บทที่ 558: วิญญาณสังสารวัฏ เมืองของผู้ตาย!
“เฮอะ!”
ถังเจิ้นแค่นเสียงเย็นชาใส่ไอ้เจ้าผีร้ายที่ตัวซีดเป็นไก่ต้มทำเอามันสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจกลัว
ตอนนี้สภาพมันเสื่อมลงอย่างมากเนื่องจากวันเวลาที่ผันผ่านไปนับปีไม่ถ้วน แล้วจู่ ๆ ก็ต้องมาเจอกับผู้แข็งแกร่งขนาดที่สามารถเข้ามายังโลกกระจกด้วยกายเนื้อ และด้วยตนเองที่ตกอยู่ในสภาพอ่อนแอสุดขีดขนาดนี้ทำให้อีกฝ่ายคือผู้ที่จะฆ่าตนอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น
ภายใต้พลังกดขี่ของถังเจิ้นทำให้เจ้าผีร้ายจวนจะดับสลายหายไปแล้ว
“มึงเป็นใคร ตอบความจริงมาซะ” ถังเจิ้นถามมันที่กำลังหวาดกลัวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ขะ... ข้าเป็น... ผู้พิทักษ์ที่นี่”
ผีร้ายที่กลายร่างเป็นนักเดินทางตอบพร้อมกับที่ใบหน้ามันค่อย ๆ กลายเป็นกระจก แล้วร่างกายก็เปลี่ยนเป็นร่างวิญญาณที่ลอยอยู่กลางอากาศได้
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือใบหน้าในกระจกของมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางครั้งก็กลายเป็นผู้ชาย บางครั้งก็กลายเป็นผู้หญิง และเสียงมันก็แปลก ๆ อีก
“ผู้พิทักษ์เหรอ คอยพิทักษ์โลกในกระจกเนี่ยอะนะ? แล้วหน้าที่หลัก ๆ คืออะไร?” ถังเจิ้นมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบก่อนจะถามอย่างสงสัย
“สร้างความสับสนให้กับวิญญาณที่เข้ามาที่นี่ ประคองสภาพของวิญญาณเหล่านั้นให้อยู่ในสภาวะหวาดกลัวตลอดเวลาแล้วใช้โอกาสนี้รวบรวมพลังของดวงวิญญาณที่สูญเสียไปเอามารักษาโลกกระจกนี้”
“ฆ่าไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ ทำไมต้องลำบากลำบนขนาดนั้นด้วย”
“นั่นไม่ดี เพราะจะได้พลังของดวงวิญญาณเพียงแค่ครั้งเดียวแถมยังได้น้อยด้วย
แต่หากทำให้พวกนั้นตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาล่ะก็ดวงวิญญาณจะปลดปล่อยพลังออกมาตลอดเวลา อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้นซึ่งให้ผลกำไรที่มากขึ้นตามไปด้วย!”
เมื่อเห็นว่าไอ้เจ้ายามกระจกนี่ตอบคำถามอย่างมีความสุขถังเจิ้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“แล้วถ้าได้พลังงานของวิญญาณมาเพียงพอแล้วจะใช้มันเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของโลกกระจกนี้ได้มั้ย”
“ได้ เปลี่ยนแปลงได้หมดเท่าที่ต้องการเลย เพียงแต่ว่าพลังงานของวิญญาณที่ต้องใช้ก็มากมายตามไปด้วย!”
ถังเจิ้นพยักหน้า จากนั้นก็ครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “โลกกระจกนี้สามารถดูดซับพลังงานของเหล่าวิญญาณได้ งั้นมันก็น่าจะเพิ่มพลังงานให้แก่วิญญาณได้ด้วยสิ ใช่มั้ย”
ยามกระจกพยักหน้าและตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ได้ เพียงแต่ไม่ใช่การปล่อยพลังออกมาให้ดวงวิญญาณดูดซับตรง ๆ แต่เป็นการเพิ่มพลังโดยการให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นออกกำลังแทน!
นายท่านคนก่อนของข้าเองก็เคยทำเช่นนั้น ท่านเข้าสู่โลกกระจก ข้ามผ่านการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องทำให้วิญญาณของท่านแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดวิญญาณก็บรรลุดถึงขั้นมีรูปธรรม!”
ถังเจิ้นประหลาดใจกับข้อมูลนี้ ความสามารถฝึกฝนวิญญาณของตนจนถึงขั้นมีรูปธรรมนั้นย่อมแปลว่าความแข็งแกร่งของเจ้าของกระจกสังสารวัฏคนก่อนนั้นเหนือกว่าตนเองชัวร์ ๆ เลย
เพราะการที่วิญญาณที่เป็นนามธรรมสามารถบรรลุเป็นรูปธรรมได้นั้นจะต้องเป็นวิญญาณที่ทรงพลังโคตร ๆ!
แต่ถังเจิ้นก็แค่แปลกใจทว่าไม่ได้ตื่นตูมอะไรกับมัน เพราะตอนนี้เขารู้ชัดมากว่านอกจากโลกโหลวเฉิงแล้วมันยังมีโลกที่แปลกประหลาดอื่น ๆ อยู่อีกนับใบไม่ถ้วน และแน่นอนว่าจำนวนผู้แข็งแกร่งเองก็นับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่โลกเหล่านั้นจะมีของแปลก ๆ อย่งเช่นกระจกสังสารวัฏบานนี้
และข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับเขาก็คือ หากไอ้เจ้ายามกระจกนี่ไม่ได้โกหกก็คือโลกกระจกเป็นสถานที่ในการปรับปรุงความแข็งแกร่งที่ดีเลยทีเดียวนั่นเอง
แม้ว่าถังเจิ้นจะสามารถพึ่งพาการล่ามอนสเตอร์ระดับเดียวกันขึ้นไปเพื่ออัปเลเวลได้ก็ตาม แต่การพัฒนาด้านจิตและวิญญาณนั้นเป็นอะไรที่ยังไม่ชัด แม้พลังจิตและวิญญาณของตนตอนนี้จะตรงกับระดับการฝึกฝนเป๊ะ ๆ เลยก็ตาม แต่ถังเจิ้นย่อมไม่พอใจกับเรื่องเพียงแค่นี้อยู่แล้ว
เพราะเขาคิดว่าแม้ระดับจะเท่ากัน แต่เทียบกันจริง ๆ แล้วร่างกายของเขามันโหดมาก ๆ ทว่าความแข็งแกร่งของวิญญาณกับไม่สอดคล้องและยังขาดอีกเยอะ ในอนาคตหากต้องเจอกับศัตรูที่มีพลังด้านวิญญาณสูงส่งกว่าตนเองล่ะก็เขาจะตกที่นั่งลำบากสุด ๆ เลยทันที!
การเพิ่มคุณภาพของวิญญาณนั้นเป็นอะไรที่เขาโหยหามาโดยตลอด เพราะมันยังเกี่ยวข้องกับการจะมีอายุที่ยืนยาวและความได้เปรียบศัตรูด้วย
ดังนั้นเมื่อได้ยินที่เจ้ายามกระจกพูดดังนั้นเขาจึงหูผึ่งและรีบถามต่อ
“แล้วเจ้านายเก่าเอ็งไปไหนแล้ว แล้วเจ้านายเก่าเอ็งเพิ่มพลังให้วิญญาณตัวเองยังไง”
เมื่อเห็นว่าถังเจิ้นสนใจในโลกกระจกมากยามกระจกก็รู้แล้วว่าเขาจะไม่ฆ่ามันในตอนนี้แน่เลยค่อยจะโล่งอกขึ้นมาหน่อย
“ข้าเองก็มิอาจทราบได้เหมือนกันว่าท่านไปไหนเพราะไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว!
