บทที่ 16: มีกองกำลังเป็นของตัวเอง
“เล่าเรื่องเกี่ยวกับจวนผู้สำเร็จราชการฯ ให้ข้าฟังหน่อยสิ”
ยามนี้เฟิ่งมู่ชิงนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างก่อนจะหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบเบา ๆ
ปัจจุบันนางกับจวินหรูเย่เป็นพันธมิตรกันแล้ว อีกทั้งนางยังอยู่ในตำแหน่งพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ดังนั้นนางควรจะรู้เรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับสามีของตัวเอง และแน่นอนว่ายิ่งรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพื่อที่ในอนาคตนางจะได้ไม่เผลอทำอะไรที่ผิดพลาดลงไป
“พระชายาต้องการทราบเรื่องใดหรือเจ้าคะ?”
เนื่องจากสิ่งต่าง ๆ ในจวนผู้สำเร็จราชการฯ นั้นซับซ้อนมากทำให้โม่เยว่ไม่รู้ว่าผู้เป็นนายอยากรู้เรื่องใดบ้าง
“บอกข้าทุกอย่างที่เจ้ารู้”
เมื่อองครักษ์สาวได้ยินในสิ่งที่เจ้านายพูด นางจึงเริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้หญิงสาวฟัง และจากคำบอกเล่าของคนที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เฟิ่งมู่ชิงได้รับรู้ว่าจวินหรูเย่กับฮ่องเต้ซือคงหรูซวนนั้นขัดแย้งกัน เป็นเพราะซือคงหรูซวนกลัวอำนาจทางทหารที่อยู่ในมือของจวินหรูเย่ เขาจึงแอบวางแผนมากมายเพื่อขัดขวางชายหนุ่ม
รวมทั้งเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างนางกับผู้สำเร็จราชการฯ ก็เป็นฝีมือของซือคงหรูซวนด้วยเช่นกัน เหตุผลคือเขาต้องการทำให้จวินหรูเย่ตกที่นั่งลำบาก เพราะเฟิ่งมู่ชิงเป็นสตรีอัปลักษณ์ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดในเมืองหลวง ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นกับตาว่านางอัปลักษณ์จริงหรือไม่ก็ตาม
นอกจากนี้ซือคงหรูซวนกับซือคงหรูหลางผู้มีศักดิ์เป็นหนิงอ๋องคือพี่น้องที่ใกล้ชิดกัน ดังนั้นเรื่องใบหน้าอันแสนน่าเกลียดของนางที่เข้าหูของผู้ปกครองแผ่นดินก็คงมาจากปากของน้องชายตัวดีผู้นั้นนั่นเอง
อาจจะเป็นเพราะซือคงหรูหลางไม่อยากได้ชายาที่ไร้ประโยชน์และมีรูปโฉมน่ารังเกียจ ทั้งสองคนจึงผลักนางให้ไปแต่งงานกับจวินหรูเย่ซึ่งเป็นผู้พิการเดินไม่ได้เช่นกัน
สำหรับเรื่องที่เฟิ่งหวานหว่านสวมรอยเข้ามาแต่งงานแทนนาง หญิงสาวเดาว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกไม่พอใจที่ตนได้รับสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้แล้วจะมีศักดิ์สูงกว่า ดังนั้นนางจึงจ้างนักฆ่ามาสังหารตน
สิ่งที่น่าสงสัยอีกประการหนึ่งก็คือ เฟิ่งหวานหว่านกับซือคงหรูหลางมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน สตรีผู้นี้จึงแกล้งสวมรอยเป็นนางแล้วเข้าพิธีสมรสแทน ซึ่งคนกลุ่มนั้นคงคิดว่าหากเฟิ่งหวานหว่านเข้าใกล้ผู้สำเร็จราชการฯ ได้ พวกเขาจะหาโอกาสสังหารจวินหรูเย่ได้ง่ายขึ้น
ข้าไม่รู้ว่านี่คือความคิดของเฟิ่งหวานหว่านหรือซือคงหรูซวนกันแน่?
แต่ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร ตอนนี้หญิงสาวกับจวินหรูเย่ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว และทั้งสองฝ่ายก็ถูกกำหนดให้ต้องเป็นศัตรูกันจนตายไปข้าง
หลังจากเฟิ่งมู่ชิงคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดโดยละเอียด นางก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เดิมทีนางรังเกียจแผนการสมรู้ร่วมคิดเช่นนี้มากที่สุด แต่ปัจจุบันนางกลับต้องมาติดหล่มอยู่ในแผนการเสียเอง
“พระชายา ท่านวางใจได้เลยเจ้าค่ะ โม่เยว่จะใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้องพระชายาเอง”
เมื่อองครักษ์สาวเห็นท่าทางที่เป็นกังวลและสิ้นหวังของผู้เป็นนาย นางจึงรีบให้ความมั่นใจแก่อีกฝ่าย ทำให้หญิงสาวที่ได้รับถ้อยคำปลอบโยนถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ใช่สตรีที่บอบบางและอ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย”
เอาเถอะ! ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าก็คงทำได้เพียงเคลื่อนไหวไปตามโชคชะตาเท่านั้น
พอเฟิ่งมู่ชิงคิดได้ดังนั้น จิตใจของนางก็กลับมาสงบและเต็มไปด้วยพลังในเวลาไม่กี่อึดใจ
ปัจจุบันภายนอกจวนผู้สำเร็จราชการฯ มีหูและตามากมายจับจองอยู่ ซึ่งมันบ่งบอกว่าพวกนางถูกปิดล้อมไปเสียทุกด้าน อีกทั้งซือคงหรูซวนจะต้องหาทางจัดการกับพวกนางทุกครั้งที่มีโอกาสอย่างแน่นอน
แม้ว่าในขณะนี้นางจะไม่รู้ว่าจวินหรูเย่มีไพ่อยู่ในมือกี่ใบ แต่นางก็ไม่สามารถนั่งนิ่งรอความตายอยู่เฉย ๆ ได้
ณ ตอนนี้นางไม่เพียงแค่ต้องสืบสวนเรื่องราวเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเจ้าของร่างเดิมเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับศัตรูทุกทิศทางด้วย ดังนั้นนางจึงต้องมีกองกำลังเป็นของตัวเอง
…
เฟิ่งมู่ชิงใช้เวลาตลอด 10 วันหมกตัวอยู่ในจวนเพื่อฝึกฝน และในระหว่างนี้นอกจากนางจะอ่านตำราวิชายุทธเบื้องต้นทั้งหมดในห้องเก็บตำราแล้ว นางยังเรียนรู้วิชายุทธมากมายในหอพระสูตรอีกด้วย
การจะบอกว่านางเป็นอัจฉริยะในทุก ๆ ด้านนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริง และด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่งรวมถึงพลังฮุ่นตุ้นที่อยู่ในตัวของนาง จึงคาดว่าไม่มีใครในดินแดนซิงหยุนที่เก่งกาจได้เท่ากับนางอีกแล้ว
หลังจากการล้างพิษครั้งก่อน หญิงสาวที่มองเข้าไปยังจุดตันเถียนของตนก็ได้พบว่าร่างนี้มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนซึ่งมันทำให้นางมีความสุขมาก
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว นางก็ได้แต่คิดในใจว่า ร่างกายที่เข้ากับจิตวิญญาณอันทรงพลังของนางได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้จะกลายเป็นคนไร้ค่าได้อย่างไร
แม้ว่าปัจจุบันนางจะไม่แข็งแกร่งเท่าจวินหรูเย่ แต่อีกไม่นานนางจะต้องจะได้ครอบครองตำแหน่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นเป่ยอี้แน่นอน
…
พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าระหว่างวัน โดยถนนสายหลักของเมืองหลวงล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่ดูคึกคัก ยามนี้ชาวบ้านหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน และเหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วเรียกลูกค้าให้เข้ามาจับจ่ายซื้อของ อีกทั้งยังมีบรรดาเด็กน้อยที่วิ่งเล่นกันอยู่ทั่วบริเวณอีกด้วย
เมื่อโม่เยว่มองไปยังเฟิ่งมู่ชิงที่แต่งกายเป็นชายหนุ่มรูปงามก็รู้สึกสับสน นางเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยความลังเลว่า
“นายหญิ– นายน้อย พวกเราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ?”
ในตอนนี้เฟิ่งมู่ชิงกำลังเดินไปตามถนนแบบไม่เร่งรีบพลางยกยิ้มมีเลศนัยพร้อมกับโบกพัดในมือเบา ๆ ด้วยเสื้อคลุมสีขาวปักลายต้นไผ่สีเขียวที่สวมใส่ทำให้นางดูเหมือนคุณชายผู้ชายมีสกุลจากจวนไหนสักจวน
แม้ว่าครึ่งหน้าของนางจะถูกบดบังด้วยหน้ากาก แต่มันก็ไม่สามารถปิดกั้นสายตาของสาว ๆ นับไม่ถ้วนได้ เนื่องจากใบหน้าอีกครึ่งที่ถูกเปิดเผยนั้นดันหล่อเหลาประหนึ่งเซียนผู้เป็นอมตะ ส่งผลให้สตรีทั้งหลายต่างส่งเสียงอุทานอย่างควบคุมไม่ได้ตลอดทาง
โม่เยว่ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้านายของนางจะมีท่าทางเจ้าชู้ขนาดนี้ ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกหมดหนทาง
ปรากฏว่าผู้สำเร็จราชการฯ ชื่นชอบสตรีเช่นนี้เองหรือ? ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะไม่เคยชายตาแลสตรีผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงมาก่อน
“โม่เยว่ เจ้าอย่าได้เขินอายนักเลย” เฟิ่งมู่ชิงขยิบตาหยอกล้อกับสาว ๆ ที่อยู่ข้างทางเป็นครั้งคราว ขณะเดียวกันก็เอนตัวเข้าหาคนสนิทพลางพูดเสียงต่ำ
เป็นเพราะว่าทุกวันนี้หญิงสาวกับโม่เยว่นั้นตัวติดกันตลอดจึงทำให้นางได้รู้จักนิสัยใจคอของอีกคนเป็นอย่างดี
ข้าไม่รู้ว่าจวินหรูเย่สอนลูกน้องของเขาอย่างไร ทำไมผู้หญิงที่มีชีวิตชีวาคนนี้ถึงกลายเป็นคนเย็นชาไปได้?
ในขณะเดียวกัน สตรีในชุดสีสันสดใสพยักหน้าให้กับผู้เป็นนายด้วยความจำใจ
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นการแสดงออกของคนข้าง ๆ ดวงตาของนางก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ จากนั้นหญิงสาวก็ยื่นมือไปหยิกแก้มนิ่มของคนสนิททีเผลอ ก่อนจะลูบมันเบา ๆ
โม่เยว่ที่ถูกทำเช่นนั้นก็ตกใจจนเกือบจะลงมือตอบโต้โดยไม่รู้ตัว แต่เสียงผู้คนบนท้องถนนได้เตือนให้สติของนางพร้อมกับยับยั้งมือที่กำลังจะขยับออกไปได้ทันที
จู่ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาก็เข้ามาในสายตาของนางอย่างกะทันหันจึงทำให้จิตใจขององครักษ์สาวว่างเปล่า แล้วนางก็จ้องมองไปยังผู้เป็นนายด้วยความมึนงง
ครั้นเฟิ่งมู่ชิงเห็นว่าโม่เยว่ไม่ได้ตื่นตกใจจนวิ่งหนีไป นางก็ยิ้มหวานให้กับสตรีคนสนิท หลังจากนั้นจึงถอนมือออกแล้วเดินโบกสะบัดพัดในมือต่อไป
พอกลุ่มผู้หญิงที่อยู่บริเวณรอบ ๆ มองดูชายหนุ่มรูปงามหยอกล้อกับหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย พวกนางทั้งหมดต่างก็ยกมือทาบอกพร้อมทั้งมีสีหน้าหงุดหงิด
ข้าอิจฉาสตรีผู้นั้นเสียจริง!
