บทที่ 48: อ่านตำรา ศึกษาวัฒนธรรม
บทที่ 48: อ่านตำรา ศึกษาวัฒนธรรม
เขาไม่เคยคาดคิดว่าบุคคลเช่นนี้จะมาเยี่ยมหลังจากที่ซุนซือเหวินผ่านการสอบและกลายเป็นบัณฑิต
แท้จริงแล้ว การบรรลุสถานะในสังคมปัจจุบันนั้นก็เป็นเหมือนยาวิเศษที่แสดงผลออกมาโดยทันที
“น้องลู่”
ซูเค่อตอบนับคำทักทายอย่างเย็นชา ในขณะที่ในใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า: ' ซุนซือเหวินช่างน่าอับอายจริงๆ เขาเป็นเพียงพวกโง่เท่านั้น และมาตอนนี้ เขาก็ถึงขั้นลดตัวลงไปคบค้าสมาคมกับนายพรานขั้นต่ำ’
‘ พ่อของข้าบอกว่าเขาเป็นบัณฑิตและมาจากบ้านเกิดเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงอยากให้ข้าเป็นเพื่อนกับเขา’
‘ แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป ข้าควรจะอยู่ห่างจากเขาเอาไว้จะดีกว่า’
‘ เขาเป็นเหมือนโคลนที่หากติดเสื้อแล้วจะสกปรกและไม่สามารถทำความสะอาดได้ ถ้าข้าอยู่กับเขานานเกินไป ข้าก็อาจทำชื่อเสียงตัวเองแปดเปื้อนตามไปด้วยเช่นกัน’
ซูเค่อได้ตัดสินใจอย่างลับๆ
สำหรับคำอธิบายของซุนซือเหวินเกี่ยวกับวรยุทธ์ของลู่หยวน เขาก็เพิกเฉยต่อมันโดยตรง
สำหรับบัณฑิตอย่างพวกเขาแล้ว โลกยุทธ์ก็เป็นเหมือนแหล่งรวมพวกคนไร้การศึกษาหัวรุนแรงที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งกัน
พวกเขาแม้กระทั่งฆ่าฟันกันเพราะความโลภ ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงทำให้พวกเขาพากันดูถูกและรังเกียจคนจากโลกยุทธ์
ท้ายที่สุดแล้ว การที่ผู้ฝึกยุทธ์ชอบทำการใดๆ โดยละเมิดกฎหมายบ้านเมืองนั้นก็เป็นฉันทามติในหมู่บัณฑิตทุกคน
นับตั้งแต่ลู่หยวนมาถึง การสนทนาของซูเค่อกับซุนซือเหวินก็ค่อนข้างห่างเหินกันมากขึ้น
ในท้ายที่สุด หลังจากการสนทนาอย่างเร่งรีบและการแลกเปลี่ยนอย่างสุภาพไม่กี่ครั้ง เขาก็จากไปในทันที
ความรังเกียจของซูเค่อที่มีต่อลู่หยวนนั้นทำให้ซุนซือเหวินรู้สึกอึดอัดใจมาก
“น้องลู่ ไม่ใช่ว่าพี่ซูเขาดูถูกเจ้านะ ก็แค่…”
ลู่หยวนขัดจังหวะเขาและส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “พี่ซุนไม่จำเป็นต้องอธิบายแล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่บัณฑิตผู้เย่อหยิ่งเหล่านี้จะดูถูกนายพรานเช่นข้า”
ในขณะนั้นเอง เขาก็หันศีรษะและพูดติดตลกว่า “อย่างไรก็ตาม พี่ซุน หลังจากท่านเป็นบัณฑิตแล้ว ท่านคงจะไม่ดูถูกข้าหรอกใช่ไหม? คนจนนั้นน่าสงสารเสมอ ถูกไหม?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซุนซือเหวินก็ส่ายหัวโดยทันที และประกาศอย่างเร่าร้อนว่า “น้องลู่อย่าพูดเล่นแบบนี้เลย มิตรภาพของเราเริ่มต้นจากความยากจนและจุดเริ่มต้นอันแสนจะต่ำต้อย และเราก็เป็นเพื่อนสนิทกันอย่างแท้จริง ความผูกพันเช่นนี้จะมาพังทลายลงเพียงเพราะสถานะเนี่ยหรอ? ไม่มีทาง!”
“แค่ท่านพูดอย่างนั้นมันก็เพียงพอแล้ว”
ลู่หยวนหัวเราะอย่างเต็มที่ จากนั้นเขาก็เชิญอีกฝ่ายดื่มและพูดคุยตามปกติ
ตอนนี้เมื่อพี่ซุนได้รับสถานะของเขาแล้ว การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของเขาจึงน่าจะเพิ่มมากขึ้น
เป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมในการสำรวจความรู้และความเข้าใจของเขาอย่างถี่ถ้วน
คราวนี้ ลู่หยวนผู้แสวงหาความเป็นอมตะอันยิ่งใหญ่ของเราได้มาพร้อมกับจุดประสงค์ที่แตกต่างออกไปในใจ
ในวันต่อมา ลู่หยวนและซุนซือเหวินก็มาดื่มและคุยกันอีก ลู่หยวนรวบรวมข้อมูลจากเพื่อนของเขาอย่างเงียบๆ ในขณะที่ฟังคำบอกเล่าและข้อมูลเชิงลึกของเขาหลังจากสอบผ่าน
บางครั้งท่ามกลางการพูดคุย ซุนซือเหวินก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้
เมื่อเขาทำเช่นนั้น ลู่หยวนก็จะรินเหล้าในแก้วเพิ่มให้เขาเพื่อปลอบประโลมจิตใจอันบอบบางของซุนซือเหวิน
กิจวัตรเช่นนี้ดำเนินอยู่ได้ไม่นาน
เพราะหลังจากนั้นซุนซีทอเหวินก็ยุ่งมาก
หลังจากผ่านการทดสอบและกลายเป็นบัณฑิตแล้ว เขาจึงต้องผูกมิตรกับบัณฑิตคนอื่นๆ ในมณฑล และเข้าร่วมงานสังสรรค์ต่างๆ ที่จัดขึ้นโดยผู้รู้หนังสือ เขายังจำเป็นต้องรวมตัวเข้ากับแวดวงการอ่านของบัณฑิตด้วย
นอกจากนี้ บางทีการเป็นบัณฑิตก็อาจทำให้ซุนซือเหวินมีความมั่นใจมากขึ้น
เขามุ่งมั่นที่จะสานต่อความพยายามและเข้าสอบในระดับที่สูงขึ้นต่อไป
ใช่แล้ว คุณได้ยินถูกแล้ว ซุนซือเหวินกำลังวางแผนที่จะสอบจวี่เหริน (ชื่อการสอบข้าราชการจีน)
เหตุผลที่เขามีความคิดเช่นนี้ก็เป็นเพราะมีบัณฑิตในกลุ่มของเขากล่าวชมเขาว่าเขามีรากฐานที่ดีและมีความรอบรู้มากมาย ดังนั้นเขาจึงจะต้องสามารถผ่านการสอบจวี่เหรินได้แน่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ลู่หยวนก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา
แม้ว่าในใจของเขา โดยพื้นฐานแล้วเขาก็เชื่อว่านี่เป็นเพียงคำพูดชมตามมารยาทก็เท่านั้น
แต่เนื่องจากเพื่อนของเขาคิดจริงจังและยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากมันอีก ดังนั้นเขาจึงย่อมสนับสนุนและให้กำลังใจเพื่อนของเขาเป็นธรรมดา
“อย่างมากที่สุด หลังจากสอบตก ฉันก็จะแค่ต้องมาดื่มกับเขาอีกสักสองสามรอบเพื่อปลอบใจเขา” ลู่หยวนคิด
ซุนซือเหวินเริ่มผูกมิตรกับนักวรรณกรรม เขาเตรียมตัวสำหรับการสอบจวี่เหรินและมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ในทางกลับกัน ลู่หยวนก็พบว่าตัวเองมีเวลาว่างมากขึ้น
หลังจากทำงานหนักมาสองเดือนตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิ ตอนนี้เขาก็มีทรัพย์สมบัติมากมายแล้ว และมีเงินออมมากกว่า 1,150 ตำลึง
โดยพื้นฐานแล้ว ตราบใดที่ไม่มีค่าใช้จ่ายที่สำคัญใดๆ ในอนาคต เขาก็จะไม่เผชิญกับวิกฤติทางการเงินใดๆ ในอีกตลอดสิบปีข้างหน้า
แต่ถึงแม้จะไม่มีปัญหาเรื่องเงินแล้ว แต่ช่วงนี้เขาก็ยังคงออกไปล่าสัตว์อยู่บ้าง
นอกเหนือจากการขึ้นภูเขาเป็นครั้งคราวเพื่อฝึกฝนทักษะของเขาไม่ให้ขึ้นสนิมแล้ว กิจวัตรประจำวันของเขาก็คือการซื้อและอ่านบทกวี เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ หนังสือวรรณกรรมของชาวพุทธและลัทธิเต๋า
เหตุผลในการอ่านสิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีตของลู่หยวนในการเรียนรู้ทักษะกำลังภายใน
แม้ว่าฝ่ามือเมฆาจะเป็นตำรายุทธ์ธรรมดาๆ แต่เมื่อลู่หยวนเริ่มศึกษามันหลังจากเรียนรู้การอ่าน เขาก็ค่อยๆ พบว่ามันคลุมเครือและยากที่จะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่เพราะเขาค้นพบว่าวรยุทธ์นี้ไม่ได้เขียนขึ้นด้วยภาษาวรรณกรรมเท่านั้น
แต่ครึ่งหนึ่งของมันยังมีการเปรยถึงลัทธิเต๋าด้วย
ใช่แล้ว ลัทธิเต๋า!
แนวคิดหลักและคำศัพท์หลายๆ คำในตำรานั้นได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋า
มีประเด็นสำคัญหลายประการที่หากไม่เข้าใจความรู้ในลัทธิเต๋าที่เกี่ยวข้อง มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจความลึกลับของมัน และไม่ต้องพูดถึงการทำความเข้าใจและฝึกฝนมันเลย
ขณะที่ลู่หยวนยังคงฝึกฝนทักษะกำลังภายในให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาก็เริ่มเข้าใจมันมากขึ้นเรื่อยๆ
ท้ายที่สุดแล้ว หากต้นไม้จะโตต่อไปได้ ลำต้นและรากไม้ของมันก็จะต้องแข็งแรง...