บทที่ 20: เจ้ายินดีที่จะติดตามข้าหรือไม่?
ขณะนี้ในหัวของโม่เยว่มีคำถามมากมายเต็มไปหมด ทั้ง ๆ ที่พระชายามีงานอยู่จนล้นมือ แต่ทำไมนางถึงไม่เรียกใช้ตนล่ะ?
หรือว่านางไม่เชื่อในความสามารถของข้าอย่างนั้นหรือ?
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของหญิงสาว
เอ๊ะ! หรือว่านางกังวลว่าข้าจะเอาเรื่องที่ได้รู้ไปบอกต่อแก่ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ?
พอโม่เยว่คิดได้เช่นนี้ นางก็วิตกกังวลมากจนรู้สึกอึดอัดในอก
คุณสมบัติที่โดดเด่นขององครักษ์เงาก็คือพวกเขาซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนายและจะเก็บความลับของเจ้านายชนิดที่ว่าฆ่าให้ตายก็ไม่ยอมปริปากพูด อีกทั้งพวกเขาจะมีนายเหนือหัวเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิต รวมถึงต้องทำงานถวายหัวให้กับผู้เป็นนายและไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของใครอีก เว้นแต่ว่าเจ้านายจะเป็นคนออกคำสั่ง
“โม่เยว่” ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังรู้สึกเศร้าใจ จู่ ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมา
เฮ้อ พูดยังไม่ทันขาดคำ…
เมื่อโม่เยว่เดินตามเสียงนั้นไป นางก็พบว่าคนที่เรียกตนคือโม่อิ๋งซึ่งเป็นคนสนิทของจวินหรูเย่
“ท่านพี่ มาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?”
“พระชายาอยู่ที่ไหน?” คนเป็นพี่ชายเอ่ยถาม
“พระชายาประทับอยู่ในห้อง ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ให้ท่านมาตามนางหรือ?” โม่เยว่กล่าวพลางทำหน้าสับสน
แต่ว่าพระชายากับผู้สำเร็จราชการฯ เพิ่งพบกันในห้องเก็บตำราเมื่อกี้เองไม่ใช่หรือ ทำไมเขาถึงให้โม่อิ๋งมาตามหานางอีกล่ะ?
“ข้ามาที่นี่เพื่อพบเจ้า”
คำพูดอีกฝ่ายทำให้หัวใจของโม่เยว่เต้นแรง ก่อนหน้านี้นางเพิ่งกังวลว่าพระชายาจะไม่ไว้วางใจตน ถ้าพระนางมาเห็นนางคุยกับโม่อิ๋งมันจะไม่ยิ่งทำให้พระนางเข้าใจผิดไปมากกว่าเดิมอีกหรือ? ถ้าเป็นแบบนี้นางก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะยังหน้าหนารั้งอยู่ข้างกายพระนางได้อีกหรือไม่
ในเวลาเดียวกัน โม่อิ๋งไม่รู้ว่าน้องสาวของตนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่พอเห็นท่าทางของนาง มันก็ทำให้เขารู้สึกสงสัยขึ้นมา
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน แต่ปกติแล้วพวกเขาไม่ได้สนิทสนมกันถึงขนาดจะมีเรื่องพูดคุยกันแบบพี่น้องทั่วไป นั่นทำให้หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงมาหานางตอนนี้?
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรนางก็คิดไม่ออกว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องพูดคุยกัน
“เอ่อ… ข้าแค่อยากจะมาถามว่าช่วงนี้พระชายาอยู่ในจวนเป็นอย่างไรบ้าง? พระนางมีอะไรที่ไม่พอใจหรือไม่?” โม่อิ๋งถามแบบไม่ค่อยมั่นใจ
ครั้งนี้นายท่านโยนปัญหาใหญ่มาให้เขา ซึ่งโม่เยว่เองก็ได้รับการฝึกฝนมาแบบเดียวกับเขาและทั้งคู่ก็เป็นศิษย์ที่โดดเด่นมากในรุ่น ดังนั้นอีกฝ่ายจะมองจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาไม่ออกได้อย่างไร
แน่นอนว่าหญิงสาวเดาจุดประสงค์ของพี่ชายออกได้ในทันที นางจึงถามด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ว่า “ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ให้ท่านมาถามข้างั้นหรือ?”
