ที่มาเยือน
“กรี๊ดดดด!!!”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังก้องกังวานได้ปลุกผู้คนที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นทันที
เมื่อ ‘ฮูหยินหวัง’ ผู้เป็นอนุภรรยาของเฟิ่งเทียนหลิงได้ยินเสียงบุตรสาวสุดที่รักกรีดร้องลั่น มันก็ทำให้นางรีบสวมเสื้อคลุมแล้วเร่งฝีเท้าไปที่ห้องของเฟิ่งหวานหว่านทันที
ซึ่งโดยปกติแล้วนางหวังมักจะเป็นห่วงเฟิ่งหวานหว่านอยู่เสมอ และด้วยความที่นางต้องการดูแลลูกของตนให้ดียิ่งขึ้น นางจึงย้ายตัวเองไปอาศัยอยู่ลานบ้านใกล้กับอีกฝ่าย
พอฮูหยินหวังมาถึงลานบ้านข้าง ๆ นางก็รีบเปิดประตูห้องเข้าไป ก่อนจะพบกับบุตรสาวที่มีใบหน้าซีดเซียวนอนหมดสติอยู่บนพื้น
ผู้เป็นมารดาได้เห็นดังนั้นก็ตกใจมากจึงรีบปรี่เข้าไปช่วยพยุงเฟิ่งหวานหว่านให้ลุกขึ้น ครั้นคุณหนูรองเฟิ่งได้สติ ร่างของนางก็สั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้
“หวานหว่าน หวานหว่าน!” นางหวังเรียกอีกคนเบา ๆ ในขณะที่ใบหน้ามีอายุของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ และเมื่อนางเห็นบุตรสาวพึมพำเสียงแผ่วเบา นางจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อฟังคำพูดนั้นให้ชัดเจน
“ผี! ผีหลอก!”
ฮูหยินหวังที่ได้ยินบุตรสาวพูดเช่นนี้ก็รู้สึกสับสนมาก ก่อนที่นางจะเรียกสาวใช้ส่วนตัวของเฟิ่งหวานหว่านให้มานอนเฝ้าเจ้านายของตน
คืนนั้น ทั่วทั้งจวนมหาเสนาบดีสว่างไสวด้วยแสงไฟ รวมถึงหมอประจำตระกูลถูกเรียกให้มาตรวจดูอาการของคุณหนูสกุลเฟิ่ง แต่ดูเหมือนว่านางจะตกอยู่ในฝันร้ายจนไม่ยอมตื่น ท่านหมอเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ารอให้นางฟื้นขึ้นมาเองเท่านั้น
นางหวังผู้เป็นมารดารู้สึกเสียใจกับลูกสาวเป็นอย่างมาก นางจึงอยู่เฝ้าเฟิ่งหวานหว่านด้วยตัวเองจนถึงรุ่งสาง
ในทางกลับกัน เฟิ่งมู่ชิงที่จัดการในสิ่งที่นางต้องการเรียบร้อยแล้วก็แสยะยิ้มด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะนอนหลับอย่างสบายอารมณ์
…
ท้องฟ้าสีขาวทางทิศตะวันออกถูกปกคลุมด้วยประกายแสงสีแดงระเรื่อ จากนั้นไม่นานพระอาทิตย์ทรงกลมสีแดงเพลิงก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นสู่นภาอย่างช้า ๆ ทำให้แสงสีทองอันอบอุ่นของยามเช้าแผ่กระจายไปทั่วดินแดน
ในขณะที่เฟิ่งมู่ชิงเปิดประตูออกมาพร้อมจิตใจที่เบิกบาน นางก็สังเกตเห็นจวินหรูเย่กับพี่น้องสกุลโม่ยืนอยู่ข้างนอกประหนึ่งเป็นทหารยามเฝ้าประตูทำให้นางตกอยู่ในความสับสน ก่อนที่นางจะมองไปยังโม่เยว่ด้วยสีหน้าสงสัย “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดพวกท่านถึงพากันมายืนขวางหน้าประตูห้องของข้าตั้งแต่เช้าตรู่?”
