บทที่ 45: รัฐบาล, แก๊งดอกเหมย, กลุ่มโจรวายุทมิฬ
บทที่ 45: รัฐบาล, แก๊งดอกเหมย, กลุ่มโจรวายุทมิฬ
“เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่?”
เมื่อมองดูฝูงชนที่เดินอย่างเร่งรีบบนท้องถนน ความสับสนอันใหญ่หลวงก็เกิดขึ้นในใจของลู่หยวน
บรรยากาศในมณฑลเหม่ยแตกต่างจากเมืองอื่นๆ ที่เขาเคยไปเยือนมาก่อน มันทำให้เขารู้สึกถึงภัยอันตรายที่ไม่ธรรมดา
เขามีความรู้สึกอยากจะออกไปโดยทันที
เนื่องจากเขาเป็นอมตะ ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลที่จะต้องใช้เวลานานขึ้นในการเอาสินค้าไปขายยังเมืองอื่น
ถึงอย่างนั้น ตอนนี้เมื่อเขามาถึงขนาดนี้แล้ว การหลบหนีออกไปโดยไม่ทำอะไรเลยก็ดูจะน่าสมเพชเกินไปหน่อย
“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมองดูฝูงชนบนท้องถนนแล้ว แม้ว่าชาวเมืองหลายคนจะแสดงสีหน้าวิตกกังวล แต่โดยรวมแล้วพวกเขาก็ยังดูสงบ แค่บรรยากาศมันตึงเครียดเล็กน้อยก็เท่านั้น” ลู่หยวนคิดเช่นนั้น และระงับความอยากที่จะหนีเอาไว้ชั่วคราว
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่ในเมืองนานเกินความจำเป็น เขาถามเส้นทางจากผู้คนบนถนนและตรงไปที่ร้านขายหนังที่ตั้งอยู่ในเมือง
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เขาก็อยากจะขายสินค้าก่อนแล้วค่อยจากไป
ไม่ว่ามันจะเป็นอันตรายหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาหลบหนีไปก่อนที่มันจะปะทุขึ้น อันตรายนั้นก็จะไม่กลายเป็นภัยคุกคามที่แท้จริง
ตลาดของมณฑลเหม่ยตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ซึ่งมีร้านค้ามากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ตั้งอยู่
เนื่องจากตำแหน่งนี้เป็นศูนย์กลางการขนส่งระหว่างทะเลใต้กับหยูจางมณฑลเหมยจึงทำหน้าที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าจากทั้งสองเขตอำนาจด้วย พ่อค้าที่เดินทางไปทางเหนือและใต้มักจะผ่านทางมาที่นี่
สิ่งนี้ส่งผลให้ตลาดคึกคักไปด้วยร้านค้าหลากหลายแห่งและแผงลอยริมถนนมากมายตั้งยาวจนสุดลูกหูลูกตา
มีร้านขายหนังสัตว์สามร้านในตลาด
อาจเนื่องมาจากแรงกดดันด้านการแข่งขัน คราวนี้ขนที่ลู่หยวนขายจึงได้ราคาที่สูงเป็นพิเศษ
หนังเสือหนึ่งตัวและหนังหมีสองตัวขายได้ในราคา 200 ตำลึง แม้แต่เหล้าองคชาตเสือสองขวดที่เขานำมาด้วยก็ยังถูกพ่อค้าผู้มั่งคั่งบางคนไล่ตามขอซื้ออย่างกระตือรือร้น และสุดท้ายพวกมันก็ขายได้ในราคา 200 ตำลึงเงินเช่นกัน
หลังจากการทำธุรกรรมเพียงครั้งเดียว เขาก็ได้รับเงินมามากถึง 400 ตำลึงเงิน
ผลกำไรจากการซื้อขายในครั้งนี้ชัดเจน
เมื่อได้รับเงินจำนวนมากมาในคราวเดียว จากประสบการณ์การค้าขายก่อนหน้านี้ แก๊งค์ท้องถิ่นในเมืองก็น่าจะได้รับข่าวแล้วและคงกำลังรีบมาที่นี่โดยทันที
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เขาจะรีบจากไปอย่างรวดเร็วและมุ่งตรงไปที่ประตูเมือง จากนั้นเขาก็จะหยิบธนูเหล็กที่เตรียมไว้ออกมาและเริ่มการล่าครั้งใหม่ และเพียงไม่นานจากนั้น โชคลาภเล็กๆ น้อยๆ ก็จะลอยเข้ามาสู่กระเป๋าตังของเขาอีกครั้ง
ขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรปกติของเขาไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาออกมาจากร้านขายหนังสัตว์ เขาก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่ามีบางอย่างแตกต่างออกไป
“ไม่มีใครมาเลยหรอ?”
