บทที่ 35 : ความมุ่งมั่นและความเสี่ยง
บทที่ 35 : ความมุ่งมั่นและความเสี่ยง
เอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเสียใจก็คือ การที่การศึกษาอย่างเข้มงวดของพวกเขาตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษกลับมีคุณค่าน้อยกว่าในสายตาของจักรพรรดิเมื่อเปรียบเทียบกับปีศาจที่รู้วิธีหลอกลวงและควบคุมจิตใจของผู้คนเท่านั้น
และอย่างน้อย ปีศาจเหล่านั้นก็ได้รับการยกเว้นภาษี พวกมันสามารถกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติของขุนนางระดับสูงได้ และได้รับการบูชาจากผู้คนนับไม่ถ้วน
กลับกัน ตัวเขาเองกลับยังยากจนและยังมีปัญหากับภาษีอยู่ 'ความยากลำบาก' เพียงคำเดียวแทบจะไม่สามารถอธิบายสภาพของเขาได้
ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าซุนซือเหวินรู้สึกหงุดหงิดและผิดหวังมากเพียงใดในขณะนี้
แม้ว่าลู่หยวนจะเข้าใจเขาและอยากจะช่วยส่งเรื่องร้องเรืยนต่อรัฐ แต่ซุนซือเหวินก็คงจะหนีไม่พ้นโทษอาญาและถูกเนรเทศเนื่องจากคำพูดเหล่านี้อย่างแน่นอน
แต่เขาเป็นใครล่ะ?
ผู้แสวงหาความสุขนิรันดร์ เทพเกาทัณฑ์แห่งภูเขาต้าหยู ผู้มีอายุขัยเท่าสวรรค์ เขาจะกระทำการทรยศต่อเพื่อนเช่นนี้ได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้เอง ความคิดนี้จึงผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา และถูกระงับลงโดยสิ้นเชิงเมื่อเขาพบว่าการทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ และมันจะทำลายชื่อเสียงของเขาด้วย
การกระทำที่ไม่มีประโยชน์ ข้า ลู่หยวน จะไม่ทำ!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับการบ่นของซุนซือเหวินแล้ว ปรมาจารย์ที่เขากล่าวถึงก่อนหน้านี้ก็ดึงดูดความสนใจของเขาได้อย่างรวดเร็ว
เดินบนน้ำ ควบคุมเปลวเพลิง...
แม้ว่าซุนซือเหวินจะเยาะเย้ยพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ และมองว่ามันเป็นเพียงกลอุบายหลอกลวงที่เหล่าปีศาจใช้ปิดหูตาปิดตาและบิดเบือนการพิพากษาของจักรพรรดิ
แต่สำหรับลู่หยวนแล้ว ข้อมูลนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงความเข้าใจของเขาไปโดยสิ้นเชิง
“แม้ว่าการสำรวจโลกใบนี้ในปัจจุบันของฉันจะยังไม่พบวิญญาณภูเขา สัตว์อสูรหรือเทพธิดาก็ตาม แต่เนื่องจากมันมีวรยุทธ์และกำลังภายในอยู่บนโลกนี้ ดังนั้นการปรากฏตัวของวิชาเซียนจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเป็นไปไม่ได้”
“สิ่งที่เรียกว่าปรมาจารย์เหล่านี้ซึ่งสามารถเดินบนน้ำและควบคุมไฟได้ เนื่องจากพวกเขาได้รับความเคารพอย่างสูงจากจักรพรรดิ ดังนั้นพวกเขาจึงอาจมีความสามารถอย่างแท้จริง โดยใช้พลังลึกลับที่ยากสำหรับคนทั่วไปที่จะเข้าใจได้”
ลู่หยวนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง จากนั้นจึงพูดคุยกับซุนซือเหวินต่อเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ปีศาจ และจากคำพูดของเขา เขาก็ได้รับข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับปีศาจเหล่านี้
ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งมีผู้วิเศษคนหนึ่งที่อ้างตนว่าเขาสามารถทนน้ำและทนไฟได้กลางตลาดที่มีผู้คนพลุกพล่าน และเมื่อเขาเอามือจุ่มลงหม้อน้ำมันที่กำลังเดือดโดยตรงและดึงมันออกมา เขาก็กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
ขณะเดียวกัน พวกเขาอีกคนหนึ่งก็อ้างว่าเขาสามารถอ่านใจได้และสุ่มดึงคนแปลกหน้าบนถนนเข้ามาและสามารถเล่าได้อย่างแน่ชัดถึงสิ่งที่บุคคลนั้นทำไว้ก่อนหน้านี้ นั่นจึงทำให้ผู้คนประหลาดใจกันมาก
และที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือบุคคลที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์น่าตกตะลึงและสามารถควบคุมฟ้าร้องเพื่อขับไล่วิญญาณร้ายได้ ในเวลานั้น บ้านของข้าราชการระดับสูงในเมืองหลวงก็ได้ถูกเล่าขานต่อกันมาว่ามีผีสิงและจึงได้ขอความช่วยเหลือจากบุคคลนี้
