บทที่ 19: เจ้าสามารถเลือกตำราในจวนไปได้เลย
“มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่ควรให้ค่าแก่การพูดถึง” อวี้ชิงเฟิงยกยิ้มมุมปาก “วันนี้ชิงเฟิงออกมาเพื่อลองเสี่ยงโชค แต่ไม่คาดคิดว่าจะโชคดีได้พบกับพระชายา ท่านรู้หรือไม่ว่าในอีกครึ่งเดือนข้างหน้าจะเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮองเฮา ชิงเฟิงจึงอยากจะมาเตือนท่านให้ระวังตัวด้วย”
พอเฟิ่งมู่ชิงได้ยินคำพูดของเขา นางก็ขมวดคิ้วมองสำรวจชายตรงหน้าตนอีกครั้ง
ส่วนชายหนุ่มที่ได้เห็นท่าทางของหญิงสาว เขาก็คาดเดาเกี่ยวกับสิ่งที่นางคิดแล้วรีบอธิบายว่า “ชิงเฟิงเป็นตัวประกันจากหนานเยว่ก็จริงอยู่ แต่ว่าชิงเฟิงก็ได้รับอนุญาตให้เข้าออกวังหลวงได้ตามใจชอบ ที่ชิงเฟิงมาแจ้งข่าวพระชายาเป็นเพราะชิงเฟิงได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักเฟิ่งอี๋แล้ว”
ทว่าเฟิ่งมู่ชิงก็ยังคงรู้สึกสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามปกติแล้วตัวประกันต่างแคว้นจะสามารถเข้าออกเขตวังหลวงได้โดยอิสระอย่างนั้นหรือ?
“เนื่องจากว่าชิงเฟิงอาศัยอยู่ในเป่ยอี้มากว่า 17 ปีแล้ว จักรพรรดิแห่งเป่ยอี้ผู้ล่วงลับได้ทรงอนุญาตให้ชิงเฟิงเข้าออกจากวังหลวงได้อย่างอิสระ”
แม้ได้รับคำอธิบายแล้วแต่หญิงสาวก็ยังสงสัยอยู่ไม่น้อย ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกขอบคุณสำหรับน้ำใจที่ชายหนุ่มตรงหน้ามอบให้มากกว่า
“ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของคุณชายอวี้ที่แวะมาแจ้งข่าวข้าวันนี้ เอาเป็นว่าข้าจะเลี้ยงอาหารมื้อนี้เป็นการตอบแทนท่านก็แล้วกัน ข้าขอตัวกลับก่อน เชิญท่านทานได้ตามสบายเลย” เฟิ่งมู่ชิงยืนขึ้นเพื่อกล่าวคำอำลา พร้อมกับหยิบเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะ
“พระชายาอย่ามองชิงเฟิงว่าเป็นคนอื่นเลย แม้ว่าชิงเฟิงจะเป็นตัวประกัน แต่อาหารเพียงมื้อเดียวชิงเฟิงก็สามารถจ่ายเองได้” อวี้ชิงเฟิงกล่าวพลางมองแท่งเงินขนาดใหญ่บนโต๊ะแบบเกรงใจ
เมื่อหญิงสาวเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะผลักแท่งเงินกลับ นางก็ทำหน้าตึงแล้วพูดเสียงเรียบว่า “อะไรกัน นี่คุณชายอวี้กำลังดูถูกข้าอย่างนั้นหรือ?”
คำพูดของนางทำให้อวี้ชิงเฟิงที่กำลังเอื้อมมือออกไปหมายจะผลักแท่งเงินชะงักค้างอยู่กับที่
ถัดมา เขาถอนมือตัวเองออกก่อนจะพูดว่า “เช่นนั้นชิงเฟิงก็ขอไม่เกรงใจ ชิงเฟิงจะถือว่านี่เป็นการผูกมิตรกับพระชายาก็แล้วกัน”
“ดีมาก”
เฟิ่งมู่ชิงพยักหน้าพึงพอใจ จากนั้นนางก็หันหลังเดินออกจากห้องส่วนตัวไปทันที ในเวลาเดียวกัน พอโม่เยว่เห็นผู้เป็นนายเดินออกไปแล้ว นางจึงหันไปส่งสายตาเตือนชายหนุ่มที่เป็นตัวประกันต่างแคว้น
ทันทีที่อวี้ชิงเฟิงเห็นร่างของพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ หายลับไป เขาก็ถอนสายตาออกมาก่อนจะก้มลงมองแท่งเงินในมือ ในขณะที่ดวงตาของเขาเป็นประกายอย่างมีความสุข
วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีมากจริง ๆ
หลังจากที่เฟิ่งมู่ชิงกลับมาถึงจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน นางก็ตรงไปอ่านตำราที่ห้องเก็บตำราแบบไม่รีรอ
เนื่องจากขาของจวินหรูเย่ใช้การไม่ได้ เขาจึงไม่ต้องไปเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรง งานสำคัญต่าง ๆ จะถูกส่งตรงไปยังห้องเก็บตำราในจวนของเขาแทน ดังนั้นในขณะนี้เขาจะต้องอยู่ในห้องเก็บตำราแน่นอน
แล้วก็เป็นดังที่หญิงสาวคาดไว้ ปัจจุบันจวินหรูเย่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องเก็บตำราเพื่อสะสางงานของตัวเองอย่างแข็งขัน
“ทำไมเจ้าถึงแต่งตัวแบบนี้ล่ะ?”