สมัยตอนที่ท่านยังอยู่นั้นพื้นที่ของโลกกระจกกว้างใหญ่ไพศาลกว่าตอนนี้ไม่รู้กี่เท่า มีวิญญาณที่ถูกจับมาขังไว้ที่นี่ตั้งไม่รู้กี่ตัว ซึ่งพวกมันก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ที่นี่เรื่อยไป
วิญญาณพวกนี้ก็แสดงบทบาทได้ดี แต่ละตัวต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในนี้แบบแตกต่างกันไปไม่ต่างจากการใช้ชีวิตในโลกจริง
แต่เพราะมีเพียงสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายระหว่างความเป็นความตายเท่านั้นที่สามารถดึงพลังรวมไปถึงส่งเสริมพลังให้วิญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นเจ้านายเก่าข้าจึงมักจะนำวิญญาณบางส่วนเข้ามาทดลองในนี้เป็นครั้งคราวไป
โดยเมื่อวิญญาณเหล่านั้นเข้าสู่โลกกระจกนายท่านก็ได้ให้พวกมันทำงานอย่างนึงให้สำเร็จ ซึ่งท่านได้บอกกับพวกมันว่าหากทำสำเร็จก็จะรอดและพลังของดวงวิญญาณจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย
หลังจากที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับวิญญาณเหล่านี้ถึงระดับหนึ่งแล้วนายท่านของข้าก็จะปราบปรามวิญญาณตัวที่แข็งแกร่งที่สุดและให้ช่วยท่านทำงานลับอะไรบางอย่างให้!
ในเวลาเดียวกันเจ้านายคนก่อนท่านยังแบ่งวิญญาณตนเองออกเป็นหลาย ๆ ส่วน ลบความทรงจำของพวกนั้นออกและให้ไปทำตัวเหมือนกับคนธรรมดา ดื่มด่ำกับอารมณ์ในโลกที่ต่าง ๆ กันไปเพื่อทำให้พลังของวิญญาณเหล่านั้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง
และเมื่อวิญญาณเหล่านั้นเติบโตได้ระดับหนึ่งแล้วก็จะเรียกกลับมารวมกับวิญญาณเดิมและให้วิญญาณส่วนที่พึ่งแยกมาใหม่ ๆ ออกไปผจญภัยต่อ...”
ยิ่งได้ฟังคำบรรยายถังเจิ้นก็ยิ่งเห็นถึงคุณประโยชน์ของกระจกสังสารวัฏนี่ และในใจเองก็รู้ดีว่ากระจกสังสารวัฏมันต้องไม่ใช่ง่าย ๆ อย่างที่คิดแน่นอน
ตามที่ยามกระจกบอกคือสมัยที่มันกำลังพีกสุดนั้นมันได้สร้างโลกกระจกเยอะมากกกกกกกกกกกก... เยอะจนไม่รู้จะเยอะยังไง ซึ่งในโลกกระจกเหล่านั้นแต่ละใบล้วนได้รองรับดวงวิญญาณไว้มากมายจนไม่อาจนับไหว
พฤติกรรมการสร้างโลกกระจกเพื่ออัปเกรดวิญญาณตนเองด้วยวิธีแบบนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าของเดิมของกระจกสังสารวัฏนี่จะต้องเป็นมนุษย์แน่ ๆ และเรื่องความแข็งแกร่งนั้นคงไม่ต้องเสียเวลาพูดถึงให้มันเปลืองน้ำลาย!
และเพราะเจ้าตัวได้หายตัวไป กระจกสังสารวัฏที่จำเป็นต้องใช้พลังของเหล่าดวงวิญญาณอย่างต่อเนื่องเพื่อประคองโลกไว้ก็เริ่มจะมีพลังไม่พอ โลกกระจกมากมายก็ต้องเป็นอันล่มสลายลงไป เหล่าวิญญาณที่ถูกคุมขังก็ต้องถูกกระจกสังสารวัตนี่ดูดซับกลืนกินเข้าไป
ตลอดหลายปีต่อจากนั้นกระจกสังสารวัฏนี้ได้ตกไปอยู่ในมือของผู้คนนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์และสามารถใช้ความสามารถของมันได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
เจ้าของกระจกสังสารวัฏคนสุดท้ายก็ไม่ได้ค้นพบความยอดเยี่ยมของมันจนในที่สุดก็เอามันไปไว้ในสุสาน
ตอนนี้ยามของกระจกสังสารวัฏได้อ่อนแอจนถึงขีดสุดแล้ว ไม่อย่างนั้นถังเจิ้นจะสยบมันได้ง่าย ๆ แบบนี้ซะที่ไหนล่ะ!
หลังจากเข้าใจการใช้กระจกสังสารวัฏแล้วถังเจิ้นก็พายามกระจกไปยังโลกกระจกที่มีทางออกอยู่
หลังจากจัดการกับไอ้เจ้ายามกระจกและมั่นใจแล้วว่าตนจะสามารถเรียกพบมันได้ทุกเมื่อแล้วถังเจิ้นก็ได้ทุบประตูกระจกที่มันกลับมาต่อกันเหมือนใหม่ให้แตกและกลับสู่โลกจริง
หลิงซูซี่รออยู่นานมาก เมื่อเห็นว่าถังเจิ้นกลับมาแล้วก็รีบถามไถด้วยความสงสัย
ถังเจิ้นก็ไม่ได้ซ่อนอะไรมากเกินไปนัก เพราะเขายังคงต้องการความช่วยเหลือจากหลิงซูจื่อในการวิเคราะห์และตัดสินความจริงในข้อมูลที่ได้จากยามกระจก
ในเวลาเดียวกันเขายังต้องศึกษาวิธีใช้ความสามารถพิเศษของกระจกสังสารวัฏนี้เพื่อเพิ่มพูนพลังวิญญาณของตนอีกด้วย
หลังจากค้นคว้ามาครึ่งค่อนวันในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากใช้กระจกสังสารวัฏนี้อย่างถูกต้องล่ะก็มันสามารถช่วยผู้ถือครองในการปรับปรุงพลังวิญญาณได้จริง แต่การสร้างรากฐานของโลกกระจกนั้นต้องใช้พลังวิญญาณและวิญญาณสดเติมใส่เป็นครั้งคราว
ซึ่งสำหรับคนธรรมดาแล้วการเรื่องนี้เป็นอะไรที่โคตรยาก แต่สำหรับถังเจิ้นแล้วกระจกสังสารวัฏเป็นสิ่งของที่มีประโยชน์มาก
เพราะเมื่อโหลวเฉิงเปิดสนามรบนอกแผ่นดินเป็นต้นไปเขาจะต้องสวมหัวโขนของผู้รุกรานเข้าไปทำลายล้างโลกต่าง ๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
สิ่งมีชีวิตนับพันล้านจะต้องถูกเขาทำลายจนสิ้น ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกผิดในใจเล็กน้อยไปก่อนล่วงหน้าแล้ว แต่ถ้ามีสิ่งที่สามารถทำให้วิญญาณของคนเหล่านั้นได้มีที่พักพิงและดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างเช่นโลกกระจกนี้อยู่ มันจะทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจลดลงไปมาก
มันไม่เพียงสามารถสร้างโลกกระจกได้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มพลังของวิญญาณได้ด้วย แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องไม่ใช้
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตนหรือเพื่อแผนการในอนาคต ถังเจิ้นก็ต้องควบคุมกระจกสังสารวัฏนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์
ต่อมาถังเจิ้นกับหลิงซูจื่อก็ได้ช่วยกันศึกษาวิธีการควบคุมกระจกสังสารวัฏ วิธีเพิ่มพูนผลลัพธ์ที่ได้ให้ถึงขีดสุด และเรื่องที่ว่ากระจกบานที่ 4 จะนำไปสู่ที่ไหน
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินถังเจิ้นถึงค่อยกลับเมืองพร้อมกับกระจกสังสารวัฏ
ในการควบคุมมันนั้นเขาไม่จำเป็นต้องรีบเร่งอะไรจึงพักไว้ก่อน จากนั้นจึงกลับมาอ่านหนังสือเพื่อหาข้อมูลและเตรียมพร้อมต่อการคืนชีพให้พวกเสี่ยวลี่ หยุนซี และอื่น ๆ
หลังจากที่จมอยู่กับมันไปทั้งคืนแล้วมันได้ทำให้เขามั่นใจเต็มเปี่ยมและหยิบเอาลูกปัดสมองที่เก็บวิญญาณของทุก ๆ คนออกมา