บทที่ 21: ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า
1 ชั่วยามต่อมา โม่เยว่ก็พาขอทานน้อยกลับเข้ามา ก่อนจะส่งเขาให้ไปทำความสะอาดร่างกายตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นจึงพาเขาไปหาผู้เป็นนายอีกครั้ง
พอหญิงสาวเห็นขอทานที่เคยมอมแมมดูสะอาดสะอ้านขึ้น นางก็มองสำรวจเขาโดยละเอียด ชายคนนี้มีอายุไล่เลี่ยกับนาง เขามีรูปร่างแข็งแรง ผิวหนังของเขาดูหยาบกร้านซึ่งเกิดจากการต้องลมและแสงแดดมาเป็นเวลาหลายปี
ต่อมา เฟิ่งมู่ชิงใช้พลังวิญญาณตรวจสอบจุดตันเถียนของขอทานน้อย ในเวลาไม่นานนางก็ต้องรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายมีรากวิญญาณของธาตุดินและธาตุไม้
นางไม่คาดคิดเลยว่าเทพเซียนช่างใจดีกับนางเสียเหลือเกิน เพราะคนที่นางบังเอิญช่วยไว้ดันเป็นอัจฉริยะในหมู่ผู้มีพลัง
มันอาจจะดูน่าเสียดายที่นางไม่ได้พบอาจารย์ผู้เก่งกาจ แต่ก็ยังถือว่านางโชคดีที่ได้เจอกับสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ เพราะคนคนนี้เป็นผู้มีพรสวรรค์มาก
ในขณะที่เฟิ่งมู่ชิงกำลังสำรวจคนตรงหน้าอยู่นั้น นางก็สังเกตเห็นท่าทางโศกเศร้าของเขาจึงทำให้หัวใจของนางเต้นรัว เป็นไปได้หรือไม่ว่าพี่สาวของเขาจะอดทนรอน้องชายกลับไปไม่ไหว
“พระชายา ตอนที่พวกเราไปถึงก็สายเกินไปเสียแล้ว พี่สาวของเขาได้จากไปแล้ว” โม่เยว่กระซิบข้างหูของเจ้านาย
หญิงสาวได้ยินสิ่งที่คนสนิทของตนบอกแล้วก็รู้สึกเป็นทุกข์ ครั้นพอเห็นว่าดวงตาของขอทานน้อยบวมเป่งจากการร้องไห้เป็นเวลานาน นางจึงถอนหายใจยาว ๆ พลางคิดในใจว่า
บางทีนี่อาจจะเป็นชะตากรรมของสองพี่น้องคู่นี้
ยามนี้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ มีเพียงสายลมเย็น ๆ เท่านั้นที่พัดมาราวกับว่ามันอยากจะโอบกอดผู้ที่กำลังอยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจ
แต่ไม่นานนักขอทานน้อยก็สูดจมูกแล้วตั้งสติยอมรับความจริงเรื่องการตายของพี่สาว ก่อนจะขจัดความเศร้าในใจออกไป จากนั้นจึงหันไปมองเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาแน่วแน่
พอหญิงสาวเห็นว่าอารมณ์ของชายตรงหน้าดีขึ้นแล้ว นางก็ถามเขาว่า “เจ้ามีชื่อหรือไม่?”
