บทที่ 44: มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
บทที่ 44: มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ต้นฤดูใบไม้ผลิ เดือนกุมภาพันธ์
แม้ว่าฤดูหนาวอันหนาวเหน็บจะผ่านพ้นไปแล้ว และโลกก็ยังคงความหนาวเย็นไว้อยู่เล็กน้อย แต่หญ้าสีเขียวอันอ่อนโยนก็เริ่มงอกขึ้นมาแล้ว
ฤดูกาลแห่งการฟื้นฟูได้กลับมาถึงแล้ว และสิ่งมีชีวิตบนภูเขาซึ่งจำศีลอยู่ในถ้ำของพวกมันก็ค่อยๆ ตื่นขึ้น
ในเวลานี้ เสือซึ่งถูกครอบงำโดยความหิวโหยกำลังกระโดดไปมาอยู่ในป่าซึ่งมีเงาต้นไม้นับไม่ถ้วนเคลื่อนผ่านไป ถึงอย่างนั้น แขนขาที่แข็งแกร่งเดิมของมันก็กลับดูอ่อนแอมากในขณะนี้
มันเป็นราชาแห่งขุนเขา และภายในภูมิภาคนี้ สัตว์ร้ายทุกตัวก็ล้วนตัวสั่นและต้องก้มหัวลงต่อหน้ามัน
แต่ถึงอย่างนั้น แม้แต่ราชาแห่งขุนเขาที่ไม่มีพุงก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรู้สึกมึนงงได้
เสือซึ่งจำศีลมาตลอดฤดูหนาวเพิ่งตื่นขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อน
อย่างไรก็ตาม มันอาจจะตื่นเร็วเกินไปเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าเหยื่อตามปกติของมันจะยังคงจำศีลอยู่ในรังของพวกมัน ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากวิ่งหาเหยื่อมาสักพักแล้ว มันจึงยังไม่เห็นกระต่ายเลยแม้แต่ตัวเดียว
ในท้ายที่สุด ด้วยความหิวโหย มันจึงไปจับปลาอ้วนตัวหนึ่งในแม่น้ำกิน
อย่างไรก็ตาม ปลาอ้วนตัวเดียวก็ยังห่างไกลจากคำว่าอิ่ม
หากมันยังหาเหยื่อไม่ได้อีกในเร็วๆ นี้ ชะตากรรมที่รอมันอยู่ก็จะเป็นการอดตายบนภูเขา และในที่สุด มันก็จะกลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าตัวอื่นๆ แทน
เมื่อเผชิญหน้ากับชะตากรรมเช่นนี้ เป็นใครก็ย่อมไม่เต็มใจ
ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงตัดสินใจกลับไปที่ถ้ำเพื่อพักผ่อนสักพักระยะ มันวางแผนที่จะออกไปผจญภัยอีกครั้งในตอนเย็น
แต่ไม่นาน เมื่อมันกลับมาถึงที่ถ้ำ กลิ่นหอมเย้ายวนของอาหารที่โชกไปด้วยเลือดก็โชยมาจากทางเข้าถ้ำ
และเมื่อมันก้าวไปอีกสองสามก้าวเพื่อสูดกลิ่น ในไม่ช้ามันก็พบกับแหล่งที่มาของกลิ่น
มันคือกระต่ายสีเทาไร้ชีวิตตัวหนึ่งที่นอนอยู่ในพงไม้ใกล้ทางเข้าถ้ำ
ประเด็นสำคัญคือเนื้อของมันยังคงสดและไม่ได้เน่าเปื่อย กระต่ายตัวนี้เพิ่งจะตายไปได้ไม่นาน
สิ่งนี้บอกเป็นนัยอย่างหนึ่ง กระต่ายตัวนี้เเป็นอาหารที่กินได้!
ความหิวโหยเริ่มรุมเร้า ความรู้สึกหิวโหยส่งสัญญาณไปยังสมองของมัน
ในทันใดนั้น เสือก็ได้ตัดสินใจก้มศีรษะลงและอ้าปากกว้าง กระต่ายสีเทาที่นอนนิ่งอยู่แทบจะถูกกลืนหายไปภายในหนึ่งคำ
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ เสียงเนื้อฉีกขาดและเสียงเคี้ยวก็ดังขึ้น
ด้วยการเพิ่มกระต่ายสีเทาตัวนี้เข้ามาในกระเพาะ มันจึงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อีกสองสามวัน
การมีเวลาเพิ่มอีกสองวันช่วยเพิ่มโอกาสในการเอาชีวิตรอดของมันขึ้นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าป่าตัวนี้พอใจเป็นอย่างมาก
ด้วยความอารมณ์ดี ฝีเท้าของมันจึงเร็วขึ้นจากเดิมตามไปด้วย
มันก้าวเดินอย่างสง่างามในถ้ำสีดำสนิทและ...
ทันใดนั้น คลื่นความวิงเวียนก็พัดเข้าใส่สมองของมัน
มันรู้สึกอ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรง และแทบจะล้มลงในทุกย่างก้าวที่เดิน
เสือร้ายส่ายหน้าเพราะอาการเวียนหัว มันเดินต่อไปข้างหน้าอีกสองก้าวก่อนจะล้มลงในทันที มันนอนอยู่บนพื้นโดยไม่เคลื่อนไหว
ผ่านไปสักพัก..
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าถ้ำ “อืม เสร็จฉันไปอีกหนึ่ง จงกลายมาเป็นเงินออมให้ฉันอีกร้อยตำลึงซะดีๆ”
ลู่หยวนยืนอยู่ตรงหน้าเสือที่กำลังสลบ เขามองไปที่ราชาแห่งขุนเขาที่กำลังนอนนิ่งเฉยด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
นี่เป็นเสือตัวที่สามที่เขาจับได้ตั้งแต่เขาเข้ามาในภูเขา นอกเหนือจากนี้ เขาก็ยังมีหมีดำห้าตัว หมูป่าหนึ่งตัวและสุนัขจิ้งจอกผู้โชคร้ายอีกหลายตัว
หากเหยื่อทั้งหมดนี้ถูกนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงิน ยอดรวมทั้งหมดก็จะอยู่ที่หกถึงเจ็ดร้อยตำลึงอย่างไม่ต้องสงสัย
อาจกล่าวได้ว่าตราบใดที่เขาแลกเปลี่ยนกำไรจากการล่าสัตว์เหล่านี้เป็นเงินสด ปัญหาทางการเงินเดิมของเขาก็จะได้รับการแก้ไขโดยทันที
เขาโน้มตัวไปดึงมีดสั้นออกมาแล้วจ้วงมันเข้าไปในดวงตาของเสือ เขาแทงลึกลงไปในสมองและจบชีวิตราชาแห่งขุนเขาลง ณ จุดนั้น
เขาอุ้มร่างของเสือขึ้นไว้บนไหล่ หันหลังกลับ แล้วเริ่มเดินออกไปจากถ้ำ
“เมื่อจบจากเสือตัวนี้แล้ว อาณาเขตเทือกเขาตะวันออกก็ไม่เหลือเสือให้ล่าแล้ว ฉันไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าการตายของนักล่าระดับสูงเหล่านี้จะส่งกระทบให้สัตว์ตัวเล็กๆ อย่างกระต่ายและไก่ป่าเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนครองภูเขารึเปล่า” เขาตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาระบบนิเวศวิทยาเหล่านี้อยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะหัวเราะกับตัวเอง
ด้วยนักล่าระดับกลางที่อยู่รอบๆ แม้ว่าจะไม่มีนักล่าระดับสูงอีกต่อไปแล้ว แต่เหยื่อเหล่านี้ก็จะยังคงไม่มีโอกาสที่จะแพร่ขยายออกไปอยู่ดี
เพราะฉะนั้น
เมื่อไม่มีเสือและหมีในภูเขาอันกว้างใหญ่แห่งนี้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงกลายมาเป็นนักล่าที่เก่งกาจที่สุด!
ทุกสิ่งทุกอย่างบนภูเขาลูกนี้เป็นเพียงเหยื่อของเขาเท่านั้น!