ชายหนุ่มเพิ่งเคยได้เห็นเฟิ่งมู่ชิงในชุดผู้ชายเป็นครั้งแรก เขาจึงมองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงที่งดงามพออยู่ในเสื้อผ้าของผู้ชายจะดูดีได้ถึงเพียงนี้ นี่เขาค้นพบสมบัติล้ำค่าเข้าแล้วใช่หรือไม่?
หลังจากที่เฟิ่งมู่ชิงได้ยินคำถามของสามีหนุ่ม นางก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเร่งรีบมาที่นี่จนไม่มีเวลากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ แต่พอนึกย้อนกลับไปว่าการเดินทางเข้ามาในจวนนั้นราบรื่นเพียงใด นางก็รู้สึกขอบคุณคนรับใช้ในจวนผู้สำเร็จราชการฯ ที่จดจำนางได้จึงไม่ได้เข้ามาขวางจนทำให้เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต
แต่ในตอนนั้นหญิงสาวไม่ได้ตระหนักเลยว่าทุกคนจำนางได้เพราะหน้ากากลายดอกไม้บนใบหน้าที่พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ สวมใส่เอาไว้ตลอดเวลาจนทุกคนเห็นเป็นภาพชินตา ตราบใดที่นางสวมใส่หน้ากากเอาไว้ ทุกคนก็จะรู้ได้ทันทีว่านางเป็นใคร
แล้วเหตุผลเบื้องหลังอีกอย่างหนึ่งก็คือ นายท่านของพวกเขาเป็นคนออกแบบลวดลายบนหน้ากากนี้เองกับมือ จากนั้นก็ไปตามหาช่างฝีมือมาหลอมมันขึ้นมา หน้ากากอันงดงามนี้จึงเป็นหน้ากากที่มีเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวบนโลก
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก ท่านให้คนไปตรวจสอบหน่อยว่าวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮองเฮาที่จะจัดขึ้นในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า ในวันนั้นนางวางแผนจะทำอะไรหรือไม่” เฟิ่งมู่ชิงโบกมือแบบไม่ใส่ใจแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน
คำพูดเหล่านี้ทำให้มือของจวินหรูเย่ชะงักค้างระหว่างที่กำลังจะจรดเขียนอักษรจนหมึกจากปลายพู่กันหยดลงบนกระดาษ
จากนั้นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็รีบวางพู่กันลงและสั่งว่า “โม่อิ๋ง ไปบอกให้อ้านอีไปสืบเรื่องนี้มา”
นอกจากโม่อิ๋งที่ติดสอยห้อยตามชายหนุ่มไปไหนมาไหนตลอดเวลาแล้ว ยังมีอ้านอีที่เป็นลูกน้องคนสนิทซึ่งคอยติดตามเขาอยู่ท่ามกลางองครักษ์เงามากมายอีกด้วย
“ชิงชิง เจ้าไปรู้เรื่องนี้มาได้อย่างไร?” จวินหรูเย่เป็นคนที่คิดอะไรรอบคอบเสมอ เขาจึงกังวลว่าจะมีคนพยายามวางกับดักภรรยาสาวของตน
มิหนำซ้ำตัวเขายังไม่ได้รับข่าวอะไรเลย แล้วชิงชิงที่ไม่มีกำลังคนแฝงอยู่ในวังจะไปรู้ข่าวนี้มาจากที่ไหนกัน เขากลัวว่าจะมีคนจงใจแจ้งข่าวนี้ให้แก่นางโดยเจตนา
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ตัดสินใจที่จะบอกเขาไปตามตรงว่า “อวี้ชิงเฟิงเป็นคนบอกข้า”
อวี้ชิงเฟิง?