ขอทานน้อยที่ได้ยินคำถามก็ส่ายหัวเบา ๆ ตั้งแต่จำความได้ เขาก็มักจะเดินขอทานไปรอบ ๆ เมืองกับพี่สาวของตน และทุกคนที่พบเจอก็มักจะเรียกขานเขาว่าขอทานน้อย ดังนั้นเขาจึงไม่เคยมีชื่อเรียกเป็นของตัวเอง
เมื่อชายหนุ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ภาพของพี่สาวผู้อ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง ซึ่งมันส่งผลให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ
เนื่องจากพี่น้องทั้งสองคนต่างพึ่งพาอาศัยกันมานานหลายปี แม้ว่าเขาเพิ่งจะรู้ความจริงก่อนที่พี่สาวของเขาจะเสียชีวิตว่าทั้งคู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน แต่ในใจของเขานั้นถือว่านางเป็นพี่สาวที่แท้จริงของตน
“ถ้าเช่นนั้น ต่อจากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าเฟิ่งเทียนเซียว” เฟิ่งมู่ชิงตัดสินใจตั้งชื่อใหม่ให้กับอีกฝ่าย
“ขอบพระคุณสำหรับนามขอรับ นายท่าน” คนที่เพิ่งได้รับนามรีบคุกเข่าลงแล้วก้มศีรษะขอบคุณผู้เป็นเจ้านายคนใหม่
“เทียนเซียว ข้าอยากให้เจ้าค้นหาเด็กกำพร้าที่มีความน่าเชื่อถือเหมือนกับเจ้าได้หรือไม่?” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับทำหน้าเคร่งขรึม
หลังจากที่ ‘เฟิ่งเทียนเซียว’ ได้ยินคำสั่งของนาง เขาก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ข้าทำได้ขอรับ”
เฟิ่งมู่ชิงพอใจกับความมุ่งมั่นในแววตาของเขามาก นางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาโม่เยว่แล้วกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าจงไปหาซื้อจวนที่มีลานกว้างขนาดใหญ่แต่ไม่ดึงดูดสายตาของผู้คน เพราะมันจะมีประโยชน์กับพวกเราในอนาคต ส่วนเทียนเซียวจะอยู่ที่นี่ชั่วคราว เจ้าจงไปจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”
เมื่อองครักษ์สาวได้ยินดังนั้นก็เดาแผนของนายท่านของตนได้แบบคลุมเครือ นางจึงขานรับคำสั่งด้วยท่าทางจริงจัง จากนั้นก็ก้มศีรษะทำความเคารพผู้เป็นนายแล้วหันหลังเดินออกไปจัดการกับภารกิจที่ได้รับทันที
พอเฟิ่งมู่ชิงจัดการส่งเฟิ่งเทียนเซียวไปพักผ่อนให้เต็มที่ในห้องพักแขกแล้ว นางก็เดินไปยังห้องเก็บตำราเพื่อตามหาจวินหรูเย่ เพราะอย่างไรก็ตาม เขาเป็นเจ้าของตำราวิชายุทธมากมายที่นางยืมมา ดังนั้นนางจึงต้องแจ้งให้เขาได้รับทราบล่วงหน้า
ทันทีที่โม่เยว่พาเฟิ่งเทียนเซียวกลับมา ข่าวที่ว่าพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ พาขอทานน้อยเข้ามาในจวนก็ไปถึงหูของจวินหรูเย่ นั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะเขาไม่ได้คาดคิดว่าภรรยาของตนจะเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขนาดนี้ ดังนั้นเขาจึงเฝ้ารอนางอยู่ที่ห้องเก็บตำราพักใหญ่โดยหวังว่านางจะมาบอกกล่าวเรื่องนี้ให้ตนทราบ
ปัจจุบันแผนการที่หญิงสาวได้วางไว้ก็ราบรื่นและเป็นไปตามแบบแผน ซึ่งมันช่วยให้ก้อนหินที่เคยถ่วงอยู่ในใจของนางถูกยกออกไปในทันใด และตอนนี้นางก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเปิดประตูห้องเก็บตำราก็ต้องแปลกใจที่เจอกับจวินหรูเย่ที่มีท่าทีเหมือนกำลังรอนางอยู่ นางจึงยิ้มให้กับชายผู้เป็นสามีก่อนจะเดินไปนั่งลงข้าง ๆ
“ข้าต้องการสร้างพรรคอู๋อิ่ง มันจะเป็นกองกำลังสนับสนุนที่แข็งแกร่งของพวกเราในอนาคต”
ทางด้านจวินหรูเย่นั่งฟังในสิ่งที่ภรรยาสาวพูดด้วยท่าทางสงบนิ่งประหนึ่งว่าเขาได้คาดเดาแผนการของนางไว้ล่วงหน้าแล้ว
อันที่จริงชายหนุ่มรู้ว่านางกำลังจะทำอะไรตั้งแต่ครั้งที่นางขอยืมตำราวิชายุทธแล้ว แต่เขาคาดไม่ถึงว่านางจะลงมือเร็วขนาดนี้
แม้กระทั่งเหตุผลที่นางซื้อหอหงโหลวก็ค่อนข้างจะเดาได้ง่าย ซึ่งการที่เขารับรู้การเคลื่อนไหวของภรรยาทุกครั้งก็เป็นเพราะท้ายที่สุดแล้ว ด้วยเงินจำนวนมากขนาดนั้นย่อมต้องมีคนมารายงานกับตนว่านางใช้เงินทำสิ่งใดบ้าง
อีกอย่างหญิงสาวก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังว่านางเป็นคนทำสิ่งเหล่านี้เลย เขาจึงคิดว่ามันเป็นเพียงการสร้างความสับสนให้กับผู้คนและศัตรูในที่มืดเพียงเท่านั้น
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นท่าทางของชายตรงหน้าก็เข้าใจได้ทันที
จวินหรูเย่เป็นคนฉลาดมาก ดังนั้นเขาจะต้องสามารถเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงจากสิ่งที่นางทำได้อย่างแน่นอน
“การสอบสวนเกี่ยวกับงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฮองเฮาเป็นเช่นไรบ้าง?”
เฟิ่งมู่ชิงตั้งใจมาแจ้งให้สามีหนุ่มทราบเรื่องพรรคอู๋อิ่งเพียงแค่นั้นและไม่ได้คิดที่จะรอคำตอบของอีกฝ่าย นางจึงเปลี่ยนเรื่องถาม เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คืองานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของฮองเฮาที่กำลังจะถึง ซึ่งสุดท้ายแล้วมันเป็นงานเลี้ยงลอบสังหารที่อาจจะเกิดอะไรขึ้นได้ทุกเมื่อ
ครั้นหญิงสาวนึกถึงความมุ่งมั่นของฮองเฮาที่จะฆ่าตัวตายก็ทำให้ดวงตาของนางมืดลง
คนพวกนั้นคิดว่าข้าเป็นเสือกระดาษอย่างนั้นสินะ
“ฮองเฮาต้องการสร้างปัญหาให้กับเจ้าในงานวันนั้นจริง ๆ แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าเอง” จวินหรูเย่ตอบในขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแห่งความโกรธที่คุกรุ่น
ดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นจะลืมวิธีการจัดการศัตรูของเขาไปหมดแล้ว อีกทั้งยังมีความกล้าที่จะวางแผนต่อต้านคนของเขาเสียด้วย
“พวกเรามาปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์กันเถอะ เพราะเราไม่ควรทำให้ความพยายามอย่างหนักของฮองเฮาสูญเปล่าได้” เฟิ่งมู่ชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ ทว่าแววตาของนางกลับมีความกระตือรือร้นที่จะลงมือทำบางอย่าง
“ดี!”
ชายหนุ่มตอบเห็นด้วยกับภรรยาในทันที เนื่องจากชิงชิงของเขาต้องการที่จะเล่นสนุก ดังนั้นเขาก็จะยอมเล่นสนุกไปกับนางด้วยเช่นกัน
…
หลังจากการพูดคุยกันในห้องเก็บตำราวันนั้น เฟิ่งมู่ชิงก็ยังคงแวะไปที่หอหงโหลวเป็นระยะ ๆ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ อีกทั้งยังถือโอกาสไปจัดการกับจวนที่ตนได้มาใหม่ด้วย ซึ่งจวนหลังนี้ตั้งอยู่ชานเมืองที่ห่างจากใจกลางเมืองหลวงไปเพียง 7 ลี้ และในเวลานี้เฟิ่งเทียนเซียวก็ได้ย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่นแล้ว
อาจเป็นเพราะเฟิ่งเทียนเซียวตระเวนขอทานอยู่ในเมืองหลวงมานาน ทำให้เขารู้จักเด็กกำพร้าและขอทานภายในเมืองหลวงเป็นอย่างดี เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เขาก็คัดเลือกคนพวกนี้มาได้หลายสิบคน
ในวันธรรมดา เมื่อผู้เป็นภรรยาของผู้สำเร็จราชการฯ ไม่ได้ออกจากจวน หญิงสาวจะส่งโม่เยว่ไปที่จวนชานเมืองเพื่อให้นางสอนทักษะการต่อสู้ให้กับเฟิ่งเทียนเซียวและคนอื่น ๆ ซึ่งตำราวิชายุทธเกือบครึ่งหนึ่งของจวนผู้สำเร็จราชการฯ ได้ถูกย้ายไปยังที่นั่นเป็นที่เรียบร้อย
ในทางกลับกัน เฟิ่งมู่ชิงซึ่งใช้เวลาฝึกฝนมาเกือบทั้งชีวิตกลับติดอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 มาเป็นเวลานาน และนางก็ยังไม่สามารถหาวิธีเพื่อทะลุผ่านคอขวดนี้ไปได้
ระหว่างกิจกรรมทั้งหมดนี้ เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็ถึงงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฮองเฮา ซึ่งโดยธรรมชาติ วันเกิดของผู้ที่เป็นมารดาของแผ่นดินย่อมได้รับการเฉลิมฉลองจากคนทั่วทั้งแคว้น ทำให้ในเวลานี้ทั้งเป่ยอี้ล้วนอยู่ในบรรยากาศครึกครื้น
…
วังหลวงอันสง่างามที่ตั้งอยู่ตรงหน้านั้นก่อจากอิฐแดงและมุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีเขียวอันงดงามอลังการ แต่กลับเป็นสถานที่หล่อเลี้ยงกิเลสตัณหานับไม่ถ้วน สิ่งนี้ทำให้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
หลังจากทั้งคู่ก้าวเข้าประตูวังหลวง หญิงสาวกับจวินหรูเย่ก็แยกทางกันทันที นางติดตามขันทีไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิด ในขณะที่ชายหนุ่มเดินไปยังห้องทรงพระอักษรของผู้เป็นฮ่องเต้ ซึ่งนางเข้าใจได้ว่าบางทีเมื่อถึงเวลาอีกฝ่ายอาจจะไปยังงานเลี้ยงพร้อมกับซือคงหรูซวน
ดอกไม้ล้ำค่าและศาลาอันงดงามที่พยายามอวดความงามของมันนั้นไม่ได้กระตุ้นความสนใจของเฟิ่งมู่ชิงเลยแม้แต่น้อย
เหตุเพราะในช่วงเริ่มต้นชีวิตของนางในฐานะเทพเซียน นางล้วนเคยเห็นสิ่งที่สวยงามผ่านตามามาก และไม่ว่าวังนี้จะงดงามสักเพียงใดก็เทียบไม่ได้กับสวรรค์ทั้งเก้าที่นางเคยไปเยือนมา
ระหว่างทางเดิน ขันทีที่เป็นผู้นำทางแอบมองหญิงสาวจากหางตาเป็นครั้งคราว เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่งดงามบอบบางราวกับหยกครึ่งหนึ่งของนาง เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นเร็วขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
มีข่าวลือมากมายว่าพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ เป็นเพียงสตรีที่ไร้ประโยชน์และอัปลักษณ์ ซึ่งเขาไม่รู้ว่านางไร้ประโยชน์จริงหรือไม่ แต่เรื่องที่นางมีใบหน้าน่าเกลียดนั้นยังคงเป็นสิ่งที่ผู้คนต่างถกเถียงกัน
เพราะแม้ว่าหน้ากากจะบดบังครึ่งใบหน้า แต่ความงามของนางในส่วนที่เปิดเผยให้เห็นนั้นไม่สามารถหาใครเทียบได้เลย
ขันทีคนนี้อยู่ในวังหลวงมาหลายปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้พบเจอขุนนางและหญิงสาวมานับไม่ถ้วน แต่สตรีผู้นี้เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้สอดส่องสายตาไปทั่ว อีกทั้งนางยังมีใบหน้าที่สงบแม้จะอยู่ในสถานที่วุ่นวายก็ตาม
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงเพลงอย่างสนุกสนานจากระยะไกล และหลังจากนางเดินต่อไปไม่นานก็มาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยง
งานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของฮองเฮาถูกจัดขึ้นที่ศาลากลางน้ำในอุทยานหลวง ทุกคนในงานต่างได้ยลโฉมดอกฝูหรง*ที่บานสะพรั่งตามริมทะเลสาบ และทั้งอุทยานก็เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน มันไม่ได้ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกับส่วนอื่น ๆ ของวัง แต่มันถูกจัดเรียงคล้ายกับงานชุมนุมของเหล่ากวีที่ชื่นชมดอกไม้มากกว่า
*ดอกฝูหรง คือ ดอกพุดตาน
หญิงสาวไม่รู้ว่าฮองเฮาจัดงานตามความชื่นชอบของซือคงหรูหลางหรือไม่ เพราะอย่างไรเสียคนทั้งคู่ก็เคยรักกันมาก่อน และพอนางคิดถึงเรื่องนี้ จู่ ๆ นางก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ความรักที่ฮองเฮาทรงมีต่อซือคงหรูหลางนั้นมากจนทำให้อดีตคู่หมั้นที่โชคร้ายของเขากลายเป็นคนที่ถูกอาฆาต ในขณะที่ชายเหลาะแหละผู้นั้นกลับเข้าไปพัวพันกับเฟิ่งหวานหว่านอีกคน
แล้วเหตุใดพระนางถึงไม่ไปหาเรื่องเฟิ่งหวานหว่าน แต่กลับจ้องที่จะสังหารนางผู้ซึ่งอยู่ในฐานะพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ตรรกะของพระนางไม่ป่วยไปหน่อยหรือ?
ขณะที่เฟิ่งมู่ชิงก้าวเท้าเข้าไปในศาลากลางน้ำ ดวงตาของแขกเหรื่อในงานต่างก็ถูกดึงดูดด้วยชุดสีแดงเพลิง และเมื่อพวกเขามองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจนก็มีเสียงสูดลมหายใจดังไปทั่วศาลา
วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของฮองเฮา เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงกล้าใส่ชุดสีแดง นางไม่กลัวเดือดร้อนหรอกหรือ?