บทที่ 22: ขึ้นอยู่กับว่าข้ายินยอมหรือไม่
เฟิ่งมู่ชิงเหลือบมองทุกคนจากหางตา ในขณะเดียวกันหัวใจของนางก็ปลอดโปร่งเหมือนกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่ในสวนบุปผา หญิงสาวไม่ได้นึกหวั่นเกรงผู้ใดเลยสักนิดเพราะนางทำมันโดยตั้งใจ ในเมื่อฮองเฮาอยากหาเรื่องทำร้ายตน แล้วเหตุใดนางจึงต้องไว้หน้าของคนผู้นั้นด้วย?
เสื้อผ้าสีแดงมีสีสันที่งดงามและข้าก็ชอบใส่ชุดสีแดงมากเสียด้วยสิ
ยามนี้ผู้คนในงานต่างพากันแอบมองไปยังสตรีผู้มาใหม่ ผ้าโปร่งชั้นนอกสีแดงถูกปักด้วยดอกไม้ที่ดูเสมือนจริง และเมื่อผ้าโบกพลิ้วตามย่างก้าวของผู้สวมใส่ก็ช่วยให้ดอกไม้ที่ปักบนผ้าดูราวกับมีชีวิต
หน้ากากทองคำเปล่งประกายเจิดจ้าเป็นพิเศษภายใต้แสงไฟ อีกทั้งครึ่งหน้าที่งดงามดั่งเทพเซียนเสริมให้สตรีตรงหน้าดูเย้ายวนใจดุจดอกฝิ่น ผมยาวดำขลับเคลื่อนไหวไปมาตามสายลมและผ้าผูกผมสีแดงก็เพิ่มเสน่ห์ให้เจ้าตัวน่าดึงดูดใจมากขึ้น ประกอบกับใบหน้าของนางขณะนี้มีรอยยิ้มจาง ๆ แต่งแต้มอยู่ทำให้นางดูลึกลับน่าค้นหา
ด้วยความงดงามที่สุดแสนจะพรรณนาของหญิงสาวเป็นผลให้สตรีหลายคนที่อยู่ในงานต่างพ่นลมอย่างเย็นชา พวกนางไม่สามารถซ่อนความอาฆาตพยาบาทที่มีต่อคนที่ขึ้นชื่อว่าสตรีไร้ประโยชน์แห่งเป่ยอี้ไว้ได้
ส่วนเฟิ่งมู่ชิงนั้นคุ้นเคยกับความอิจฉาริษยาที่เกิดจากใบหน้าของตนมานานแล้ว นางจึงไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
เมื่อทุกคนรู้ว่าสตรีผู้มาใหม่คือพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ พวกเขาก็กลัวว่านางจะถูกผู้หญิงคนอื่นในงานโจมตี เพราะอย่างไรเสีย จวินหรูเย่ก็เป็นถึงวีรบุรุษหนุ่มผู้มีรูปโฉมสง่างามจนทำให้สตรีผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายต่างถวิลหา
ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงคนไร้ค่าของหญิงสาวเองก็ดังกระฉ่อนมากเมื่อเทียบกับเฟิ่งหวานหว่านผู้เป็นน้องสาวที่เป็นอัจฉริยบุคคลในเมืองหลวง
และตามที่เฟิ่งมู่ชิงคาดไว้ ทันทีที่นางนั่งลง สายตาของทุกคนก็หันมาหาตนอย่างพร้อมเพรียงกัน
หากดวงตาคือมีดที่สามารถสังหารใครสักคนได้ ร่างกายของหญิงสาวคงเต็มไปด้วยรอยแผลจากสายตาเหล่านั้น
นั่นคือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นขยะไร้ค่างั้นหรือ?
เหตุใดนางถึงกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้สำเร็จราชการฯ นางช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริง ๆ
บัดนี้ประกายไฟในดวงตาของใครหลายคนต่างลุกโชน ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้เฟิ่งมู่ชิงสนใจสิ่งใดนัก นางหันมองไปทางอื่นโดยไม่ใส่ใจกับความเป็นปฏิปักษ์ของคนในงานเลยสักนิด จากนั้นนางก็ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางใจเย็น
แม้ว่าคนเหล่านี้จะเกลียดหญิงสาว แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่จ้องมอง ซึ่งนั่นไม่ได้ส่งผลให้นางรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด ดังนั้นนางจึงไม่ได้สนใจคนพวกนี้สักเท่าไหร่
ในขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ทันใดนั้นก็มีสตรีร่างบอบบางปรากฏอยู่ที่หน้าทางเข้าอุทยาน แล้วผู้คนในงานต่างก็หันไปมองสตรีนางนั้น
หญิงสาวผู้มาใหม่สวมกระโปรงสีเหลืองอ่อนและถูกคลุมด้วยผ้าโปร่งสีม่วงอ่อนอีกชั้น ผ้าคลุมไหล่สีเดียวกันกับกระโปรง รวมถึงสร้อยคอสีเงินได้ขับให้ผิวของนางดูขาวเปล่งปลั่งขึ้น
มวยผมที่ถูกเกล้าขึ้นประดับประดาด้วยดอกไม้หลากหลายสลับกับเครื่องประดับผมสีม่วงใส และเครื่องประดับหน้าผากที่เข้าคู่กันกับต่างหูสีม่วงนั้นเสริมให้เจ้าตัวเปรียบดั่งเทพธิดาผู้สูงส่ง
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะเยาะในใจไม่ได้ ดูเหมือนว่าเฟิ่งเทียนหลิงจะลงทุนกับเฟิ่งหวานหว่านไปมาก
ตอนนั้นหญิงเลวผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสแถมยังถูกโบยอีก 30 ไม้ แต่ตอนนี้นางกลับยังมีชีวิตอยู่และยังดูสบายดีมากอีกด้วย เป็นอย่างที่หญิงสาวคาดไว้จริง ๆ เป็นเพราะอีกฝ่ายคือบุตรสาวคนสำคัญของจวนมหาเสนาบดี
ขณะนี้เฟิ่งหวานหว่านมีรอยยิ้มบนใบหน้าซึ่งแสดงออกถึงความสูงศักดิ์และสง่างาม พอนางชายตามองดูท่าทางประหลาดใจของเหล่าแขกในงาน มันก็ทำให้นางรู้สึกภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก
แต่ในชั่วขณะหนึ่ง สตรีผู้สวมใส่ชุดสีม่วงอ่อนเหลือบไปเห็นเฟิ่งมู่ชิงที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็แข็งทื่อพร้อมกับความอาฆาตพยาบาทที่ฉายในแววตา
เฟิ่งมู่ชิง!
ถ้าไม่ใช่เพราะหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ นางจะต้องทนทุกข์ทรมานมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร!
แต่เพียงชั่วครู่เฟิ่งหวานหว่านก็สงบลง และในชั่วพริบตานางก็กลายร่างเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์คนเดิมอีกครั้ง
นี่คืองานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์ฮองเฮา ดังนั้นนางจะต้องทำทุกอย่างให้ดี โดยเฉพาะการได้รับความโปรดปรานจากพระนาง ซึ่งนี่จะช่วยให้ตนเองแต่งงานเข้าไปในจวนหนิงอ๋องได้อย่างราบรื่น
แม้ว่านางจะรู้ว่าเฟิ่งมู่ชิงไม่ใช่สายเลือดที่แท้จริงของมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้เป็นบิดาของนาง แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันเปิดเผยเรื่องอื้อฉาวในครอบครัวเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชนเป็นแน่
ตราบใดที่เฟิ่งมู่ชิงยังคงอยู่ในตำแหน่งพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ นางก็เป็นเพียงผู้หญิงที่แต่งงานแล้วคนหนึ่ง และไม่มีทางที่ผู้หญิงอัปลักษณ์คนนี้จะสามารถแต่งงานกับซือคงหรูหลางได้อีกต่อไป
เมื่อเฟิ่งหวานหว่านคิดได้เช่นนี้ นางก็หายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้า ๆ อาจเป็นเพราะว่าคุณหนูรองตระกูลเฟิ่งมีชื่อเสียงในแวดวงชนชั้นสูงของเมืองหลวง ผู้คนมากมายเลยให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของนาง
บัดนี้สตรีที่งดงามทั้งสองเผชิญหน้ากันเงียบ ๆ และด้วยรูปร่าง อีกทั้งความสูงของคนทั้งคู่ก็ทำให้เหล่าคนในงานอดที่จะเปรียบเทียบกันไม่ได้
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าเฟิ่งหวานหว่านนั้นมีรัศมีที่สง่างามราวกับเทพธิดา แต่เมื่อนางยืนคู่กับเฟิ่งมู่ชิง กลับกลายเป็นว่านางดูด้อยลงไปทันตาเห็น
ให้ตายเถอะ สตรีนางนี้ไม่ได้เป็นที่รู้จักกันในฐานะหญิงสาวแสนอัปลักษณ์หรอกหรือ? เหตุใดรัศมีของนางถึงกลบเฟิ่งหวานหว่านไปจนมิด?
ขณะนี้ความคิดของเหล่าแขกในงานต่างสับสนกันอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีคนหนึ่งที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้รับ คนกลุ่มนั้นจึงส่งสายตารังเกียจไปยังเฟิ่งมู่ชิง
“พี่สาว” เฟิ่งหวานหว่านเอ่ยเรียกคนตรงหน้าเสียงเบา
ในเวลาเดียวกัน สายตาของแขกเหรื่อกำลังจ้องสลับไปมาระหว่างสตรีทั้งสอง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีข่าวเรื่องที่คุณหนูรองเฟิ่งสวมรอยแต่งงานแทนผู้เป็นพี่จนเป็นที่เล่าลือไปทั่วเมืองหลวง อีกทั้งในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะมีอะไรสนุก ๆ ให้ผู้คนได้รับชม ดังนั้นทุกคนจึงจ้องมองสถานการณ์ตรงหน้าแบบตาไม่กะพริบ
“ดูเหมือนว่าคุณหนูรองตระกูลเฟิ่งจะมีความจำที่สั้นมาก ข้าเป็นถึงพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ หากเจ้าอยากจะตีเสมอข้า มันก็ขึ้นอยู่กับว่าข้ายินยอมหรือไม่” เฟิ่งมู่ชิงมองสตรีผู้หญิงตรงหน้าพร้อมกับหมุนถ้วยชาในมือพลางพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
เมื่อคนในงานได้ยินในสิ่งที่พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ พูด ทุกคนต่างก็ส่งเสียงอุทาน พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่านางจะเป็นคนที่ตรงไปตรงมา อีกทั้งยังไม่คิดจะไว้หน้าเฟิ่งหวานหว่านกับมหาเสนาบดีเฟิ่งเช่นนี้
แต่หลังจากพวกเขาครุ่นคิดเรื่องราวให้ดีแล้ว ก่อนหน้านี้คุณหนูรองเฟิ่งเกือบจะปล้นสามีของพี่สาวไป ดังนั้นทั้งคู่จึงอยู่ในฐานะที่เป็นศัตรูกัน
แม้แต่ต่อหน้าผู้คน พี่น้องทั้งสองก็ยังคงทะเลาะกันได้ นี่มันบทละครน้ำเน่าตามตลาดชัด ๆ
“พี่สาว ทำไมท่านถึงพูดเช่นนี้ หวานหว่านเพียงแค่เห็นท่านจึงตั้งใจมาทักทายก็เท่านั้น” ขอบตาของเฟิ่งหวานหว่านแดงก่ำ พร้อมกับที่นางมีทีท่าราวกับว่ากำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ปึง!—
เฟิ่งมู่ชิงที่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็กระแทกถ้วยชาในมือของนางลงทันทีทำให้เสียงกระทบของถ้วยชาดังขึ้น
การแสดงออกของหญิงสาวในเวลานี้เย็นชาดุจดั่งน้ำแข็ง นางหรี่ตามองคนตรงหน้าก่อนจะพูดเสียงเย็นว่า “คุณหนูรองเฟิ่ง โปรดเรียกข้าว่าพระชายา”
“พี่สาว… ไม่สิ พระชายา มันเป็นความผิดของหวานหว่านเอง ดังนั้นท่านอย่าได้ขุ่นเคืองกันเลย” เฟิ่งหวานหว่านยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงของนางพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทาเหมือนกับว่านางกำลังสะอื้นไห้เงียบ ๆ
ทางด้านหญิงสาวไม่ได้พูดตอบโต้อีกฝ่าย หากแต่มองดูคนเสแสร้งตรงหน้าด้วยสายตารังเกียจ ซึ่งท่าทางของนางส่งผลให้เกิดความอึดอัดไปทั่วบริเวณ
แม้ว่าทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้จะดูถูกพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ เพียงใด แต่ก็ไม่มีใครในศาลากล้าพูดขึ้นมาเลยสักคน เพราะพวกเขาล้วนไม่ต้องการมีเรื่องกับชายผู้โหดเหี้ยมราวกับปีศาจผู้นั้น
หากสังเกตดี ๆ จากการที่หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้สามารถเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองใหญ่ในวันนี้ได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้สำเร็จราชการฯ โปรดปรานนางมากเพียงใด
แต่ทว่าเมื่อกลุ่มหญิงชายที่มีพรสวรรค์ได้เห็นสาวสวยหลั่งน้ำตาก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ พวกเขาจึงมองเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
เป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ แล้วอย่างไร? พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ สามารถกลั่นแกล้งผู้อื่นได้ตามใจชอบงั้นหรือ?
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงสัมผัสได้ถึงการจ้องมองที่จงเกลียดจงชังอย่างชัดเจน นางก็พ่นลมออกมาพร้อมกับทำหน้าเย็นชา
ส่วนเฟิ่งหวานหว่านก็ยังคงทำตัวเหมือนเดิม นางคุ้นเคยกับการใช้น้ำตาแสดงความอ่อนแอเพื่อให้คนอื่นออกหน้าแทนนาง อีกทั้งยังทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ในคราวเดียวกัน แต่น่าเสียดาย เพราะว่าคนที่นางต้องเผชิญในครั้งนี้คือเฟิ่งมู่ชิง
ครั้นพอหนุ่มสาวผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเฟิ่งหวานหว่าน กลับมีเสียงตะโกนดังขึ้นขัดจังหวะพวกเขาเสียก่อน “ฮ่องเต้เสด็จ! ฮองเฮาเสด็จ! ผู้สำเร็จราชการฯ เสด็จ! หนิงอ๋องเสด็จ!”
เสียงบุรุษที่สูงแหลมดังบาดแก้วหูทำให้เฟิ่งมู่ชิงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความหงุดหงิด
“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา ถวายบังคมผู้สำเร็จราชการฯ ถวายบังคมหนิงอ๋อง” ทุกคนในงานต่างลุกขึ้นก่อนจะโค้งตัวต่ำพร้อมกับเปล่งเสียงถวายความเคารพขึ้นพร้อมกัน
“พวกท่านลุกขึ้นเถิด ทำตัวตามสบาย” เมื่อเสียงอันทรงพลังดังขึ้น ทุกคนก็ยืดตัวตรงก่อนจะกลับไปนั่งประจำที่ของตน
ในขณะเดียวกัน โม่อิ๋งก็ผลักรถเข็นของจวินหรูเย่ไปหยุดอยู่ข้าง ๆ เฟิ่งมู่ชิง จากนั้นชายหนุ่มผู้เป็นสามีจึงมองภรรยาสาวของตนด้วยสายตาเป็นห่วงก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้าสบายดีหรือไม่?”
“ข้าไม่เป็นไร” เฟิ่งมู่ชิงตอบพลางยิ้มน้อย ๆ
เวลาเดียวกันนั้น ฮองเฮาที่มองไปรอบ ๆ ก็หันไปเห็นสตรีในชุดสีแดงเพลิง เป็นผลให้ใบหน้าของพระนางขึ้นสีด้วยความโกรธก่อนจะตวาดออกมาเสียงดัง “บังอาจนัก! พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ กล้าหยามเกียรติเราถึงเพียงนี้! นางจะต้องถูกลงโทษ!”
สิ้นเสียงแผดสูง แขกในงานต่างก็ตื่นตระหนกเพราะพวกเขาไม่คาดคิดว่าผู้เป็นมารดาของแผ่นดินจะมีปฏิกิริยาต่อพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ แบบนี้ นางเดือดดาลก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่มด้วยซ้ำ
ทุกคนจึงมองไปยังเฟิ่งมู่ชิงอย่างระมัดระวัง ก่อนที่พวกเขาจะเห็นว่าคู่สามีภรรยาแห่งจวนผู้สำเร็จราชการฯ ต่างมีสีหน้าที่ไม่แยแสต่อสิ่งใด
“ฮองเฮาทรงกล่าวหนักเกินไปแล้ว หม่อมฉันทำสิ่งใดผิดหรือเพคะ?” หญิงสาวพูดด้วยรอยยิ้มพลางมองฮองเฮาของเป่ยอี้ด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“เจ้ากล้าหยามเกียรติเราด้วยการใส่ชุดสีแดงในวันเกิดของเราเช่นนั้นหรือ!?” ฮองเฮาตวาดอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด และเมื่อพระนางนึกถึงพฤติกรรมที่อาจหาญของเฟิ่งมู่ชิงที่ตำหนักเฟิ่งอี๋ก่อนหน้านี้ มันก็ยิ่งทำให้พระนางโกรธมากยิ่งขึ้น
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นท่าทางโมโหโทโสของอีกคนก็นึกเย้ยหยันในใจก่อนจะตอบสตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเพราะว่าวันนี้เป็นงานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาขององค์ฮองเฮา และสีแดงก็แสดงให้เห็นถึงความรื่นเริง ดังนั้นการที่หม่อมฉันใส่ชุดสีแดงก็เพื่อเฉลิมฉลองให้กับฮองเฮาอย่างไรล่ะเพคะ”
“นี่เจ้า…” คำพูดของหญิงสาวเป็นผลให้มารดาของแผ่นดินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ในตอนนี้พระนางรู้สึกอึดอัดราวกับมีไฟสุมทรวง
เนื่องจากสตรีหยาบช้าผู้นี้บอกว่านางกำลังเฉลิมฉลองให้กับตนเอง ดังนั้นฮองเฮาจึงไม่สามารถทำอะไรกับนางได้ แล้วการปะทะกันด้วยวาจาในคราวนี้เฟิ่งมู่ชิงก็เป็นฝ่ายชนะไปแบบขาดลอย
ทางด้านซือคงหรูหลางซึ่งนั่งถัดจากผู้เป็นมารดาของเป่ยอี้ก็จ้องตรงไปยังสตรีในชุดสีแดงเพลิงอย่างตั้งใจ ในขณะที่ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจ
เป็นเพราะเฟิ่งมู่ชิงในวันนี้มีความเปล่งประกายมาก จึงทำให้รูปโฉมของนางสลักลึกเข้าไปในหัวใจของหนิงอ๋อง เขารู้สึกว่ารูปลักษณ์ของนางในตอนนี้ช่างดูมีเสน่ห์เหลือเกิน
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: งานเลี้ยงยังไม่เริ่มเลยก็โดนหาเรื่องซะแล้ว