จวินหรูเย่อดไม่ได้ที่จะนึกถึงชายหน้าหยกคนนั้น แต่นอกเหนือจากใบหน้าของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกประทับใจอะไรในตัวคนผู้นี้มากนัก
เขารู้เพียงว่าอวี้ชิงเฟิงถูกแคว้นหนานเยว่ส่งมาเป็นตัวประกันตั้งแต่อายุเพียง 1 ปี ทว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเอ็นดูชายคนนี้มาก ดังนั้นเขาจึงได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเหมือนเชื้อพระวงศ์ทุกคน
แต่อีกฝ่ายไปรู้จักมักจี่กับชิงชิงตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ในวันสมรสของเรา เฟิ่งหวานหว่านส่งคนไปลอบทำร้ายข้าที่ชานเมือง แต่โชคดีที่ระหว่างทางข้าได้พบกับอวี้ชิงเฟิง เขาเป็นคนมาส่งข้าที่จวนผู้สำเร็จราชการฯ ได้ทันกาลที่จะเปิดโปงคนหลอกลวงพวกนั้น” เฟิ่งมู่ชิงอธิบายออกมาแบบไม่รู้ตัวราวกับว่านางกลัวจวินหรูเย่จะเข้าใจตนกับบุรุษต่างแคว้นผิด
คำอธิบายพวกนี้เป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของคนที่ได้ฟัง ซึ่งมันช่วยชะล้างความหดหู่ใจของเขาไปจนสิ้น พลันสายตาที่เขาใช้มองภรรยาสาวก็เป็นประกายระยิบ
แต่สายตานั้นกลับทำให้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกทำตัวไม่ถูก นางกระแอมไอสองสามครั้งเพื่อเรียกสติของผู้เป็นสามี จากนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องพูด “ถึงอย่างไรตอนนี้เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าเลยตัดสินใจว่าจะพยายามฝึกฝนให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองมากขนาดนั้น” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จวินหรูเย่ก็กลับมารู้สึกเป็นกังวลอีกครั้ง
เดิมทีตัวเขามีกองทัพองครักษ์เงาที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ในมือ หากมีเรื่องเกิดขึ้นจริง ๆ แม้แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ของเป่ยอี้เขาก็สามารถยกให้คนอื่นที่เหมาะสมแทนได้
“ตอนนี้เรามีศัตรูอยู่รอบด้าน ยิ่งเรามีแต้มต่อในมือมากกว่าเท่าไหร่ อัตราที่เราจะชนะมันก็ยิ่งมีสูงขึ้นเท่านั้น”
ทันใดนั้นความมุ่งมั่นในดวงตาของเฟิ่งมู่ชิงได้ส่งตรงเข้าไปถึงหัวใจของจวินหรูเย่อย่างจัง ในไม่ช้าเขาก็ตอบรับเสียงหนักแน่นว่า
“เป็นความคิดที่ดี”
ช่างเถอะ ปล่อยให้นางได้ทำตามใจไปก่อน ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ตาม ข้าจะพยายามปกป้องนางสุดความสามารถ
“เอ่อ… เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของเรา ข้ามีบางอย่างจะต้องขอความเห็นจากท่าน” หญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจพลางชำเลืองตามองคนที่นั่งอยู่บนรถเข็น
“เจ้าบอกข้ามาได้เลย”
“ในช่วงเริ่มต้นของการสร้างกองกำลังของตัวเองมันมีอุปสรรคอยู่มากมาย ข้าจึงอยากจะขอยืมตำราวิชายุทธของท่านมาใช้เป็นการชั่วคราวได้หรือไม่ แต่ท่านไม่ต้องกังวลนะ ข้าอยากจะยืมแค่ตำราวิชายุทธระดับธุลีเท่านั้น”
จวินหรูเย่นิ่งคิดไปชั่วครู่ ในขณะที่เขาเผลอใช้นิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะโดยไม่รู้ตัว แต่นั่นมันกลับสร้างความกดดันอันใหญ่หลวงให้แก่ผู้ที่ร้องขอ