ต่อมา เหล่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ตามท้องถนนก็เงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจอย่างแรงและตัดพ้อในโชคชะตาของตน
เพียงเวลาไม่นานโม่เยว่ก็กลับมามีสติอีกครั้ง ภาพก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นในใจจนทำให้แก้มของนางรู้สึกร้อนผ่าวอยู่ชั่วครู่ แต่พอเห็นว่าผู้เป็นนายเดินห่างออกไปไกลแล้ว นางก็ส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินตามไปให้ทัน
…
หลังจากเดินมาได้สักพัก ทั้งคู่ก็มาถึงถนนฮวาเจียที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งเป็นย่านที่ตั้งของหอคณิกา แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลากลางวัน หอคณิกาเหล่านั้นเลยยังไม่เปิดทำการ
เมื่อโม่เยว่เห็นว่าเฟิ่งมู่ชิงหยุดยืนอยู่หน้าอาคารสีแดงแห่งหนึ่ง หัวใจของนางก็เต้นระรัวพร้อมกับความคิดฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัว
หรือว่านายท่านอยากจะเข้าไปหาความสำราญ?
ไม่ ๆ ไร้สาระ สตรีดี ๆ ที่ไหนจะเข้าไปในหอคณิกาโดยไม่คำนึงชื่อเสียงของตัวเอง
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงเพิกเฉยต่อความวุ่นวายใจของคนสนิท หญิงสาวเหลือบมองอีกฝ่ายเพื่อส่งสัญญาณให้นางเคาะประตูของอาคารที่ตั้งอยู่ตรงหน้า
โม่เยว่เห็นดังนั้นก็ก้าวออกไปอย่างไม่เต็มใจนักก่อนจะเคาะประตูของอาคารสีแดง
ก๊อก ๆๆ
เวลาผ่านไปไม่นานก็มีคนมาเปิดประตู ซึ่งผู้ที่ออกมานั้นเป็นสตรีที่อยู่ในช่วงวัยประมาณ 30 ปี แม้ว่านางจะดูมีอายุแต่นางก็ยังคงมีเสน่ห์มาก
‘ป้าหง’ เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าเมื่อมองเห็นชายหนุ่มรูปหล่อที่ยืนอยู่หน้าประตู หากแต่ท่าทางของนางยังคงพยายามยับยั้งชั่งใจเอาไว้
เป็นเพราะหอคณิกาของนางไม่ได้ต้อนรับแขกมาสักพักแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มีแขกหลงเข้ามา ดังนั้นนางจึงไม่สามารถทำให้แขกคนสำคัญกลัวได้
“นายท่านเจ้าคะ นี่ยังไม่ค่ำเลย ทำไมท่านถึงมาเร็วขนาดนี้” ป้าหงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาป้องริมฝีปากพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
รัศมีของชายหนุ่มผู้นี้เต็มไปด้วยความสูงส่ง แม้ว่าใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาจะมีเพียงครึ่งเดียวที่ถูกเปิดเผย แต่หน้ากากที่ปิดบังใบหน้าอีกครึ่งก็ดูงดงามยิ่งนัก อีกทั้งมันยังทำมาจากทองคำ ฉะนั้นแขกผู้นี้จะต้องเป็นชายผู้สูงศักดิ์จากที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน
หากวันนี้พวกนางทำให้แขกรายนี้พอใจได้ บางทีหอหงโหลวของนางอาจจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งก็เป็นได้
เมื่อหญิงวัยกลางคนคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็กว้างขึ้นไปอีก แต่แล้วจู่ ๆ นางก็สังเกตเห็นโม่เยว่ที่ยืนอยู่เคียงข้างชายผู้มากเสน่ห์ ทำให้รอยยิ้มยินดีนั้นแข็งค้างในทันใด
จะมีชายใดที่พาคนรักของตนมาหอคณิกาด้วย?
ดูเหมือนว่าสตรีนางนี้จะถอยออกไปทันทีที่นางเปิดประตู ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางจะไม่สังเกตเห็นว่ามีสตรีอีกคนอยู่ในตอนแรก
“ไม่ต้องกังวล ข้ามาที่นี่เพื่อพบเถ้าแก่ของท่าน” เฟิ่งมู่ชิงกล่าว
ครั้นพอป้าหงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตื่นตกใจ อีกทั้งยังสงสัยถึงจุดประสงค์ของคนตรงหน้า
“ข้าน้อยเป็นเถ้าแก่หอหงโหลวแห่งนี้ ข้าน้อยสงสัยว่าเหตุใดนายท่านถึงอยากพบข้าน้อย?”