เหอะ ๆ ให้มันได้อย่างนี้สิ—
โม่อิ๋งฝืนยิ้มแกน ๆ ถ้าหากนายท่านของเขารู้ว่าเขาได้เปิดเผยเจตนาที่แท้จริงตั้งแต่ประโยคแรกที่หลุดออกมาแบบนี้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะจับเขาโยนเข้าคุกมืดเพื่อให้เขาไปฝึกฝนใหม่หรือไม่
ทว่าโม่เยว่ได้ยื่นมือไปตบไหล่ผู้เป็นพี่ชายพลางมองเขาด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ
โม่อิ๋งที่เห็นท่าทางนั้นก็ได้แต่คอตกและพูดยอมรับออกไปตรง ๆ ว่า “เจ้าคิดว่าพระชายาสนใจในตัวของอวี้ชิงเฟิงหรือเปล่า?”
หลังจากที่โม่เยว่ได้ยินคำพูดของโม่อิ๋ง นางก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ พอตั้งสติได้นางก็รีบยกมือปิดปากตัวเองแก้เก้อ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ทันทีที่เห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกตน นางจึงดึงพี่ชายเข้ามาใกล้
ความจริงตัวนางเองก็สงสัยอยู่ว่าทำไมจู่ ๆ ผู้สำเร็จราชการฯ ถึงเรียกตัวนางกลับมาแถมยังยกนางให้กับพระชายาของตัวเอง ที่แท้เขาก็แค่อยากจะใช้โอกาสนี้ในการเอาชนะใจสาวงามนี่เอง
แม้ว่าอวี้ชิงเฟิงจะมีรูปร่างหน้าตางดงามและเป็นคนที่ดูเข้าถึงได้ง่ายมากแค่ไหน แต่ฐานะของเฟิ่งมู่ชิงตอนนี้คือพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ไม่ว่าอย่างไรนายท่านก็เป็นคนของผู้สำเร็จราชการฯ อยู่แล้ว
จากที่สังเกตก่อนหน้านี้ ตัวประกันต่างแคว้นผู้นั้นใส่ใจเจ้านายของนางมาก นางจะไม่ปล่อยให้เขาได้มีสิทธิ์คิดอาจเอื้อมนายท่านของตนอย่างแน่นอน
ทันทีที่โม่เยว่คิดได้แบบนั้น นางก็ตัดสินใจกระซิบเล่าเรื่องทุกอย่างที่นางเห็นในวันนี้ให้พี่ชายฟัง แล้วยังเน้นย้ำว่าอวี้ชิงเฟิงมีความคิดที่เขาไม่ควรจะมีด้วย
หลังจากโม่อิ๋งได้รับข้อมูลตามที่ต้องการมาเรียบร้อย เขาก็รีบตรงกลับไปที่ห้องเก็บตำราของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินทันที
ตั้งแต่วันนั้นเฟิ่งมู่ชิงก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเป็นเวลา 2 วันเต็ม แม้แต่อาหารนางก็ยังให้โม่เยว่เอาเข้าไปให้ในห้อง
จนกระทั่งเวลาผ่านไป 2 วัน หญิงสาวก็สวมเสื้อผ้าผู้ชาย จากนั้นก็เดินทางไปที่หอหงโหลวพร้อมกับโม่เยว่
ปัจจุบันป้าหงกำลังดูภาพวาดในมือพร้อมกับอ่านรายละเอียดแผนการต่อไปอย่างรอบคอบ ตอนนี้ไม่ว่านางยิ่งมองสิ่งที่อยู่ในมือนานเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้นเท่านั้น
บนภาพวาดเป็นมุมมองบางส่วนของหอหงโหลวที่กำลังจะปรับปรุงซึ่งแค่ได้เห็นมันก็ดูน่าสนใจแล้ว ส่วนแผ่นต่อมาก็คือบทเพลงที่ถูกประพันธ์มาให้ผู้หญิงที่อยู่ในหอหงโหลว
บทเพลงดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แม้กระทั่งตัวนางที่อยู่มานานนมก็ยังไม่เคยได้ยินบทเพลงเหล่านี้มาก่อน อีกทั้งรูปแบบอาคารก็ยังดูสดใหม่ไม่เหมือนภาพอาคารที่นางเคยเห็นจนชินตา
เฟิ่งมู่ชิงที่ได้เห็นท่าทางของหญิงวัยกลางคนก็ยกยิ้มกว้าง
ครั้งหนึ่งนางเคยผ่านด่านเคราะห์แล้วต้องเข้าไปอยู่ในหอคณิกาแห่งหนึ่ง ซึ่งหอคณิกาแห่งนั้นเป็นที่ที่มีชื่อเสียงมาก และเพลงที่เหล่าคณิกาบรรเลงก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีแต่ในโลกของนางเท่านั้น
