บทที่ 46: พี่ซุนกลายเป็นบัณฑิต?
บทที่ 46: พี่ซุนกลายเป็นบัณฑิต?
ที่ประตูเมือง
เช่นเดียวกับคนเดินถนนคนอื่นๆ ลู่หยวนเข้าคิวและเดินออกจากประตูเมือง
อาจเป็นเพราะพวกโจรในมณฑล การตรวจสอบที่ประตูเมืองจึงเข้มงวดกว่าปกติมาก
ยามเมืองแปดคนยืนอยู่ที่ทางเข้าเพื่อตรวจดูผู้คนเข้าและออก
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบประเภทนี้ก็มุ่งเป้าไปที่ผู้ที่เข้ามาในเมืองเป็นหลัก ผู้ที่เดินทางออกมาจากเมืองจะได้รับการตรวจสอบเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนจะได้รับอนุญาตให้ออกไป
แต่ถึงอย่างนั้นลู่หยวนก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความเข้มงวดนี้เป็นเพียงแค่ฉากหน้าผิวเผินเท่านั้น
มิฉะนั้นแล้ว เหตุใดทหารยามเหล่านี้จึงไม่หยุดและตรวจสอบผู้ฝึกยุทธ์ที่เดินเข้ามาในเมืองพร้อมกับดาบและหอก?
ชาวนาและพ่อค้าที่ใสซื่อและถูกรังแกง่ายต่างก็ถูกสั่งให้หยุด พวกเขาโดนตรวจสอบอย่างเข้มงวดและขู่กรรโชกเพื่อรับสินบน
“การฆ่าคนพวกนี้คงมีแต่จะทำให้แผ่นดินสูงขึ้นเท่านั้น”
ลู่หยวนคิดในขณะที่เขาเตรียมที่จะออกไปจากเมือง แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมาจากด้านข้าง
“หยุดตรงนั้นแหละ”
ยามสองคนจำลู่หยวนได้ พวกเขารู้ว่าเขาร่ำรวยจากการขายหนังสัตว์และเหล้าองคชาตเสือในเมือง พวกเขาสบตากันและเดินเข้ามาหาเขาด้วยความตั้งใจที่จะไถเงินอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทหารยามจอมละโมบทั้งสองจะเข้ามาใกล้เขา ดวงตาของลู่หยวนก็ได้จับจ้องไปที่พวกเขาอย่างดุเดือด
หลังจากใช้เวลามามากกว่าหนึ่งปีในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็ได้พัฒนาแววตาของสัตว์อสูรร้ายขึ้นมา
นอกเหนือจากการฝึกฝนวรยุทธ์มานานกว่าหนึ่งปีและฝึกฝนกำลังภายในแล้ว ตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังแตกต่างไปจากสมัยก่อนด้วย
แม้ว่าตอนนี้เขาจะแต่งตัวเป็นนายพราน แต่ร่างกายอันกำยำของเขาก็เปล่งออร่าอันดุร้ายซึ่งทำให้เขาดูเย็นชาและน่าหวาดกลัวออกมา
โดยเฉพาะดวงตาของเขาซึ่งดูเหมือนจะมีเจตนาฆ่าหลังจากฆ่าคนไปหลายร้อยชีวิต
เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองที่เย็นชานั้น ทหารยามทั้งสองก็ตัวสั่นราวกับถูกสาดน้ำเย็นใส่ ความโลภของพวกเขาจางหายไปในทันที และถูกแทนที่ด้วยความหนาวเย็น
พวกเขาไม่กล้าที่จะก้าวเข้ามาอีกต่อไป
เช่นเดียวกับสัตว์ป่าที่อยู่ด้านล่างสุดของห่วงโซ่อาหารที่ต้องเผชิญหน้ากับนักล่าที่ทรงพลัง ทหารยามทั้งสองเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ผู้ชายคนนี้เป็นนักฆ่ามีฝีมือ” ด้วยประสบการณ์หลายปีในฐานะยามเฝ้าประตู พวกเขาก็ตระหนักเรื่องนี้ได้เกือบจะในทันที
ด้วยสัญชาตญาณการรักษาชีวิตตนเอง ความกล้าหาญของทหารยามทั้งสองจึงพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
“.. พะ พอดีมันมีก้อนหินอยู่ข้างหน้านั่นน่ะ เรากลัวว่าเจ้าจะสะดุดมันเข้า”
ทหารยามคนหนึ่งคิดหาข้อแก้ตัวอย่างรวดเร็ว เขาหยิบก้อนหินเล็กๆ บนพื้นขึ้นมาแล้วโยนมันทิ้งไป เขาเดินถอยกลับไปด้านข้างและเปิดทางให้ลู่หยวนเดินออกไปจากเมืองโดยไม่มีการแทรกแซงใดๆ พร้อมกับรอยยิ้มแบบฝืนๆ บนใบหน้าของเขา เขากล่าวว่า " โปรดดูแลตัวเองด้วยนายท่าน”
“พวกขยะ!”