บุคคลนี้มาที่ลานบ้านของข้าราชการระดับสูง และหลังจากร่ายมนต์เสร็จ ดูเหมือนฟ้าร้องจะดังขึ้นรอบตัวพวกเขา สลับกับเสียงร่ำไห้ของผู้หญิงคนหนึ่ง
หลังจากนั้นบุคคลนั้นก็ได้บอกว่าวิญญาณร้ายได้ถูกฟ้าร้องทำลายล้างลงไปแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บ้านของข้าราชการระดับสูงก็ไม่เคยประสบกับเหตุการณ์น่าขนลุกใดๆ อีกเลย
ลู่หยวนยังได้ยินเรื่องราวนี้จากพ่อค้าคนหนึ่งขณะดื่มชาในเมืองเมื่อสองเดือนก่อน แต่เวอร์ชั่นนี้ก็ได้รับการปรับแต่งมากซะจนจำแทบไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เอง ตอนนั้นเขาจึงมองว่ามันเป็นเรื่องโกหกและหัวเราะเยาะโดยไม่ได้สนใจมันมากนัก
แต่หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของซุนซือเหวินแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าเรื่องราวต่างๆ นั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในชีวิตจริงของบุคคลที่อยู่ในราชวงศ์ ณ ปัจจุบัน
แต่หลังจากฟังเรื่องเล่าเหล่านี้แล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย
นี่เป็นเพราะเรื่องราวทั้งหมดนั้นฟังดูปาหี่และดูราวกับพวกหมอผีมากกว่าเซียน
ตัวอย่างเช่น เมื่อเอามือจุ่มน้ำมันเดือด ลู่หยวนมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเขาก็รู้วิธีที่จะบรรลุเป้าหมายนี้เช่นกัน
ในขณะที่การอ่านใจนั้นก็อาจเป็นการเตี้ยมกันมาก่อนหน้านี้แล้วก็ได้
และสำหรับการขับไล่ผีด้วยพลังสายฟ้านั้น มันก็ยังง่ายยิ่งกว่าอีก วิญญาณร้ายที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาตินั้นอาจไม่มีอยู่จริงก็ได้ แต่มันเป็นวิญญาณที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง
โดยสรุปแล้ว เรื่องราวต่างๆ ก็ฟังดูคล้ายกับกลอุบายของพวกหลอกลวงที่เขาเคยพบมาในชีวิตก่อน และมันก็ยากที่จะไม่เชื่อว่าพวกคนเหล่านี้เป็นพวกหลอกลวง
“บางทีนี่อาจเป็นเพียงโลกยุทธ์เฉยๆ และไม่มีเซียน?” เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เขาเพิ่งได้ยินมา ลู่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะลังเล
อย่างไรก็ตาม ความสงสัยนี้คงอยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นก่อนที่เขาจะผลักมันทิ้งไป
ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นการหลอกลวงหรือไม่ และไม่ว่าผู้วิเศษเหล่านั้นจะสามารถใช้วิชาเซียนได้หรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ยังอยู่ห่างไกลจากเขามากเกินไป
เมืองหลวงอยู่ห่างจากมณฑลต้าหยูไปหนึ่งพันกิโลเมตร และเหตุการณ์ของที่นั่นที่สามารถส่งมาถึงหูของที่นี่ได้นั้นก็มีเพียงข่าวลือเท่านั้น
“แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับปัญหาที่เข้าใจยากเหล่านี้ การมุ่งความสนใจไปที่การปรับปรุงฝ่ามือเมฆาของฉันก็ยังคงจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีมากกว่า” ลู่หยวนเยาะเย้ยตัวเองด้วยรอยยิ้มพร้อมยกถ้วยเหล้าของเขาขึ้นอีกครั้งเพื่อดื่มกับซุนซือเหวิน
นับตั้งแต่การสนทนาในครั้งนี้จบลง ทั้งลู่หยวนและซุนซือเหวินก็มีเวลาในการโต้ตอบกันน้อยลง
มันไม่ใช่เพราะความขัดแย้งหรือความสัมพันธ์ที่แย่ลงระหว่างพวกเขา แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะแต่ละคนยุ่งอยู่กับการทำงานของตนเอง
ซุนซือเหวินซึ่งร่ำเรียนมานานกว่าทศวรรษ ตอนนี้กำลังหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาวิชาการอย่างถี่ถ้วนจนแม้กระทั่งลืมนอนและกิน
เขากำลังเตรียมตัวสำหรับความพยายามครั้งที่สิบสองในการสอบฤดูใบไม้ผลิในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า โดยมุ่งเป้าไปที่การเป็นบัณฑิต
ครั้งนี้เขาจะทำสำเร็จไหม?