หลังจากแบกเสือเอาไว้บนหลังมาได้หนึ่งชั่วโมง เขาก็กลับมาถึงถ้ำของตัวเองบนภูเขาในที่สุด
ลู่หยวนถลกหนังและหักกระดูกเสืออย่างเชี่ยวชาญ โดยเอาหนังและเส้นเอ็นที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ออก
นอกจากนี้ ลู่หยวนยังตัดองคชาตของเสือออกด้วย หลังจากทำความสะอาดมันเล็กๆ น้อยๆ แล้ว เขาก็โยนมันลงไปในโถสุราที่เตรียมไว้อยู่ข้างๆ เขา
องคชาตเสือเป็นของมีค่าซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่ตระกูลขุนนางผู้ร่ำรวย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีความต้องการที่ไม่อาจบรรยายได้... ราคาขององคชาตเสือนั้นสามารถแข่งขันกับหนังเสือได้เลย โดยมันสามารถขายได้ในราคามหาศาล
ในปีที่แล้ว เขาก็ได้ฆ่าเสือและได้องคชาตเสือมา แต่เขาก็ได้แช่เหล้าเพื่อเตรียมเก็บไว้กินเอง
ต่อมา เนื่องจากเขาต้องการเงินเพื่อซื้อยาสลบ เขาจึงต้องขายสุราองคชาตเสือให้กับตระกูลที่ร่ำรวยในเมืองใกล้เคียง และในที่สุดเขาก็ได้รับเงิน 60 ตำลึงเป็นการตอบแทน
จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าธุรกิจนี้ทำกำไรได้มากเพียงใด
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อลู่หยวนได้ลิ้มรสความหวานของสิ่งนี้แล้ว เขาจึงเริ่มมีความสนใจในการล่าเสือเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นแล้วเมื่อเขาเข้าไปในภูเขาเมื่อใด เขาจึงต้องเช็คให้แน่ใจเสมอว่าเสือทั้งหมดในรัศมีสิบกิโลเมตรนั้นจะต้องถูกเขาล่า
หลังจากทำความสะอาดและถลกหนังเสือออกมาอย่างระมัดระวังแล้ว ลู่หยวนก็ใช้เวลาห้าถึงหกวันในการฟอกหนัก
เมื่อเตรียมทุกอย่างจนได้ที่แล้ว เขาก็นำหนังเหล่านั้นและเหล้าองคชาตเสือติดตัวไปด้วยและมุ่งหน้าไปทางใต้
สินค้าเหล่านี้ล้วนมีคุณค่ามาก การขายพวกมันใกล้กับจังหวัดลู่หลิงจะดึงดูดความสนใจมากเกินไป และมันก็จะทำให้คนอื่นติดตามเขามาได้ด้วย
ดังนั้นแล้วลู่หยวนจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่เทพเกาทัณฑ์แห่งภูเขาต้าหยูผู้ซึ่งเข้าสู่สันโดษมานานตลอดฤดูหนาวจะต้องปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เขาวางแผนที่จะไปที่ทะเลใต้อีกครั้งและขายสินค้าของเขาที่นั่น
แน่นอน ครั้งนี้เขาจะไม่ไปที่มณฑลหนานอันแล้ว
เขาได้ไปที่นั่นในการเดินทางครั้งสุดท้ายของเขาเพื่อขายสินค้า สิ่งนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับแก๊งชิงจูซึ่งอยู่ในท้องถิ่นเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังสามารถพลิกสถานการณ์และกลายเป็นฝ่ายไล่ล่าสมาชิกแก๊งชิงจูแทนได้ และยังได้โชคลาภเล็กๆ น้อยๆ มาด้วยจากกระบวนการนี้
ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากความสูญเสียและบทเรียนจากครั้งนั้น แก๊งชิงจูจึงจะต้องระวังตัวขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
หากเขายังกลับไปที่นั่นอีกในครั้งนี้ เขาก็อาจถูกดักจับได้โดยพวกมัน
ลู่หยวนเป็นคนระมัดระวัง ดังนั้นเขาจึงจะไม่ยอมเสี่ยงเช่นนั้นแน่
ลูกผู้ชายตัวจริงไม่เคยถอยหลัง
ดังนั้นถ้าเขาต้องการจะขายสินค้า เขาก็จะไปขายที่อื่นแทน
ด้วยประสบการณ์จากการเดินทางครั้งก่อน เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากกับการเดินทางไปทะเลใต้ในครั้งนี้ หลังจากที่เขาได้เตรียมการทั้งหมดแล้ว เขาก็เดินทางชมนกชมไม้ไปอย่างสบายๆ
หนึ่งเดือนต่อมา
เขตหนานเซียง มณฑลเหมย
ลู่หยวนสะพายตะกร้าของเขาเข้าไปในเมืองเล็กๆ หลังจากจ่ายค่าเข้าเมืองแล้ว 30 เหรียญ
เมื่อเขาเข้าไปในเมืองและเดินไปตามถนนได้สักพัก เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับบรรยากาศภายในเมือง
การก้าวเดินของคนเดินถนนนั้นเร็วเกินไปเล็กน้อย แม้แต่ร้านค้าหลายแห่งทั้งสองฝั่งของถนนก็ยังปิดกิจการในเวลากลางวันแสกๆ โดยไม่ทำธุรกิจ
แม้แต่พวกอันธพาลที่มักจะรังแกชายหนุ่มและหญิงสาวและไถเงินค่าคุ้มครองก็ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็นบนท้องถนน
“มีบางอย่างผิดปกติจริงๆ”
ลู่หยวนเฝ้าดูคนเดินถนนไปมา ท่ามกลางความรู้สึกสงสัย คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เกือบจะโดยสัญชาตญาณ เขาสัมผัสได้ว่าอาจมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในมณฑลเหมยแห่งนี้
ไม่เช่นนั้น ทั้งเมืองก็คงจะไม่อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้...