ลู่หยวนเดินเชิดหน้าขึ้น และเมื่อเขาเดินผ่านทหารยามทั้งสอง เขาก็เยาะเย้ยพวกเขาด้วยความดูถูก
เขาพร้อมที่จะฆ่าพวกเขาจริงๆ หากพวกเขากล้าที่จะรีดไถเงินจากเขา
ปัจจุบันกองกำลังหลักและสมาชิกแก๊งท้องถิ่นกำลังไปล้อมจับกลุ่มโจรวายุทมิฬอยู่ ดังนั้นมันจึงมีกองกำลังเหลืออยู่ในเมืองไม่มากนัก
ประตูนี้ได้รับการปกป้องโดยทหารยามจอมละโมภเพียงไม่กี่คน ดังนั้นด้วยความแข็งแกร่งของเขา ลู่หยวนจึงสามารถทุบหัวพวกเขาให้แหลกลงได้อย่างง่ายดายด้วยมือเปล่า
" น่าเสียดายที่พวกมันถอยกลับไปซะก่อน' ลู่หยวนคิดด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
จริงๆ แล้ว หลังจากที่ถูกรัฐบาลและแก๊งท้องถิ่นกดขี่มาโดยตลอดตั้งแต่เขามายังโลกนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะแสดงความไม่พอใจต่อพวกเขาออกมา
เขาได้สังหารสมาชิกแก๊งไปหลายคนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เคยสังหารข้าราชการเหล่านี้เลยแม้แต่คนเดียว
ช่างน่าเสียดาย..
เมื่อเขาใคร่ครวญถึงการฆ่าทหารยามทั้งสอง อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอันตรายและถอยกลับออกไปอีกสองสามก้าวโดยสัญชาตญาณ พวกเขายืนตัวสั่นขณะพิงกำแพงเมือง
ทหารยามคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงแสร้งทำเป็นไม่ทันสังเกตเห็นและพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ลู่หยวนก็เยาะเย้ยและเดินทาวขึ้นเขาไปโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไป
หลังจากเดินไปประมาณสิบก้าว ก่อนออกจากบริเวณประตูเมือง เขาก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังขึ้นจากระยะไกล ฝุ่นและควันพุ่งเข้ามาใกล้ และมีผู้ส่งสารในเครื่องแบบราชการขี่ม้าเร็วเข้ามา
“ข่าวดี! ข่าวดี!”
“หวังโป้เต๋าผนึกกำลังกับหัวหน้าแก๊งหลิวเม่ยหัวและเอาชนะกลุ่มโจรวายุทมิฬลงได้แล้ว พวกเราได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่!”
ผู้ส่งสารควบม้าไปประกาศข่าวดีแก่คนรอบข้าง
คนเดินถนนใกล้ประตูเมืองรีบไปหาผู้ส่งสารเมื่อเห็นเขาพุ่งเข้ามา
หลังจากเกิดความโกลาหลขึ้นในช่วงสั้นๆ ใบหน้าของพวกเขาก็สว่างขึ้นด้วยความยินดีเมื่อได้ยินข่าว
การร่วมมือกันของรัฐบาลและแก๊งดอกเหมยเพื่อกำจัดกลุ่มโจรชั่วนั้นประสบความสำเร็จ!
ข่าวนี้เป็นการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่สำหรับทุกคนในเทศมณฑลเหมย
เสียงเชียร์และการอภิปรายเริ่มดังขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น พวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการกำจัดพวกโจรแล้วหรอ?”
หลังจากได้ยินข่าวดังกล่าว ลู่หยวนก็นึกถึงสิ่งที่เปิดเผยออกมาโดยชายชุดดำในโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้
แม้ว่าชายคนนั้นจะดูไม่น่าเชื่อถือและแหล่งที่มาของข้อมูลก็ยังเป็นที่น่าสงสัย แต่มันก็ยากที่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องจริงมากแค่ไหน
และในทำนองเดียวกัน
ในฐานะเหยื่อของรัฐบาลและการกดขี่ของแก๊งท้องถิ่น ลู่หยวนก็รู้ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของพวกมันดี
คำพูดของคนพวกนี้เองก็ไม่น่าเชื่อถือเช่นกัน พวกเขาอ้างว่าได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ใครจะรู้สถานการณ์ที่แท้จริงกัน?
บางที พวกเขาอาจแค่ซ่อนความจริงจากผู้คนก็ได้!
“ยังไงก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับฉันอีกต่อไปแล้ว”
ลู่หยวนส่ายหัวแล้วรีบเดินไปยังภูเขา
ตอนนี้พวกเขาอ้างว่าได้รับชัยชนะ และไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม ปัญหาของกลุ่มโจรวายุทมิฬก็น่าจะได้รับการแก้ไขแล้วไม่มากก็น้อย
แก๊งดอกเหมยและเหล่าทหารน่าจะกลับมาที่เมืองในไม่ช้า ดังนั้นมันจึงไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ที่นี่ต่อ
หลังจากออกจากเมืองและใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการเดินทาง ลู่หยวนก็เลี้ยวเข้าไปในภูเขา
หลังจากเข้าไปในภูเขา เขาก็พบที่ซ่อนของและหยิบธนูเหล็กกับถุงเงินใบใหญ่ออกมา
เงินมีน้ำหนักมากประมาณหลายสิบกิโล ระหว่างการเดินทางมายังทะเลใต้ เขาก็ได้ขายสินค้าไปแล้วสี่ครั้ง เขาขายหนังหายากมากกว่าสิบผืนและเหล้าองคชาตเสือสามขวด และสร้างรายได้มากกว่าหนึ่งพันตำลึง!
เงินออมที่หมดไปของเขาได้รับการฟื้นฟูกลับมาโดยทันทีและขยายขึ้นมาอีกหลายเท่า
โชคลาภของเขาน่าประทับใจมาก!
“เงินหนึ่งพันตำลึงนี้เพียงพอที่จะซื้อพื้นที่ทำการเกษตรได้หลายร้อยไร่ในชนบท ฉันสามารถสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ และกลายเป็นเจ้าของไร่เล็กๆ ได้ กล่าวคือ ด้วยโชคลาภในปัจจุบันของฉัน ผู้คนก็สามารถเรียกฉันว่านายน้อยได้แล้ว!” ลู่หยวนกล่าวพลางนับรายได้ของเขา เขาได้เงินมาทั้งหมด 1,123 ตำลึง ใบหน้าของเขายิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความสุข
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะเพียงพอสำหรับเขาที่จะซื้อที่ดินผืนใหญ่และเป็นเจ้าของบ้านไร่ได้อย่างสบายใจ แต่ในฐานะผู้แสวงหาความสุขนิรันดร์อย่างทะเยอทะยานแล้ว เขาก็ไม่มีแผนที่จะทำเช่นนั้น
การเป็นเจ้าของบ้านไร่ก็ฟังดูดี แต่หากไม่มีอำนาจที่เพียงพอ แม้จะรวยไปมันก็เหมือนกับแหนที่ไม่มีราก
ท้ายที่สุดแล้ว เงินที่ฉันหามาอย่างอุตสาหะก็อาจกลายเป็นอาหารของหมาบ้าที่รู้แค่วิธีไล่กัดได้
คุณต้องมีความแข็งแกร่งที่เพียงพอเพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้
หากไม่มีความแข็งแกร่ง คุณก็จะเป็นได้เพียงแกะที่รอวันถูกเชือดเท่านั้น
ลู่หยวนถอนหายใจ เขาเก็บเงินไว้ในตะกร้าสะพายหลังแล้วเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับเงามืด
เขายังมีเวลาอีกสองชั่วโมงก่อนค่ำ
ก่อนหน้านั้น เขาต้องหาที่พักที่ปลอดภัยบนภูเขาให้ได้ก่อน
ภูเขาไม่ได้ปลอดภัยในเวลากลางคืน
แม้ว่าเขาจะฝึกฝนวรยุทธ์มาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงยังต้องระมัดระวัง
กว่าสิบวันต่อมา
หลังจากหายหน้าไปนานกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดลู่หยวนก็กลับมาถึงบ้าน
แต่ไม่นานหลังจากกลับมาที่เมืองหยางเหมย เขาก็ได้ยินข่าวบางอย่าง “พี่ซุนได้รับใบรับรองบัณฑิตแล้ว?”
เมื่อฟังคำพูดของป้าหนี่เพื่อนบ้านของเขา ลู่หยวนก็ดูประหลาดใจมาก
ในที่สุดสหายผู้ไร้ค่าของเขาก็ได้สอบผ่านและกลายเป็นบัณฑิตได้ในที่สุด!
เช่นเดียวกัน เมื่อหลายๆ คนในเมืองได้ยินมันเป็นครั้งแรก พวกเขาต่างก็ค่อนข้างตกใจและประหลาดใจไม่แพ้กัน
ไม่น่าเชื่อเลย!
สาเหตุหลักมาจากความพยายามครั้งก่อนๆ ของซุนซือเหวินนั้นได้สร้างภาพจำให้กับเขาไปแล้ว
ทำข้อสอบ 12 ครั้ง รวมทั้งหมด 12 ปี และในที่สุดก็สอบผ่านในครั้งนี้?
ข่าวนี้แทบจะสร้างความแตกตื่นไปทั่วเมือง..
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ความสงบก็กลับมาในไม่ช้า
“ในที่สุดพี่ซุนก็กลายเป็นบัณฑิตกับเขาได้สักที เขาได้เติมเต็มความปรารถนาของเขาแล้ว ความยากลำบากอันยาวนานกว่าทศวรรษได้รับผลตอบแทนในที่สุด นี่เป็นความสุขที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง ฉันควรจะไปเยี่ยมเขาเพื่อแสดงความยินดีกับเขาสักหน่อยแล้ว” ลู่หยวนคิดและเริ่มพิจารณาว่าจะให้ของขวัญอะไรแก่เพื่อนของเขาดี
สัญชาตญาณของเขาคือการนำเนื้อที่เขาเตรียมไว้เองไปให้ แต่เขาก็คิดว่ามันยังธรรมดาเกินไปและยังไม่ดีพอสำหรับการเฉลิมฉลองในโอกาสอันดีเช่นนี้
ดังนั้นแล้ว เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว
“อืม พี่ซุนเป็นบัณฑิต ดังนั้นฉันควรจะมอบของที่พวกบัณฑิตมักจะใช้กันให้เขา เช่น พู่กัน หมึก กระดาษ หินฝนหมึก ตำราโบราณอันล้ำค่า ฯลฯ …”
เมื่อลู่หยวนคิดเช่นนี้ ความคิดของเขาก็ชัดเจนขึ้น
สำหรับเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา ความรู้สึกของเขาก็เป็นสิ่งสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นบัณฑิตแล้ว ดูเหมือนว่าโชคของเขาจะกำลังพุ่งทะยานสูงขึ้น
สิ่งนี้ทำให้มันยิ่งมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นไปอีก
ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือราชวงศ์ศักดินาในที่สุด
รองจากผู้ปกครองดินแดนและจอมยุทธ์แล้ว มันก็คือเป็นบัณฑิตผู้มีความรู้ซึ่งสามารถทำให้ผู้คนเคารพได้
และซุนซือเหวินก็ได้กลายเป็นบัณฑิตแล้ว ซึ่งในแง่ของยุคสมัยใหม่ มันก็หมายความว่าเขาได้ผ่านการทดสอบรับราชการประจำจังหวัดแล้ว
เขาสามารถหางานราชการย่อยในหน่วยงานของรัฐได้โดยตรง เขาจะสามารถทำหน้าที่เป็นลูกน้องของผู้ว่าการมณฑลหรือนายอำเภอก็ได้ หรือจะสอนในโรงเรียนประจำมณฑลก็ได้
แม้ว่างานเหล่านี้ทั้งหมดจะเป็นงานระดับต่ำ แต่มันก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของงานรัฐ
ไม่ต้องพูดถึงถ้าเขายังคงทำงานหนักและได้ไต่เต้าจนเป็นใหญ่เลย บางทีสักวันเขาอาจกลายมาเป็นผู้ว่าการมณฑลหรือเจ้าเมืองก็ได้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับข้าราชการหน้าใหม่ที่มีศักยภาพและมีอนาคตเช่นนี้ การลงทุนกับเขาซะตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว...