1383 - ชายคนเดียวปราบปรามทั้งตะวันตก
1383 - ชายคนเดียวปราบปรามทั้งตะวันตก
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าสิบลูกและวิหารทั้งสิบสองแห่งสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลครั้งพินาศจากการโจมตีของเย่ฟ่าน
เมื่อได้รับชัยชนะแล้วเย่ฟ่านไม่ได้จู่โจมซ้ำเติม เขาเพียงไพล่มือกลับไปทางด้านหลังและรอคอยให้อัศวินศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นมาอีกครั้ง
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ตะเกียกตะกายออกจากหลุมลึกในสภาพหน้าสังเวช สุดท้ายเขายืนอยู่ต่อหน้าเย่ฟ่านและกล่าวว่า
“ข้าพ่ายแพ้แล้ว”
ทวนมังกรสีทองถูกโยนลงไปบนพื้น ในเวลาต่อมาทวนศักดิ์สิทธิ์เริ่มพังทลายและกลายเป็นฝุ่นละอองไปอย่างรวดเร็ว
หากเขายืนหยัด อัศวินเทพยังคงมีกำลังเหลือในการต่อสู้ แต่เขารู้ดีว่าตัวเองพ่ายแพ้แล้ว ต่อให้ดิ้นรนไปมากกว่านี้ก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้เย่ฟ่านได้
“ชายผู้ทรงพลังที่สุดภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพ่ายแพ้ต่อปีศาจแห่งภาคกลาง!”
“อัศวินเทพเพียงคนเดียวในโลกตะวันตกที่เคยสังหารพระเจ้าสองคน ตอนนี้เขาพ่ายแพ้แล้ว”
ใบหน้าของทุกคนซีดเผือด เย่ฟ่านสามารถเอาชนะชายที่แข็งแกร่งที่สุดได้ หากเป็นเช่นนี้คงไม่มีใครสามารถขับไล่เย่ฟ่านกลับไปได้อีก!
อัศวินศักดิ์สิทธิ์พ่ายแพ้ ทวนมังกรพังทลายไปแล้ว เขานั่งขัดสมาธิโดยไม่เคลื่อนไหว และสุดท้ายร่างของเขาก็กลืนไปในความว่างเปล่าและหายสาบสูญไปจากสนามรบ
ชาวตะวันตกรับเรื่องนี้ไม่ได้ ตอนนี้ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ได้ครอบงำทั่วทั้งโลกแล้ว พวกเขาไม่มีทางยอมรับปีศาจตนนี้เป็นเจ้าเหนือหัวอย่างแน่นอน
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เขาเป็นผู้ปกครองของโลกใบนี้มาอย่างยาวนาน พรสวรรค์ของเขาเป็นที่น่าประทับใจทั้งสมัยโบราณและปัจจุบัน แม้แต่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังยกย่องเขาว่ามีพรสวรรค์สูงสุด แต่เขาพ่ายแพ้แบบนี้ได้อย่างไร?”
ผู้คนไม่สามารถยอมรับความจริงได้ เย่ฟ่านยืนอยู่ในสนามรบอย่างเงียบๆ จ้องมองไปยังพระสันตะปาปาบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ บางทีนี่อาจจะเป็นคู่ต่อสู้คนสุดท้ายของเขาในดินแดนตะวันตก
ทันใดนั้นก็มีม้าวิเศษตัวหนึ่งโผล่มาจากท้องฟ้า เหล่าศิษย์กลุ่มหนึ่งรีบวิ่งออกมาจากป่าภูเขาโบราณ ล้อมหญิงสาวที่สวมชุดเกราะสีทองเปล่งประกายพราวกับดวงอาทิตย์ด้วยตรงกลาง
อัศวินจำนวนมากมจากตระกูลต่างๆ พวกเขาเป็นกลุ่มนักรบหนุ่ม คนเหล่านี้เรียกตัวเองว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งวาติกัน
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มท่องคาถาบางอย่างพร้อมกับปลดปล่อยอักขระเต๋าให้ครอบคลุมไปทั่วทั้งท้อง
นี่คือคำอธิษฐานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวตะวันตก คนหนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนมีความศรัทธามาก แต่ละคนมีไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์สีเงินอยู่บนร่างกาย พวกเขากำลังแสดงทักษะต้องห้ามโบราณเพื่อปราบปรามปีศาจผู้ยิ่งใหญ่
หญิงสาวมีรูปร่างเพรียวบาง ผิวของนางเหมือนกับหยก ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ผมยาวสีทองเปล่งประกายราวกับพระอาทิตย์ นี่คือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนตะวันตกนั่นเอง
การปรากฏตัวของคนเหล่านี้ทำให้สีหน้าของผู้บ่มเพาะจากดินแดนตะวันออกเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง จางชิงหยางสีหน้าบิดเบี้ยวหวงเทียนหนีและคนอื่นๆ ก็เช่นกัน
แต่เย่ฟ่านยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แม้กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนตะวันตกเขาก็ยังเอาชนะได้แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่นๆ!
“บูม!”
นักรบแห่งวาติกันโบกมือ ทันใดนั้นก็เกิดพายุเมฆหมอกขนาดใหญ่ครอบคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า มันปลดปล่อยสายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวกระแทกเข้าหาเย่ฟ่านอย่างไร้ความปรานี
นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกดึงดูดมาจากแก่นแท้ของนครวาติกัน พลังของมันเต็มไปด้วยความเป็นมงคลแต่ก็สามารถสังหารปีศาจร้ายที่มีพลังแห่งความตายได้อย่างง่ายดาย
หากคู่ต่อสู้เป็นเผ่าปีศาจรับรองว่าการโจมตีครั้งนี้คงน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามสายฟ้าเช่นนี้เย่ฟ่านมีความคุ้นเคยมานักต่อนักแล้ว นับประสาอะไรกับตัวเขาที่ไม่ใช่ปีศาจจริงๆ
“แม้ว่าพระเจ้าจะไม่ทรงอนุภาพอย่างที่เจ้าจินตนาการไว้ แต่ศาสนาของเราไม่มีผู้ใดสามารถดูหมิ่นได้ สิ่งที่เรามีคือพลังแห่งความศรัทธา”
พระสันตะปาปายืนอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พระองค์มีพลังที่กดขี่ดุจภูเขาขนาดใหญ่ที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
มีผู้ศรัทธาหลายคนร้องเพลงสรรเสริญเหมือนกับเสียงสวรรค์ ร่างกายของพวกถูกปกคลุมไปด้วยแสงอันสงบสุข แต่ละคนต่างปลดปล่อยฐานการบ่มเพาะของตัวเองออกมาโดยไม่ลังเล
นักรบจากตะวันตกทุกคนเร่งเร้าพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองจนถึงขีดจำกัด พวกเขาสวดมนต์กระตุ้นพลังอันบริสุทธิ์ให้เผาผลาญเย่ฟ่านกลายเป็นเถ้าถ่าน
ทุกคนกลั้นหายใจ นี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถสังหารปีศาจแห่งภาคกลางได้
เย่ฟ่านยืดหยัดต่อพลังแหงสวรรค์โดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไหมจะน้อย ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่หล่นลงมาทับเขาพร้อมกับทะเลสายฟ้าที่ไม่สิ้นสุด
“ท่านอาจารย์!”
จางชิงหยางอุทาน เขาเพิ่งมีโอกาสได้สัมผัสกับพลังอันยิ่งใหญ่ของสวรรค์พิภพอย่างแท้จริงไม่คิดว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้
เย่ฟ่านกัดฟันแบกรับท้องฟ้าเบื้องบนที่พังทลายลงมา แน่นอนว่าสายฟ้าไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่ท้องฟ้าขนาดใหญ่ที่แตกสลายนั้นมีน้ำหนักมากกว่าที่เขาจินตนาการหลายๆเท่า
ในสายตาของผู้บ่มเพาะมนุษย์นั้นอ่อนแอมาก แต่หากรวมพลังของพวกเขาหลายแสนคนเข้าด้วยกัน แม้แต่ตัวเย่ฟ่านที่เกือบจะเป็นเซียนแล้วยังยากจะต่อต้านได้
เลือดสีทองของเย่ฟ่านเดือดพล่านไปทั่วร่างกาย เขาอดทนต่อเนื้อหนังที่ถูกกดทับจนแตกสลายพร้อมกับใช้เพลิงเฟิ่งหวงฟื้นฟูร่างกายอย่างต่อเนื่อง
เย่ฟ่านมีความโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของเขาแบกรับภาระอย่างหนัก อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พยายามผลักดันสิ่งนี้เอาไป เขาเพียงต่อต้านมันด้วยความมุ่งมั่นเท่านั้น
สาเหตุหลักก็เพราะเขามีความรู้สึกว่าฐานการบ่มเพาะของเขาคล้ายกับจะทะลวงเข้าสู่อาณาจักรราชาผู้ยิ่งใหญ่หลังจากที่ได้รับความกดดันอย่างต่อเนื่อง
“แม้ว่าแรงกดดันนี้จะกว้างใหญ่เหมือนกับทะเลแห่งดวงดาว แต่ข้าไม่สามารถมุ่งความสนใจไปที่จุดใดจุดหนึ่งได้…”
เย่ฟ่านสงบลงอย่างช้าๆ แม้ว่าพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะสร้างแรงกดดันอันหนักหน่วงแต่เขาก็ฉวยโอกาสใช้สิ่งนี้ขัดเกลาตัวเองไปพร้อมกัน
เขารู้อยู่แล้วว่าพลังของท้องฟ้าที่ถล่มลงมานั้นไม่มีทางฆ่าตัวเขาได้อย่างแน่นอน สาเหตุหลักก็เพราะในตอนนี้เขายังไม่ได้นำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองออกมาใช้ด้วยซ้ำ
“ไม่คิดเลยว่าพลังของผู้คนจำนวนมากจะมีอนุภาคถึงขนาดนี้ หากรวมความศรัทธาเข้าไปด้วยกันมันก็มีโอกาสไม่น้อยที่จะผลักดันตัวข้ากลายเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ได้!”
เย่ฟ่านไม่มีความกลัวอีกต่อไป เขาถือว่านี่คือประสบการณ์อย่างหนึ่ง
เจตจำนงอันไม่มีที่สิ้นสุดของผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนถูกดึงดูดเข้าสู่ร่างกายของเขาเพื่อขัดเกลาให้กลายเป็นพลังของตัวเอง
ในท้ายที่สุดความมุ่งมั่นของคนเหล่านี้มันเป็นการดิ้นรนด้วยความเป็นความตาย ดังนั้นทุกคนจึงทุ่มเทปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะได้รับผลกระทบมากเพียงใด
เย่ฟ่านฉวยโอกาสใช้ความมุ่งมั่นของทุกคนพยายามผลักดันร่างกายของตัวเองให้ทะลุขีดจำกัดราชาผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าทักษะเต๋าของเขาจะยังฝ่าทะลุไม่ได้แต่อย่างน้อยการที่ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมันก็จะทำให้เขามีต้นทุนในการรับมือกับอันตรายในอนาคต
จิตใจของเย่ฟ่านเต็มไปด้วยความสงบ เขาถือว่าสิ่งเหล่านี้คือการฝึกฝนอีกแบบหนึ่ง โอกาสอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงพลังศักดิ์สิทธิ์และอาวุธครึ่งก้าวเต๋าสุดขั้วออกมา
เขาได้เผชิญหน้ากับแรงกดดันที่กดทับจากเบื้องบนด้วยร่างกายเพียงอย่างเดียว หากสามาถผ่านพ้นมันไปได้ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเย่ฟ่านจะพุ่งทะยานจนถึงจุดสูงสุดของราชาผู้ยิ่งใหญ่
เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถให้ร่างกายของตัวเองรับมือกับการโจมตีของเซียนที่แท้จริงโดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
พลังศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์ของผู้คนจำนวนมากไหลไปทั่วทุกตารางนิ้วบนพื้นผิวของเย่ฟ่าน มันไม่เพียงทำให้เขาได้ขัดเกลาเนื้อหนังของตัวเองไปด้วย
เขายังถ่ายทอดพลังอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเข้ามาขัดเกลาหม้อปราณปฐพีต้นกำเนิดไปพร้อมกัน
การต่อต้านครั้งนี้ดำรงไปกว่าสามวัน ผู้คนเริ่มหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ พลังของพวกเขาไม่ได้ไร้ขีดจำกัดเหมือนเช่นเย่ฟ่านดังนั้นการต่อสู้กันในลักษณะนี้จึงแทบจะเผาผลาญร่างกายของพวกเขาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
…………