แล้วแบบนี้มันจะไม่ทำให้คนในโลกนี้รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้อย่างไรกัน
“นายท่าน แบบแปลนของอาคารใหม่และบทเพลงที่ท่านประพันธ์ขึ้นมาใหม่นี้สมบูรณ์แบบมาก ในระหว่างที่กำลังปรับปรุงอาคาร ข้าน้อยจะอบรมสั่งสอนพวกเด็ก ๆ ให้ดีที่สุด” ป้าหงกล่าวอย่างนอบน้อม
หญิงสาวพยักหน้าตอบรับ ต่อมานางหยิบตำราออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้โม่เยว่พลางพูดว่า
“นี่เป็นวิชาการต่อสู้พื้นฐาน หากระหว่างนี้ไม่มีงานอะไร เจ้าก็มาฝึกเด็กพวกนั้นด้วย อย่างน้อยให้พวกนางมีวิชาติดตัวเอาไว้จะได้ช่วยตัวเองในยามคับขันได้”
โม่เยว่รับตำรามาขณะทำหน้าเคร่งขรึม “เจ้าค่ะ”
หลังจากที่ทุกอย่างในหอหงโหลวได้รับการจัดสรรแบ่งหน้าที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เฟิ่งมู่ชิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับรู้สึกว่าภาระบนไหล่ของตนเบาลงไปมาก
เวลานี้นางกำลังเดินเล่นอยู่บนถนนที่พลุกพล่าน แม้ว่าท่าทางภายนอกของนางดูเหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่จริง ๆ แล้วนางบันทึกทุกรายละเอียดที่อยู่รอบตัวเอาไว้ในสมองเป็นที่เรียบร้อย
“ตีมัน! ตีมันให้ตาย! เจ้ากล้ามากที่บังอาจมาขโมยเงินของข้า ตีมันให้แรงกว่านี้!”
ทันใดนั้นเสียงตะโกนอันโกรธเกรี้ยวก็ดังเข้ามาในหูของหญิงสาว
เมื่อนางเห็นว่าบริเวณใกล้เคียงมีผู้คนจำนวนมากไปรวมตัวกันเพื่อดูการแสดงบางอย่าง นางก็ก้าวเข้าไปหาฝูงชนนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ตรงกลางวงล้อมมีชายในชุดสีเขียวกำลังจ้องเขม็งมองขอทานที่เนื้อตัวมอมแมมบนพื้นพร้อมกับที่เขาคอยสั่งคนรับใช้ให้ต่อยเตะอีกฝ่ายไม่หยุด
ทางด้านขอทานได้ขดตัวเป็นวงกลมพลางใช้สองมือกุมปกป้องศีรษะของตัวเอง ถึงแม้ว่าเขาจะถูกทำร้ายจากผู้ชายตัวโต แต่เขาก็ไม่ร้องออกมาสักแอะ
ชั่วอึดใจนั้นเฟิ่งมู่ชิงสบตากับชายหนุ่มที่มีสภาพทรุดโทรม นางเห็นถึงความเกลียดชังที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความอดทนอดกลั้นของชายผู้นี้ นั่นทำให้นางรู้สึกสนใจเขาขึ้นมา
ครู่ต่อมา ใบหน้าของขอทานก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ จากใบหน้าที่เคยเลอะเทอะบัดนี้เปื้อนไปด้วยเลือดจนส่งผลให้แทบจะจดจำใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าตัวไม่ได้ ทว่าดวงตาของเขากลับฉายแววแน่วแน่ราวกับว่ามีดาบซ่อนอยู่ภายใน
หากเขาได้รับโอกาส เขาจะสามารถต่อสู้ได้ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่คอยจังหวะตะครุบเหยื่อ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของอีกฝ่าย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาพร้อมที่จะสู้จนตัวตาย
นับได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นต้นกล้าที่ดี
“หยุด!” หลังจากที่เฟิ่งมู่ชิงตัดสินใจได้แล้ว นางก็ตะโกนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะนางกลัวว่าหากช้ากว่านี้มันจะสายเกินไปและเขาจะถูกทุบตีจนตายไปเสียก่อน
พอชายชุดเขียวเห็นใครบางคนก้าวออกมายุ่งเรื่องของตน เขาก็รู้สึกโกรธมากยิ่งขึ้น “เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรมายุ่งเรื่องของข้า?”
“ข้าต้องการคนผู้นี้ เจ้าบอกราคามาเถอะ” หญิงสาวเหลือบมองขอทานที่เนื้อตัวมีแต่รอยแผลแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
โชคดีที่นางมาทันเวลา มิฉะนั้นต้นกล้าดี ๆ เช่นนี้คงตายไปอย่างน่าเสียดาย
“10,000 ตำลึง!” ชายชุดเขียวพูดด้วยความมั่นใจ
ในเมื่อมีคนอยากจะเป็นพระโพธิสัตว์มาโปรดคนอื่น ดังนั้นอีกฝ่ายก็ต้องเต็มใจที่จะถูกเอาเปรียบ มันจึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องเกรงใจเช่นกัน
ไม่นานเฟิ่งมู่ชิงก็หยิบตั๋วเงิน 10,000 ตำลึงออกมาแล้วโยนให้ฝ่ายที่เสนอราคาด้วยท่าทางสบาย ๆ เหมือนเงินจำนวนนี้เป็นเพียงเศษเงินเท่านั้น
ทางด้านชายชุดเขียวหยิบตั๋วเงิน 10,000 ตำลึงขึ้นมามองอย่างละเอียด จากนั้นเขาก็เหยียดยิ้มด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะจากไปเขายังไม่วายถุยน้ำลายใส่ขอทานเป็นการทิ้งท้าย
พอเหล่าชาวบ้านที่มามุงดูเห็นว่าตรงนี้ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นให้ชมอีกแล้ว พวกเขาก็พากันแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง
ในตอนที่เฟิ่งมู่ชิงเข้าไปหาขอทานผู้นั้น นางไม่ได้ยื่นมือออกไปช่วยเหลือเขาแบบที่คนใจดีคนอื่นทำ นางทำเพียงแค่ยืนมองเขานิ่ง ๆ
ส่วนชายที่มีเนื้อตัวมอมแมมเหมือนขอทานพยายามเงยหน้าขึ้นมองผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือตน ในขณะที่สายตาแน่วแน่ของเขามองเข้าไปในดวงตาอันสงบนิ่งของอีกฝ่าย
ยามนี้เขารู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งบนโลกไม่มีค่าอะไรในสายตาของเขาเลย สิ่งที่ยังคอยยึดเหนี่ยวเขาไว้ได้มีเพียง 2 สิ่งเท่านั้น แล้วคนคนนี้ก็เข้ามาเป็นแสงสว่างให้เขาได้สัมผัสความอบอุ่นอีกครั้ง
“เจ้ายินดีที่จะติดตามข้าหรือไม่?” เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยปากถาม
ขอทานน้อยตกใจมาก เขาจ้องตรงไปยังผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก่อนจะพยักหน้ารับ
“งั้นเจ้าก็ต้องยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวเอง”
คำพูดพวกนี้ถูกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่ามันกลับดังก้องอยู่ในหูของชายหนุ่ม เขารู้สึกว่านี่เป็นเสียงที่น่าฟังที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา
ในไม่ช้าเขาก็ใช้มือสั่นเทาของตัวเองพยุงตัวลุกขึ้นจนกระทั่งยืนหลังตรงอยู่ต่อหน้าเฟิ่งมู่ชิง ซึ่งท่าทางของเขานั้นไม่เหมือนกับขอทานทั่วไปเลย
“ตามข้ามา”
ทันทีที่หญิงสาวพูดจบ นางก็ออกเดินไปโดยมีขอทานเดินตามมาติด ๆ
เมื่อมาถึงประตูของจวนผู้สำเร็จราชการฯ ชายสภาพซอมซ่อก็หยุดเดินและถามขึ้นมาอย่างลังเลว่า “ทะ-ท่านให้ข้ายืมเงินหน่อยได้หรือไม่ ที่บ้านข้ามีพี่สาวที่กำลังป่วยรออยู่”
คำร้องขอของอีกคนทำให้เฟิ่งมู่ชิงชะงักค้างไป
ที่แท้เหตุผลที่เขาขโมยเงินของคนอื่นเป็นเพราะว่าเขาไม่มีเงินมารักษาอาการป่วยของพี่สาวตัวเอง
“โม่เยว่ เจ้าไปกับเขาด้วย”
“ขอบคุณนายท่าน!”
บัดนี้ดวงตาของขอทานเป็นประกายเจิดจ้า เขารีบโค้งคำนับขอบคุณผู้มีพระคุณของตนถึงแม้ว่าตัวเองจะรู้สึกเจ็บปวดมากก็ตาม จากนั้นโม่เยว่ก็รับเงินจากมือของเฟิ่งมู่ชิงก่อนจะติดตามอีกฝ่ายไปทันที
ไม่นานแผ่นหลังของทั้งสองคนก็ค่อย ๆ ห่างออกไป เมื่อพวกเขาหายลับไปจากสายตาแล้ว หญิงสาวก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในจวน