CD บทที่ 465 สิ่งนั้น!
เมื่อเขานำเสี่ยวเจิ้นมาวิเคราะห์กับรูปคดี เขาก็พบข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวเสี่ยวเจิ้นหลากหลายประการ
‘เขาเป็นฆาตกรหรือผู้สมรู้ร่วมคิดกันแน่!?’
จ้าวหยู่นึกขึ้นได้ว่าในขณะที่เขากำลังสืบสวนที่บ้านของเฟิงกั๋วในวันนี้ เขาไม่เจอตัวเสี่ยวเจิ้น นั่นทำให้เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลของชายคนนี้
เสี่ยวเจิ้นเป็นน้องชายต่างสายเลือดของเฟิงกั๋ว ซึ่งอายุน้อยกว่าเฟิงกั๋วสองปี ไม่เพียงแต่เฟิงกั๋วจะดูดีเท่านั้น พรสวรรค์ในการแกะสลักไม้ของเขายังได้รับความชื่นชมจากพ่อของเสี่ยวเจิ้นอีกด้วย
‘การมีพี่ชายแบบนี้ ไม่แปลกที่เสี่ยวเจิ้นจะอิจฉา แต่มันจะมากพอที่จะทำให้เขาก่อเหตุฆาตกรรมและใส่ร้ายเฟิงกั๋วรึเปล่านะ?’
‘ถ้าฉันเป็นเขา จู่ ๆ วันหนึ่งก็มีแม่เลี้ยงเป็นนักแสดงที่สวยงาม เธอได้พาพี่ชายต่างสายเลือดเข้ามาอาศัยร่วมบ้านเดียวกับเขา ไม่มีทางที่เขาจะยอมรับมันได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน’
‘ถ้าเขาจัดฉากใส่ร้ายเฟิงกั๋วในข้อหาฆาตกรรม มันจะช่วยปกป้องสถานะของเขาในครอบครัวได้ มีไม่กี่คนหรอกที่สามารถซ่อนอาวุธไว้ในห้องนอนของเฟิงกั๋วได้อย่างง่ายดาย การที่เสี่ยวเจิ้นซึ่งเป็น ‘คนในบ้าน’ ด้วยแล้ว เขาสามารถทำได้อย่างง่ายดายไม่ใช่เหรอ?’
‘จุดที่สำคัญที่สุดคือตอนที่หลิวเจียวใกล้จะเสียชีวิต และทิ้งรอยเลือดเอาไว้สองขีด เป็นไปได้ไหมว่าเธอกำลังเขียนคำว่า ‘เสี่ยว’
การเขียนสองขีดนี้ มันสามารถเป็นคำว่า ‘เสี่ยว’ ได้ เนื่องจากต้องขีดเส้นแนวตั้งเพื่อเขียนมัน หากใครเขียนมันแบบสบาย ๆ มันคงจะไม่เรีบกว่าไดอิ้งแมสเสจหรอก’
‘เป็นไปได้ไหมว่า… คนร้ายที่ฆ่าหลิวเจียวและใส่ร้ายเฟิงกั๋วในข้อหาฆาตกรรม นั่นก็คือเสี่ยวเจิ้น’
จ้าวหยู่มองดูชื่อของเสี่ยวเจิ้นอยู่นานมาก เขาเริ่มไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ของข้อสันนิษฐานนี้ แต่เมื่อรวมกับข้อมูลบางอย่างแล้ว จ้าวหยู่ก็รีบปัดข้อสันนิษฐานนี้ทิ้งไป
ประการแรก ตามคำบอกเล่าของเสี่ยวกั๋วเฟิง เฟิงกั๋วและเสี่ยวเจิ้นค่อนข้างสนิทกัน ย้อนกลับไปตอนที่พวกเขาเริ่มอาศัยอยู่ร่วมกัน เฟิงกั๋วอายุสิบสามปีและเสี่ยวเจิ้นอายุสิบเอ็ดปี พวกเขาสองคนไม่ใช่เด็กอีกต่อไป นอกจากนี้ อายุยังใกล้กันและพวกเขากลายเป็นเพื่อนเล่นและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ว่ากันว่าเสี่ยวเจิ้นเต็มใจมอบห้องบนชั้นสองให้กับเฟิงกัว และเฟิงกั๋วก็ช่วยเสี่ยวเจิ้นทำการบ้านมาโดยตลอด นอกจากนี้ พวกเขาสองคนมีงานอดิเรกที่คล้ายกัน เนื่องจากทั้งคู่ชอบแกะสลักไม้เป็นพิเศษ พวกเขามักจะไปโรงงานไม้ของครอบครัวด้วยกันเพื่อทำงานแกะสลัก
แม้ว่าเสี่ยวเจิ้นจะไม่มีความสามารถเท่าเฟิงกั๋ว แต่เขาก็มีศักยภาพเช่นกัน ในท้ายที่สุด หลังจากที่เสี่ยวเจิ้นเรียนจบมัธยมปลาย เขาก็กลับมาช่วยงานในโรงงานไม้ของพ่อ และเขาก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านการแกะสลักไม้ตามแนวทางของเขาเอง
นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่เสี่ยวเจิ้นจะใกล้ชิดกับเฟิงกั๋วเท่านั้น แต่เขายังใกล้ชิดกับเฟิงหลิน แม่เลี้ยงของเขาด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยมีความขัดแย้งใด ๆ ดังนั้นแล้ว เสี่ยวเจิ้นดูเหมือนจะไม่มีแรงจูงใจใด ๆ ที่จะฆ่าหลิวเจียวและใส่ร้ายเฟิงกั๋วเลย
และจุดที่สำคัญที่สุดก็คือเสี่ยวเจิ้นมีหลักฐานที่อยู่ที่ชัดเจน ในวันที่หลิวเจียวถูกฆาตกรรม เสี่ยวเจิ้นและพ่อของเขา เสี่ยวกั๋วเฟิงกำลังส่งสินค้าไปยังหลิงหยุน และพวกเขาก็กลับบ้านตอนประมาณห้าทุ่ม
นอกจากนั้น ตามคำให้การของเสี่ยวเจิ้นในรายงาน เสี่ยวเจิ้นไม่เคยพบหลิวเจียวมาก่อน เขาไม่รู้จักหลิวเจียวด้วยซ้ำ ซึ่งในที่เกิดเหตุ หลักฐานแวดล้อมได้ชี้ชัดว่าคนที่ก่ออาชญากรรมคือคนที่เธอรู้จัก
นอกจากนี้ แม้ว่าเสี่ยวเจิ้นจะมีเรื่องขัดแย้งกับเฟิงกั๋วจริง ๆ แต่ทำไมเขาไม่ไปลงที่เฟิงกั๋ว แต่กลับไปลงที่หลิวเจียวแทน จากจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ความเป็นไปได้ของเสี่ยวเจิ้นที่จะเป็นฆาตกรจึงลดน้อยลงไปอีก
‘ถ้าอย่างนั้น… ถ้าเซียวเจินไม่ใช่ฆาตกร เขาอาจจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดได้มั้ยนะ?’
จากนั้น จู่ ๆ จ้าวหยู่ก็นึกถึงสิ่งที่เสี่ยวกั๋วเฟิงพูดว่า
‘แม้ว่าใครบางคนจะสนิทกับเฟิงกั๋ว แต่ก็ไม่มากพอที่เขาจะช่วยเฟิงกั๋วแหกคุก’
นั่นทำให้จ้าวหยู่นึกบางอย่างออก
‘ใครจะยอมเสี่ยงติดคุกเพื่อช่วยเฟิงกั๋ว?’
ตามความเข้าใจของจ้าวหยู่มีคนเพียงสองประเภทเท่านั้นที่จะยอมทำอะไรแบบนั้น หนึ่งก็คือเป็นพี่น้องร่วมสาบานตายแทนกันได้ สองก็คือ พี่น้องร่วมสายเลือด
จากนิสัยของเฟิงกั๋วและสถานะของเขา เขาคงไม่มีเพื่อนตายมากนัก ดังนั้นคนที่จะช่วยให้เขาหลุดออกจากคุกน่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของเขา
จากนั้นเขาก็มองไปที่เสี่ยวเจิ้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือด แต่ทั้งสองคนก็เป็นพี่น้องกันมานานหลายปีแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะต้องไม่ธรรมดา
‘ถ้างั้น… ผู้สมรู้ร่วมคิดของเฟิงกั๋วจะเป็นเสี่ยวเจิ้นจริง ๆ ใช่มั้ย?’
ถ้าเขาคิดถูก มันก็หมายความว่าเสี่ยวเจิ้นเป็นผู้ลักพาตัวลูกสาวของหลันซู่ผิง
‘แล้วเขาจะรู้ไหมว่าตัวประกันถูกจับไปอยู่ที่ไหน?’