ลู่หยวนสำรวจตลาดโดยรอบ แม้ว่าบรรยากาศในเมืองจะดูไม่ค่อยดีนัก แต่ความเร่งรีบและคึกคักในย่านตลาดตะวันออกก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
พ่อค้าที่สัญจรไปมารวมตัวกันในบริเวณนี้ ผู้คนเองก็หลั่งไหลกันเข้าและออก
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ แม้ว่าจะใช้ทักษะทั้งหมดของเขาเพื่อวัดและประเมินสภาพแวดล้อมรอบๆ เขาแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถตรวจจับสายตาที่คุ้นเคยได้ ' คนจากร้านขายหนังสัตว์เมื่อกี้ไม่ได้ไปแจ้งแก๊งท้องถิ่นหรอ?'
ในทันใดนั้น ทุกอย่างก็ชัดเจนสำหรับเขา
มันตามมาด้วยความสับสนครั้งใหญ่โดยทันที
ในระหว่างการเดินทางมายังทะเลใต้ รวมถึงมณฑลเหม่ย ลู่หยวนก็ได้ไปเยือนเมืองมาทั้งหมดสี่เมือง
ในสามเมืองก่อนหน้านี้ แก๊งท้องถิ่นก็ได้ไล่ตามเขาออกมาจากเมืองอย่างละโมภ พวกมันต้องการจะทำธุรกิจการแลกเปลี่ยนโดยไม่จ่ายเงิน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับเทพเกาทัณฑ์แห่งภูเขาต้าหยูที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ขยะเหล่านี้ซึ่งรังแกคนดีไปวันๆ ในไม่ช้าก็เดินตามรอยเท้าของสมาชิกแก๊งชิงจูและถูกทิ้งไว้นอนคุยกับรากมะม่วงอยู่ในป่าเขาอันกว้างใหญ่
ในระหว่างการเดินทางของเขาในฐานะพ่อค้า เขาก็จำไม่ได้ว่าเขาทิ้งปุ๋ยลงไปบนพื้นมากเท่าไหร่แล้ว
แต่อย่างน้อยก็ยี่สิบถึงสามสิบกองอย่างแน่นอน
ในโลกที่โหดร้ายและมืดมนเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีพลังพิเศษอยู่ในมือ มันก็มีผู้คนที่เต็มใจยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อความมั่งคั่งและผลประโยชน์อยู่เสมอ
และไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเพิ่มเติม
ในสายตาของสมาชิกแก๊งเหล่านั้น พวกมันกำลังรักษา "กฎเกณฑ์ตามปกติ" และแก้ไขทุกอย่างให้อยู่ใน “ความสงบเรียบร้อย”
นอกจากนี้ พวกมันยังมีสถานะที่แข็งแกร่งกว่าและความแข็งแกร่งที่มากกว่า ดังนั้นพวกมันจึงยังสามารถรักษาความสงบเรียบร้อยนี้เอาไว้ได้
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครตามมาจริงๆ สินะ…”
หลังจากค้นหาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในที่สุดลู่หยวนก็ยืนยันได้ว่าไม่มีสมาชิกแก๊งอยู่ข้างหลังเขาจริงๆ และเขาก็ไม่พบสมาชิกแก๊งท้องถิ่นในตลาดด้วย
เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะออกจากเมืองไปโดยทันที
หากไม่มีใครติดตามเขามา งั้นมันก็จะไม่เกิดอันตรายขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ
และเมื่อไม่มีภัยคุกคามต่อชีวิตของเขาแล้ว ลู่หยวนจึงเปลี่ยนแผนเดิมและตัดสินใจอยู่ในเมืองต่อไปอีกสักพักเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วจึงค่อยจากไป
ตามปกติ เขาตามหาโรงเตี๊ยมบนถนนในตลาด
มันไม่ใช่แผงลอยริมถนนชั้นต่ำแห่งหนึ่งในเมือง แต่มันก็ไม่ใช่ร้านอาหารที่หรูหราเช่นกันเพราะมันแพงเกินไป
ลู่หยวนได้เลือกสถานที่ราคาถูกและมีรสชาติดีที่พ่อค้าและผู้ฝึกยุทธ์เร่ร่อนมักจะแวะเวียนมากันบ่อยๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานที่ประเภทนี้คือที่ที่มีข้อมูลให้รับฟังมากที่สุด
เขาหาที่นั่งในห้องโถงชั้นหนึ่ง สั่งอาหารจานเด่นของโรงเตี๊ยมพร้อมเหล้าหนึ่งขวด และฟังการสนทนาของพ่อค้าและผู้ฝึกยุทธ์ในขณะที่เขารับประทานอาหารกลางวัน
ไม่นานเขาก็ได้รับข้อมูลบางอย่างมา
“ทหารและสมาชิกแก๊งดอกเหมยหายไปสามวันแล้ว พวกเขายังกวาดล้างกลุ่มโจรวายุทมิฬไม่เสร็จอีกหรอ?”
พ่อค้าคนหนึ่งถอนหายใจหลังจากจิบเหล้า “เส้นทางการค้าถูกปิดมาเป็นเวลาเจ็ดวันแล้ว สินค้าของข้ากองอยู่ในเมืองและไม่สามารถขนย้ายออกไปไหนได้ ถ้ามันยังยืดเยื้อแบบนี้ต่อไปอีกสองสามวัน สินค้าของข้าก็คงได้เน่าเสียหมดแน่”
“มันจะเร็วขนาดนั้นได้ยังไง?” ชายร่างกำยำในชุดดำเยาะเย้ย “หัวหน้ากลุ่มโจรวายุทมิฬเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง และพี่น้องทั้งหกของเขาก็ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม”
“ทักษะวรยุทธ์ของพวกเขานั้นยอดเยี่ยมมาก และพวกเขาก็ได้ฝึกฝนวิชากระบี่โจมตีแบบผสมผสาน หลังจากฝึกฝนมานานกว่าสิบปี พวกเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในวิชากระบี่นี้”
“และเมื่อพวกเขาทั้งเจ็ดทำงานร่วมกัน พวกเขาก็สามารถท้าทายได้แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นยอด!”
“หวังโป้เต๋าแห่งมณฑลเหมยแม้ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของ 'ตาอินทรีทอง' หลี่เชินโป้ แต่เขาก็ยังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองเท่านั้น เช่นเดียวกับผู้นำของแก๊งค์ดอกเหมย”
ชายร่างกำยำในชุดดำดูเหมือนจะมีความรู้เยอะมาก และมีความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความลับต่างๆ ของโลกยุทธ์ และในขณะที่เขาพูดความลับที่หาฟังยากเหล่านี้ออกมา เขาก็ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากในห้องโถงโดยทันที
เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมาที่เขา ชายร่างกำยำในชุดดำก็รู้สึกภูมิใจมากและปรนเปรอตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมจำนนต่อเสียงเรียกร้องที่อยู่รอบตัวเขาและพูดต่อ “ในความคิดของข้า แม้คราวนี้รัฐบาลและแก๊งดอกเหมยจะร่วมมือกัน แต่อย่างมากที่สุดพวกเขาก็คงจะขับไล่กลุ่มโจรวายุทมิฬออกไปได้เท่านั้น และคงไม่สามารถฆ่าพวกมันได้…”
ตุ๊บ!
ลู่หยวนจิบเหล้าแล้ววางแก้วของเขาลง
หลังจากฟังผู้คนในห้องโถงอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในมณฑลเหมย
“ครึ่งเดือนที่แล้ว กลุ่มโจรวายุทมิฬได้ลงมาจากทางใต้ ปล้นบ้านเมืองและปิดขวางเส้นทางเดินธุรกิจของที่นี่ และในที่สุด พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของรัฐบาลและแก๊งท้องถิ่นซึ่งทำให้พวกเขาริเริ่มยกพวกไปปราบโจรเหล่านี้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มันไม่มีพวกอันธพาลท้องถิ่นในเมืองในเวลานี้”
“และเนื่องจากทุกคนในแก๊งถูกส่งไปตามล่ากลุ่มโจรวายุทมิฬ ดังนั้นพวกมันจึงไม่มารบกวนฉันซึ่งแอบเอาหนังเข้ามา อ้า นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีจริงๆ…”
ลู่หยวนจัดการความคิดของเขาและลุกขึ้น จ่ายเงิน เก็บข้าวของและออกจากโรงเตี๊ยม
รัฐบาล, แก๊งดอกเหมย, กลุ่มโจรวายุทมิฬ…
จากสภาพของกองกำลังเหล่านี้ เขาก็ไม่สามารถบอกได้เลยว่าฝ่ายใดจะมีชัยในท้ายที่สุด
แต่ที่แน่ๆ การอยู่เคียงข้างความขัดแย้งก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ
ตอนนี้เมื่อเขาเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนแล้ว เขาจึงตัดสินใจออกจากเมืองโดยเร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของเขาเอง...