บทที่ 37 : ปีใหม่ (2)
บทที่ 37 : ปีใหม่ (2)
ในครอบครัวอื่น ภรรยาและลูกๆ ของพวกเขาจะช่วยกันทำความสะอาด ดังนั้นพวกเขาจึงจัดบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ในช่วงสั้นๆ จากนั้นจึงใช้เวลาช่วงบ่ายเพลิดเพลินไปกับเทศกาลกับครอบครัวและสินค้าปีใหม่ที่พ่อหรือสามีนำกลับบ้าน
อย่างไรก็ตาม ลู่หยวนก็เป็นคนโสดและไม่มีใครช่วยทำงานบ้าน
ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากยุ่งมาทั้งเช้า เขาจึงยังต้องทำงานในตอนบ่ายและทำความสะอาดบ้านเองต่ออีก
โชคดีที่เขาอยู่คนเดียวและในบ้านของเขาก็มีอะไรไม่มาก นอกจากเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นแล้ว ห้องครัวก็เป็นพื้นที่เดียวที่ต้องทำความสะอาดมากที่สุด นี่เป็นเพราะเขาทำอาหารที่นี่บ่อยๆ และมันก็มักจะมีคราบทิ้งไว้มากมาย
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เขาก็ทำความสะอาดเสร็จและทิ้งถังน้ำสกปรกใบสุดท้ายลงบนสนามหญ้า ลู่หยวนเช็ดเหงื่อและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ในที่สุดก็เสร็จ”
เขาหันกลับไปมองห้องที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
การทำความสะอาดบ้านก่อนปีใหม่ การเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นที่สะอาดและสดชื่น จริงๆ แล้วก็เป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาที่สวยงาม กล่าวคำอำลาต่อสิ่งเก่า ต้อนรับสิ่งใหม่ การโอบรับโชคลาภและโชคดี นี่เป็นความปรารถนาที่ง่ายที่สุดในใจของทุกคน
จากการทำความสะอาดรอบนี้ แม้ว่าเขาจะเหนื่อยสักเล็กน้อย แต่ลู่หยวนก็รู้สึกจริงๆ ว่าความเศร้าโศกและความคับข้องใจในใจของเขาได้ถูกพัดพาออกไปพร้อมกับสิ่งสกปรกที่เขาทำความสะอาดออกไปแล้ว
“แม้ว่าฉันจะเป็นนักผญจภัยซึ่งเพิ่งมาถึงโลกใบนี้ได้ไม่นาน แต่ตอนนี้ฉันก็มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว ที่ซึ่งฉันจะสามารถหาเงินได้จากการล่าสัตว์และฝึกฝนวรยุทธ์ และแม้กระทั่งมีชีวิตเป็นอมตะ ทุกอย่างช่างดูสมบูรณ์แบบ”
เขายิ้ม เปิดประตู และจ้องมองออกไปบนท้องฟ้าอันห่างไกล ดวงตาของเขาถลำลึกลงไป
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ ในที่สุดมันก็เข้าสู่วันส่งท้ายปีเก่า
ในวันนี้มีการเฉลิมฉลองคืนวันส่งท้ายปีเก่า
เพื่อไม่ให้รู้สึกเหงา ลู่หยวนและซุนซือเหวินจึงตกลงที่จะใช้ช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่าด้วยกัน...
เขาหยิบไวน์และเนื้อที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาพร้อมกับกล่องอาหารขนาดใหญ่สองกล่องแล้วไปที่บ้านของซุนซือเหวิน
เหตุผลที่พวกเขาเฉลิมฉลองปีใหม่กันที่บ้านของซุนซือเหวินนั้นเป็นเพราะบ้านของซุนซือเหวินมีขนาดใหญ่กว้างขวางกว่า
ครอบครัวของเขาเคยเป็นเจ้าของที่ดินรายย่อยในเมืองนี้ และเป็นเจ้าของที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ขนาด 100 เอเคอร์ และพวกเขาก็มีบ้านหลังใหญ่ที่มีสิบห้องนอน แต่แล้วความโชคร้ายก็เกิดขึ้นกับครอบครัว และในรุ่นของเขา พวกเขาใช้ทรัพย์สินส่วนใหญ่ไปกับการสนับสนุนการศึกษาของเขา และแม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะไม่ผ่านการทดสอบถึงสิบสองครั้งก็ตาม
คุณต้องรู้ว่าการสอบของจักรวรรดินั้นไม่ใช่ถูกๆ มันมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
พวกเขาต้องซื้อหนังสือเพื่อเรียนทุกวัน ต้องซื้อหมึก ต้องซื้อแปรงและกระดาษสำหรับเขียน และซื้อข้อสอบเก่ามาเรียนก่อนสอบ โดยต้องเสียค่าลงทะเบียนจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้เอง แค่การสอบเพียงสองครั้งก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ครอบครัวชาวนาถึงขั้นล้มละลายได้
“น้องลู่ เจ้าอาจไม่รู้ แต่ทุกปีก่อนการสอบประจำปีจะเริ่มขึ้น ข้าจะซื้อหนังสือที่ออกโดยเจ้าหน้าที่กระทรวงการศึกษา และแต่ละเล่มก็มีราคาอย่างน้อย 200 เหรียญ”
“เจ้าหน้าที่กระทรวงการศึกษามีหน้าที่รับผิดชอบในการศึกษาของนักเรียนประจำมณฑล และคำถามการสอบประจำปีของมณฑลทั้งหมดก็ถูกกำหนดโดยเขาและเจ้าเมือง”
“ข้อสอบที่เขาออกมักจะมีคำถามสำหรับข้อสอบในปีหน้า ดังนั้นแล้วมีหรอที่ผู้สมัครสอบจะไม่อยากได้มันมาครอง?”
“แต่เจ้าหน้าที่กระทรวงการศึกษามีในเขตของเรานั้นก็โลภเกินไป และเขาก็ออกหนังสือมาสามถึงห้าเล่มในทุกๆ ปี ดังนั้นการซื้อหนังสือจำนวนมากจึงมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากตามไปด้วยในทุกๆ ปี”
“และเมื่อบวกกับค่าใช้จ่ายอย่างพวกน้ำหมึกและกระดาษแล้ว มันก็ยังมีเพิ่มมาอีก 2 ตำลึงต่อปี”
“ค่าธรรมเนียมการลงทะเบียนสอบคือ 300 เหรียญ นอกจากนี้ มันก็ยังต้องใช้ผู้รับรองการสมัครด้วย”
“แต่เนื่องจากข้าไม่ผ่านการสอบครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นมันจึงไม่มีใครอยากจะยุ่งกับข้า”
“และเพื่อให้ได้วุฒิการศึกษามา ข้าจึงต้องใช้เงินเพื่อขอให้พวกเขาช่วยรับรองข้า”
“ทุกปีระหว่างการสอบคัดเลือก จะมีค่าธรรมเนียมที่พักในเมืองและการพบปะกับเพื่อนนักเรียน…”
ใกล้จะค่ำแล้ว และลู่หยวนกับซุนซือเหวินก็ดื่มกันอย่างเต็มที่
ดูเหมือนว่าซุนซือเหวินจะเมามากเกินไปเล็กน้อยและดูหน้าแดง เขากลืนเหล้าจอกหนึ่งแล้วกระแทกมันลงบนโต๊ะอย่างแรงและพูดอย่างเจ็บปวดว่า “ทุกปี ข้าต้องใช้เงินแปดตำลึงในการสอบ”
“ถ้ารวมค่าอาหารและน้ำตลอดทั้งปี มันก็จะเกินสิบตำลึงด้วยซ้ำ แต่ข้าก็หาเงินไม่ได้และต้องขายทรัพย์สินของครอบครัวเพื่อรักษาการเรียน”
“ข้ารู้ว่าคนภายนอกมองข้าอย่างไร พวกเขาบอกว่าข้ากำลังทำลายครอบครัวของข้า และบอกว่าข้าไร้ความสามารถ”
“เพื่อนนักเรียนที่เรียกข้าว่าพี่ชายก็ทำตัวเป็นมิตรต่อหน้าแต่ลับหลังก็แอบหัวเราะเยาะข้า พวกเขาดูถูกข้า และไม่อยากยุ่งกับข้า”
“ท้ายที่สุดแล้ว ใครเล่าจะชื่นชมคนไม่เอาถ่าน?”
ซุนซือเหวินเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ลู่หยวนตรงหน้าเขา แววตาของเขาแสดงความขอบคุณ “น้องลู่ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยินดีจะเป็นเพื่อนกับข้าอย่างแท้จริงและเต็มใจที่จะเรียนรู้การอ่านเขียนจากข้า ในชีวิตนี้ เจ้าอาจเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ข้ามี”
ภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาที่จริงใจ ใบหน้าของลู่หยวนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่กระนั้นลึกๆ แล้วลู่หยวนก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ
ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็ไม่ได้เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดมาเลย
จุดประสงค์หลักของเขาในการผูกมิตรกับซุนซือเหวินคือการรับข้อมูลระดับสูงมาจากเขาและเรียนรู้เพิ่มเติมจากเขา
เนื่องจากเมื่อเขาศึกษาวรยุทธ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ลู่หยวนก็ยิ่งพบว่าด้วยความรู้ในปัจจุบันของเขา เขาก็ยังคงไม่สามารถเข้าใจวรยุทธ์นี้ได้อย่างถ่องแท้
ปัญหาหลักคือการขาดความเข้าใจในตำราโบราณต่างๆ รวมถึงคำศัพท์เฉพาะและการพาดพิงถึงทักษะวิญญาณของโลกนี้ มันเป็นการยากที่จะเข้าใจอย่างถี่ถ้วนตามความรู้ของเขาจากชาติที่แล้ว
ในกรณีนี้ การหาครูที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตำราโบราณและมีความคุ้นเคยอย่างมากกับการพาดพิงต่างๆ จึงกลายมาเป็นสิ่งจำเป็น
ดังนั้นแล้วสำหรับลู่หยวน เหล้าและอาหารที่เขานำมาให้ซุนซือเหวินในปีที่ผ่านมาจึงไม่ใช่ของให้ฟรี แต่เป็นค่าเล่าเรียน
ในความเห็นของเขา ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ก็คงถือได้ว่าเป็นเพื่อนกินเพื่อนดื่มกัน แต่คงไม่ถึงขั้นเพื่อนตาย
“ฉันแค่ไม่คิดว่าเขาจะมองว่าฉันเป็นเพื่อนสนิทถึงขั้นนี้”
ด้วยเหตุนี้เอง ลู่หยวนจึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายต้องทนทุกข์กับการเลือกปฏิบัติและการดูถูกเหยียดหยามมาเป็นเวลานานจนมันได้ส่งผลต่อหัวใจของเขา
ทันใดนั้นเมื่อเขาได้พบกับเพื่อนอย่างลู่หยวนที่ไม่ดูถูกเขาและพูดคุยกับเขาจึงทำให้ซุนซือเหวินอาจเปิดใจให้เขาได้อย่างรวดเร็ว
“แต่การมีเพื่อนแท้ก็อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป”
เมื่อมองดูซุนซือเหวินที่กำลังเมามากขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา
การอยู่คนเดียวในต่างแดนทำให้เรารู้สึกคิดถึงบ้านมากขึ้นในช่วงเทศกาลต่างๆ
ลู่หยวนจะไม่รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวได้อย่างไรเมื่อเขาอยู่คนเดียวในโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้?
ความรู้สึกที่ไม่มีใครรู้จักเลยบนโลกเป็นความรู้สึกที่ยากจะทน
การมีเพื่อนสักหนึ่งคนที่เขาสามารถพูดคุยด้วยได้ในตอนนี้แม้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถเปิดเผยความลับที่แท้จริงในใจออกไปได้ แต่การได้ดื่มและพูดคุยในชีวิตประจำวันก็สามารถบรรเทาความเศร้าโศกในหัวใจของเขาลงได้แล้ว
' ฉันจะยอมรับมิตรภาพนี้ไว้'
ขณะที่ลู่หยวนพึมพำกับตัวเอง เขาก็ได้ยินคำพูดที่ขี้เมาของซุนซือเหวินและค่อนข้างสับสน
“คราวนี้ ข้าจะต้องผ่านการสอบและสำเร็จการศึกษาระดับบัณฑิตให้ได้ ข้าอยากจะแสดงให้คนที่ดูถูกข้าเห็นว่าข้า ซุนซือเหวิน ก็สามารถเป็นบัณฑิตได้เช่นกัน ข้าจะนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของข้า!”
ท่ามกลางเสียงบ่นขี้เมา เขาก็ผล็อยหลับไป
ในขณะนั้นเอง
ค่ำคืนอันเงียบสงบด้านนอกก็เต็มไปด้วยแสงไฟจำนวนนับไม่ถ้วน และจากนั้นก็ตามด้วยเสียงดอกไม้ไฟที่ดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง
ทุกครอบครัวที่มีเงินพอจ่ายได้กำลังจุดประทัดเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่
วันส่งท้ายปีเก่าผ่านไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว และตอนนี้ก็เป็นเวลาปีใหม่แล้ว
ลู่หยวนเดินเข้าไปในลานบ้านและมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอันกว้างใหญ่ แสงจันทร์สว่างจ้าห้อยสูงอยู่ด้านบน มันทอดแสงสีขาวลงมาบนกองหิมะในลานบ้านที่สะอาดตา และสะท้อนแสงสีขาวเป็นประกายตระการตา
“ลู่หยวน สวัสดีปีใหม่”
เขากระซิบอวยพรปีใหม่กับตัวเอง จากนั้นก็หยิบประทัดที่เตรียมไว้แล้วในลานบ้านออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะจุดชนวน
เสียงระเบิดดังขึ้นทันทีที่ลานบ้าน ผสมกับเสียงเฉลิมฉลองที่อยู่ข้างนอก
“วันส่งท้ายปีเก่าผ่านไปแล้วหรอ?”
เมื่อมองดูประทัดระเบิดในลานบ้าน ซุนซือเหวินก็ดูเหมือนจะตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีมึนงง
“ใช่ มันเป็นปีใหม่แล้ว” ลู่หยวนตอบด้วยรอยยิ้ม
“จริงหรอ?” ซุนซือเหวินพึมพำ จากนั้นเขาก็มองดูอีกฝ่ายและพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“สวัสดีปีใหม่นะน้องลู่”
ลู่หยวนผงะไป แต่แล้วเขาก็ยิ้ม “สวัสดีปีใหม่พี่ซุน”
ปีนี้เขาไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว เขามีคนอยู่กับเขาด้วย
ฉันไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว
เขาคิดกับตัวเอง...