จากนั้น จ้าวหยู่ก็ตรวจดูรายชื่อผู้มาเยี่ยมของเฟิงกั๋วอย่างรวดเร็ว ตามที่คาดไว้ มีบันทึกมากมายเกี่ยวกับการมาเยี่ยมของเสี่ยวเจิ้น
“อืม…”
เมื่อดูรายชื่อแล้ว จ้าวหยู่ก็รู้สึกว่าข้อสันนิษฐานของเขาสมเหตุสมผล ดูเหมือนว่า… ต่อไปเขาต้องให้ความสนใจกับเสี่ยวเจิ้นอย่างใกล้ชิด
แต่ทว่า ในระหว่างที่จ้าวหยู่กำลังตรวจสอบเสี่ยวเจิ้น เสี่ยวหลิวจากทีม B ก็เดินเข้าประตูไปทันที
“หัวหน้าทีมจ้าวครับ หัวหน้าทีมจ้าวครับ!” เสี่ยวหลิวเดินไปหาจ้าวหยู่พร้อมกับถือโทรศัพท์มือถือและพูดว่า "หัวหน้าทีมเหมาอยากให้คุณดูสิ่งนี้ครับ!"
"อะไรเหรอ?" จ้าวหยู่ถาม
“เราได้นำภาพจากผู้ปกครองที่กำลังถ่ายรูปเซลฟี่ตรงหน้าโรงเรียนสอนศิลปะที่อยู่ในกล้องวงจรปิดมาแล้วครับ!” เสี่ยวหลิวกล่าว “เธอบอกว่าเมื่อวานนี้เป็นวันแรกที่ลูกชายของเขาเข้าโรงเรียนสอนศิลปะ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงถ่ายรูปเซลฟี่ไว้เป็นความทรงจำ นอกจากนี้ เธอยังถ่ายวิดีโอด้วยครับ
แต่… หลังจากตรวจสอบแล้ว เราไม่พบลูกสาวของหลันซู่ผิงในบริเวณนั้นเลย ดูเหมือนว่าช่วงเวลาลักพาตัวจริง ๆ จะคลาดเคลื่อน ทำให้แนวทางการสืบสวนของเราอาจจะพลาดไป!”
"เข้าใจแล้ว!" จ้าวหยู่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดว่า “รีบ ๆ ส่งมาให้ฉันดูเร็วเข้า!”
"ได้ครับ!" เสี่ยวหลิวส่งโทรศัพท์ให้จ้าวหยู่ แล้วหันหลังกลับเพื่อจะจากไป
จ้าวหยู่หันกลับไปเพื่อส่งโทรศัพท์ให้หลี่เบ่ยหนีซึ่งต่อเข้ากับโปรเจ็กเตอร์ และให้ทุกคนรับชมจากจอภาพขนาดใหญ่
อย่างที่เสี่ยวหลิวกล่าวไว้ แม้ว่าภาพบนโทรศัพท์ของผู้ปกครองจะละเอียด แต่ก็น่าเสียดายที่จังหวะเวลาไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่มีร่องรอยของลูกสาวของหลันซู่ผิงในภาพถ่าย
ตามคำให้การของหลันซู่ผิง ลูกสาวของเขาสวมเสื้อสีขาวและกระโปรงสีแดง และแบกกระดานวาดภาพไว้บนหลัง แต่ทุกคนมองไปทุกมุมของภาพถ่าย แต่ก็ไม่พบเด็กหญิงที่ตรงตามลักษณะเหล่านี้เลย
ต่อมาแม่เจ้าของโทรศัพท์ได้ส่งมือถือให้เพื่อนของเธอ ในวิดีโอ เธอไม่เพียงแต่จับภาพทางเข้าโรงเรียนเท่านั้น แต่เธอยังหันหน้าไปทางทางเข้าอีกด้วย แต่ยังไม่พบร่องรอยของเด็กหญิงเลย
ดูเหมือนว่าเวลาจะไม่ถูกต้อง บางทีตอนที่พ่อแม่ผู้หญิงกำลังถ่ายรูป ผู้ลักพาตัวยังไม่ได้ดำเนินการ หรือการลักพาตัวได้เกิดขึ้นไปแล้ว!
“อืม เดี๋ยวก่อนนะคะ…” จู่ ๆ หลี่เบ่ยหนีก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ เธอรีบพิมพ์บนคีย์บอร์ด หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เงยหน้าขึ้นและบอก จ้าวหยู่และทุกคนว่า
“ฉันได้ลองเปรียบเทียบวิดีโอที่ตัวประกันเข้าไปในจุดบอดดูค่ะ ตามความเร็วในการเดินของตัวประกัน… เอ๋? นั่นไม่สมเหตุสมผล…”
"ทำไมล่ะ?" จ้าวหยู่ถาม
“ผู้หญิงคนนี้ใช้เวลาสามนาทีในการถ่ายภาพ ตรงนาทีที่สอง เธอกำลังถ่ายรูป และตัวประกันก็เข้าไปในจุดบอดแล้วค่ะ!” หลี่เบ่ยหนีกล่าวอย่างเคร่งขรึม “กล่าวคือ ในช่วงเวลาดังกล่าวตัวประกันจะไม่ปรากฏในภาพถ่าย แต่ถ้าอย่างนั้น เด็กคนนั้นไปไหนล่ะคะ!?”
"จริงเหรอ?" คิ้วของจ้าวหยู่ขมวดแน่น เขาคลิกที่ปุ่มเล่นอีกครั้ง และเล่นภาพซ้ำบนหน้าจอ นักสืบคนอื่น ๆ ก็เบิกตากว้างเพื่อมองอย่างละเอียดรอบคอบ
แต่หลังจากมองหามาสักระยะหนึ่งก็ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ หลี่เบ่ยหนีได้ลองคำนวณบนกระดาษด้วยปากกา และบอกกับจ้าวหยู่ว่า
"หัวหน้าทีมคะ ฉันได้ลองคำนวณดูแล้ว ตามความเร็วปกติ เวลาที่เด็กหญิงควรปรากฏบนภาพถ่ายควรเป็นเวลาที่ผู้ปกครองที่เป็นผู้หญิงถ่ายวิดีโอค่ะ!”
"โอ้ เข้าใจแล้ว!" จ้าวหยู่เล่นวิดีโออย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทุกคนได้ดู เขาจึงปรับความเร็วในการเล่นให้ช้าที่สุด มันแทบจะเหมือนการนำภาพมาต่อกับภาพ
ทุกคนดูวิดีโออย่างระมัดระวัง และพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตาแม้แต่นอดเดียว ในท้ายที่สุด เมื่อวิดีโอเล่นมาถึงสิบห้าวินาที ในที่สุด จ้าวหยู่ก็ค้นพบบางสิ่งบางอย่าง และเขาก็คลิกปุ่มหยุดชั่วคราวอย่างรวดเร็วเพื่อหยุดวิดีโอ
จากนั้น เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างมากต่อหน้าโปรเจ็กเตอร์ และชี้ไปที่มุมขวาบนแล้วพูดว่า
“นี่… สิ่งนี้… ฉันคิดว่าฉันเคยเห็นมันที่ไหนสักแห่งมาก่อน!”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น พวกเขามองไปยังทิศทางที่จ้าวหยู่ชี้ไป เขากำลังชี้ไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่สูงและหันหลังให้กล้อง
“รุ่นพี่ นั่นคือผู้หญิงไม่ใช่เหรอคะ? เธอมีอะไรผิดปกติรึเปล่าคะ?” หลี่เบ่ยหนีถามด้วยความสับสน
“ไม่ใช่คน! แต่เป็นสิ่งนั้น!” จ้าวหยู่ชี้ไปที่จอภาพแล้วพูดว่า “ดูสิ ผ้าพันคอที่ผู้หญิงคนนั้นสวม ฉัน… ฉันแน่ใจว่าฉันเคยเห็นผ้าพันคอผืนนั้นมาก่อน! ฉันคิดว่าฉันเพิ่งเห็นเมื่อไม่นานมานี้….”
"อะไรนะ? ผ้าพันคอ?”
ทุกคนมองอีกครั้ง และบนคอของผู้หญิงคนนั้นก็มีผ้าพันคอจริง ๆ
"ขยายเข้า! ซูมเข้าไปให้ใหญ่ขึ้น!” จ้าวหยู่สั่ง
หลี่เบ่ยหนีรีบไปที่ด้านหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อแตะปุ่มซูมเข้า และซูมไปทางผ้าพันคอ
"นี่คืออะไร?" จางจิงเฟิงอยู่ใกล้กับจอภาพมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่เห็นและอุทานว่า “ลายบนผ้าพันคอคือดอกทานตะวันใช่มั้ย?”
"อะไรนะ!? ดอกทานตะวัน!?“จ้าวหยู่ตกใจ นิ้วของเขาสั่นเทาขณะที่เขาพูดว่า”ฉัน... ฉันจำได้ ฉันจำได้แล้ว… ฉันเคยเห็นมันที่ไหน!”
“ที่ไหนเหรอคะ!? รุ่นพี่” หลี่เบ่ยหนีถามอีกครั้ง
“หลัน… ในบ้านหลันซู่ผิง!” จ้าวหยู่ขมวดคิ้วและนึกถึง “ใช่แล้ว มันอยู่ในบ้านของเขา!”