องครักษ์สาวที่ได้ยินผู้เป็นนายถามก็มีท่าทีกระอักกระอ่วนใจ แววตาของนางเหม่อลอยเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เมื่อคืนนี้ท่านผู้สำเร็จราชการฯ มาที่นี่ และเนื่องจากพระยาชาบอกว่าไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไป ดังนั้น…”
พอเฟิ่งมู่ชิงได้รับคำตอบก็ถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ จากนั้นจึงหันไปมองจวินหรูเย่แล้วถามเขาอย่างจริงจังว่า
“ท่านมาที่นี่แต่เช้า มีสิ่งใดอยากสอบถามข้างั้นหรือ?”
เมื่อคืนนี้เขายังร่วมสนุกกับนางที่งานเฉลิมฉลองในวังหลวงอยู่เลย แล้วเหตุใดอารมณ์ของเขาถึงพลิกกลับได้ไวถึงเพียงนี้?
“พวกเจ้าสองคนออกไปก่อน” ชายหนุ่มสั่งเสียงเข้ม ในตอนนี้ใบหน้าคมคายของเขานั้นเย็นชาดุจน้ำแข็ง
ทางด้านโม่เยว่มองไปที่นายท่านด้วยความเป็นห่วง นางยังคงอิดออดไม่ยอมออกไปโดยง่าย แต่ไม่นานก็ถูกโม่อิ๋งคว้าแขนไว้แล้วดึงนางออกไปทันควัน
ครั้นจวินหรูเย่เห็นร่างทั้งสองของผู้ใต้บังคับบัญชาหายไปจากสายตา เขาก็ก้มหน้าลงทันทีก่อนจะเงยหน้ามองตัดพ้อพระชายาของตน
หญิงสาวที่เห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะลูบขนแขนตัวเองที่กำลังลุกชัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางดูเหมือนจะมองเห็นถึงความคับข้องใจในดวงตาของผู้เป็นสามี แต่เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็ต้องสลัดความคิดที่ไร้สาระนี้ออกไปโดยเร็ว
เดิมทีจวินหรูเย่เป็นเทพสงครามผู้ไร้เทียมทานในสนามรบ แล้วเหตุใดเขาถึงมีสายตาที่ดูเศร้าสร้อยแบบนั้นได้? หรือแท้จริงแล้วนางอาจมองผิดไป?
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสตรีตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาทำเพียงหรี่ดวงตาที่เจือความหม่นหมองลงชั่วครู่ ก่อนจะปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติทันที
และเมื่อเฟิ่งมู่งชิงสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของเขากลับมาเป็นดังเดิมแล้ว นางก็รู้สึกโล่งใจ
“รากวิญญาณของเจ้ามี 2 ธาตุคือธาตุลมกับธาตุโลหะใช่หรือไม่?” จวินหรูเย่ถามภรรยาสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
อีกฝ่ายที่ได้ยินดังนั้นก็ทำได้เพียงกะพริบตาพลางมองเขาพร้อมกับมีสีหน้าสับสน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นท่าทีของนางต้องกล่าวเสริมต่อไปว่า
“เมื่อคืนนี้ ข้าเห็นเจ้าไปที่จวนมหาเสนาบดี”
ทันใดนั้นเองเฟิ่งมู่ชิงก็ตระหนักได้ว่าเมื่อคืนนางใช้ประโยชน์จากพระจันทร์อันมืดมิดและพลังธาตุลมเพื่อทะยานไปยังจวนมหาเสนาบดีอย่างเงียบ ๆ โดยใช้วิชาคลื่นลมพัดพา ซึ่งเป็นวิชายุทธระดับธุลีขั้นกลางควบคู่ไปด้วย
แม้ว่านางจะสามารถใช้วิชาตัวเบาในการเคลื่อนไหวได้ แต่เพราะดินแดนซิงหยุนเป็นโลกของผู้มีพลังวิญญาณ ดังนั้นนางต้องใช้พลังวิญญาณให้เชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้นางได้ค้นพบว่าพลังวิญญาณของที่นี่มีความแตกต่างจากพลังเทพของนางในชีวิตก่อน อย่างไรก็ตาม วิชาที่นางเคยใช้และการฝึกฝนจิตใจที่นางเคยเรียนรู้สามารถนำมาผสานเข้ากับการใช้พลังวิญญาณได้ ซึ่งมันจะช่วยปรับปรุงพลังวิญญาณของนางให้ดีขึ้น
นี่ก็นับว่านางไม่ได้โชคร้ายเสียทีเดียว
ท้ายที่สุดแล้ว นางเคยเป็นเทพเซียนที่มีพลังเทพอันแข็งแกร่ง หากนางสามารถนำมันกลับมาใช้ได้ ดินแดนซิงหยุนก็คงไม่คณามือ
“ท่านเห็นทั้งหมดเลยหรือ?” เฟิ่งมู่ชิงถามด้วยความระมัดระวัง
จวินหรูเย่พยักหน้าเป็นคำตอบ แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่สตรีตรงหน้าแกล้งแปลงกายเป็นผีเพื่อหลอกให้เฟิ่งหวานหว่านตกใจจนเป็นลม เขาก็รู้สึกขบขันอยู่พักหนึ่ง
จะมีผู้ใดที่นำเอาพลังวิญญาณไปใช้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ หากผู้อื่นรู้เข้า พวกเขาคงคิดว่านางกำลังผลาญทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองเป็นแน่
แล้วนางก็เจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง เมื่อคืนทั้งจวนมหาเสนาบดีต่างตกอยู่ในสถานการณ์ตื่นตระหนก ว่ากันว่าในวันนี้เมื่อเฟิ่งเทียนหลิงไปทำงานก็มีคนสังเกตเห็นได้ถึงขอบตาดำคล้ำของเขา
มีเพียงสตรีและคนชั่วเท่านั้นที่จัดการได้ยาก คำคนโบราณที่กล่าวไว้ไม่ได้หลอกลวงข้าเลยจริง ๆ
“น่าเสียดายที่ท่านเดาผิด ข้ามีรากวิญญาณทุกธาตุเลยต่างหาก” เฟิ่งมู่ชิงกอดอกพิงประตูพลางจ้องมองไปที่ชายบนรถเข็นด้วยรอยยิ้ม
มันเป็นไปตามที่หญิงสาวคาดไว้ ดวงตาของจวินหรูเย่ถึงกับเบิกกว้างด้วยความตกใจ
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้น นางจึงถามเขากลับว่า “แล้วท่านล่ะ?”
ทุกวันนี้นางรู้เพียงแค่ว่าสามีของนางมีรากวิญญาณธาตุไฟกับธาตุลม แต่สัญชาตญาณที่แม่นยำของตนร้องบอกว่าชายตรงหน้านั้นเป็นหมาป่าที่สวมหนังแกะ*
*หมาป่าที่สวมหนังแกะ หมายถึง แสร้งทำเป็นคนอ่อนแอไร้น้ำยาเพื่อหลอกลวงให้ศัตรูตายใจ
ต่อมา ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากของเขาเล็กน้อย ก่อนจะมองดูหญิงสาวอย่างขบขัน “เป็นเพราะพระชายาของข้านั้นทรงพลังมาก ฉะนั้นหากข้าย่ำแย่ไปกว่านี้ก็คงไม่คู่ควรกับเจ้า ข้ามีรากวิญญาณทั้งหมด 6 ธาตุ มีเพียงแค่รากวิญญาณธาตุโลหะเท่านั้นที่ข้าไม่มี”
ด้วยเหตุที่เขาไม่มีรากวิญญาณธาตุโลหะนี้เอง เขาจึงต้องไปหา ‘หลิ่วเยว่ไป๋’ เพื่อสั่งทำหน้ากากให้กับภรรยาสาว และพอคิดถึงเหตุผลดังกล่าว จวินหรูเย่ก็รู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูก
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงคาดเอาไว้แล้วว่าพลังของชายผู้นี้ไม่อาจหยั่งถึงได้ เขาเป็นอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณทั้ง 6 ธาตุ แต่อย่างไรก็ตามพลังที่นางมีก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าเขา
ข้าช่างเป็นลูกรักของสวรรค์เสียจริง
หญิงสาวไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะนางรู้มาว่ายิ่งมีรากวิญญาณหลายธาตุ ก็ยิ่งต้องใช้ความพยายามและเวลาในการฝึกฝนมากขึ้นเท่านั้น
“ที่ท่านมาขวางประตูห้องข้าตั้งแต่เช้าเพียงเพื่ออยากจะถามเกี่ยวกับเรื่องนี้แค่นั้นหรือ?”
จวินหรูเย่ที่ได้ยินคำถามของอีกฝ่ายก็ยิ้มแก้เก้อ
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ชิงชิงของเรานี่แสบจริง ๆ 55555