แม้ว่าในโลกนี้ผู้คนจะมีพลังวิญญาณ แต่ตำราวิชายุทธนั้นหาได้ยากมาก ซึ่งคำขอที่หญิงสาวเอ่ยปากออกมาจึงนับได้ว่าเป็นการขอมากไปเสียหน่อย นางได้เผื่อใจไว้ส่วนหนึ่งแล้วว่าตนจะต้องถูกปฏิเสธ ในตอนนั้นนางก็แค่จะต้องถ่ายทอดวิชาความรู้ของตัวเองให้กับมือใหม่ พอคนพวกนี้แข็งแกร่งขึ้น นางก็ค่อยไปหาตำราวิชายุทธมาเพิ่ม
ในขณะเดียวกัน จวินหรูเย่ที่จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองไม่ได้รับรู้เลยว่าเฟิ่งมู่ชิงได้คิดถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว ไม่กี่อึดใจต่อมา เขาก็พยักหน้าพร้อมพูดว่า “เจ้าสามารถเลือกตำราในจวนไปได้เลย”
ตำราวิชายุทธระดับธุลีในจวนผู้สำเร็จราชการฯ ไม่ได้ขาดแคลนแม้แต่น้อย ต่อให้พระชายาของเขาจะอยากได้ตำราวิชายุทธระดับสวรรค์และระดับปฐพี เขาก็สามารถตอบรับได้โดยไม่รู้สึกเสียดายอะไร
คำตอบของชายหนุ่มทำให้เฟิ่งมู่ชิงเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่รอยยิ้มสว่างไสวจะปรากฏขึ้นบนดวงหน้าสวย
เขาเป็นคนใจกว้างมากจริง ๆ สมแล้วที่เขาเป็นใหญ่เป็นโตได้เหมือนทุกวันนี้
หลังจากที่แก้ไขปัญหาเรื่องตำราที่จะนำมาสอนคนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งมู่ชิงก็หันหลังเดินออกจากห้องเก็บตำราไปเพราะถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ต้องมานั่งกังวลเกี่ยวกับหอหงโหลวต่ออีก ดังนั้นนางจะมามัวเสียเวลายินดีกับความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้
ทางด้านจวินหรูเย่ เขามองตามหลังภรรยาสาวของตนไปจนลับสายตาด้วยสีหน้าหนักใจ แล้วเขาก็ทำได้เพียงทอดถอนหายใจพลางปลอบตัวเองว่า อย่างน้อยในยามที่นางประสบปัญหา เขาก็เป็นคนแรกที่นางนึกถึง ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าท้ายที่สุดตัวตนของเขาในใจของนางก็ยังคงเหนือกว่าคนอื่น
แต่ว่าเรื่องของอวี้ชิงเฟิง…
เมื่อเขานึกถึงหนุ่มรูปงามคนนั้น เขาก็หันไปสั่งเสียงเฉียบขาด
“โม่อิ๋ง เจ้าไปสอบถามข้อมูลจากน้องสาวของเจ้ามาหน่อย”
ก่อนหน้านี้เขาได้มอบโม่เยว่ให้กับเฟิ่งมู่ชิงไปแล้ว นั่นหมายความว่าตอนนี้นางจะต้องจงรักภักดีกับเจ้านายของตัวเอง ไม่ว่านางจะได้พบเห็นหรือได้ยินเรื่องอะไรมาก็ตาม นางจะต้องไม่บอกเรื่องนี้กับใครโดยง่าย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงส่งโม่อิ๋งที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนางไปหลอกถามข้อมูลมาแทน
คำสั่งที่เพิ่งได้รับนั้นทำให้โม่อิ๋งรู้สึกกระดากอาย เขารู้ว่านายท่านของเขาปฏิบัติต่อพระชายาแตกต่างจากคนอื่น แล้วเวลานี้ยังมีอวี้ชิงเฟิงปรากฏตัวขึ้นมาอีก เขากลัวว่าเจ้านายจะพลาดท่าเนื่องจากใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
แต่ด้วยหน้าที่ของเขา ชายหนุ่มเลยทำได้เพียงแค่ตอบรับก่อนจะรีบออกไปหาโม่เยว่
“ขอรับ”
เวลาเดียวกัน ปัจจุบันเฟิ่งมู่ชิงกลับมายังที่พักของตัวเองแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางก็ขังตัวเองไว้ในห้องเพื่อศึกษาหาวิธีการปรับปรุงหอหงโหลว อีกทั้งยังคิดวิธีการที่จะฝึกนางคณิกาพวกนั้นด้วย
ส่วนโม่เยว่ นางคอยคุ้มกันอยู่ด้านนอกตามคำสั่งของผู้เป็นนายและคอยหันไปมองประตูที่ปิดสนิทอยู่เป็นครั้งคราว
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: คุณชายอวี้จะไว้ใจได้หรือเปล่านะ