เมื่อดูจากอดีตที่ผ่านมา มันก็ดูน่าสงสัยอยู่
ในทางกลับกัน ลู่หยวนก็กำลังยุ่งอยู่กับการฝึกฝนวรยุทธ์
การเดินทางไปทะเลใต้ของเขาไม่เพียงแต่นำมาซึ่งผลกำไรเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาเข้าใจถึงจุดแข็งของตัวเองอย่างชัดเจนอีกด้วย
“หัวหน้าแก๊งฉิงจูที่ฉันฆ่าไปเองก็มีกำลังภายในเช่นกัน จากพลองเหล็กที่เขาถือ เขาก็คงจะฝึกฝนวรยุทธ์มาบ้างแล้ว ในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวม เขาก็ควรจะเทียบได้กับฉัน” ลู่หยวนคิดและนึกถึงการเผชิญหน้าครั้งก่อนของเขา
“ทว่าคนเช่นนั้นก็ยังเป็นเพียงหัวหน้าระดับต่ำในแก๊งเท่านั้น และอย่างดีที่สุดก็คือหัวหน้าระดับกลาง”
“และหากเราคาดเดาจากสิ่งนี้ สมาชิกระดับสูงของแก๊งฉิงจู หัวหน้าแก๊งและผู้อาวุโสของพวกเขาอย่างน้อยที่สุดก็จะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามที่เปิดส้นลมปราณสองเส้นและมีวรยุทธ์หนึ่งอย่างแล้ว”
“เมื่อพิจารณาว่ามณฑลต้าหยูร่ำรวยกว่ามณฑลทะเลใต้อย่างชัดเจน และแก๊งหมาป่าทมิฬก็ควบคุมดินแดนดังกล่าวเอาไว้ มันจึงหมายความว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาอาจจะเกินกว่าความแข็งแกร่งของแก๊งฉิงจู”
“บางทีหัวหน้าแก๊งหมาป่าทมิฬอาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองแล้วก็ได้” เมื่อได้ข้อสรุปนี้ ลู่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหม่าจื่อชิง
จากการพบกันครั้งนี้ หม่าจื่อชิงก็ยังแข็งแกร่งกว่าลู่หยวนในตอนนี้อย่างเห็นได้ชัด บางทีเขาอาจจะเปิดเส้นลมปราณไปมากถึงสามสี่เส้นแล้วก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังกลับได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกบังคับให้ต้องหลบหนี
บุคคลที่สามารถบังคับเขาให้อยู่ในสภาพเช่นนั้นได้ย่อมจะต้องมีความแข็งแกร่งที่มากกว่าหรือเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้ก็ทำให้ลู่หยวนเกิดความกังวลขึ้นอีกครั้งในไม่ช้า “หม่าจื่อชิงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับแก๊งหมาป่าทมิฬระดับสูง นั่นอาจหมายความว่าพวกมันอาจจะมีคนที่จำฝ่ามือเมฆานี้ได้”
“แม้ว่าฉันจะได้รับวรยุทธ์ของหม่าจื่อชิงมาจากการฆ่าและปล้นเขา แต่แก๊งหมาป่าทมิฬก็คงจะไม่รู้เรื่องนี้”
“ดังนั้นตามตรรกะทั่วไปแล้ว แก๊งหมาป่าทมิฬนี้ก็อาจสันนิษฐานเอาเองได้ว่าฉันเป็นลูกศิษย์ของเขา และมีความทะเยอทะยานที่จะล้างแค้นให้กับอาจารย์ได้”
นั่นเป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปในโลกยุทธ์
แม้ว่าเขาจะพยายามโต้แย้ง และต่อให้อีกฝ่ายจะเชื่อเขา แต่สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ยังอาจจะฆ่าเขาและปล้นเอาตำราฝ่ามือเมฆาไปจากเขาได้อยู่ดี
“เพราะฉะนั้นแล้ว ฉันจึงต้องฝึกฝนให้หนักยิ่งขึ้น ตราบใดที่ฉันยังไม่เชี่ยวชาญฝ่ามือเมฆา ฉันก็จะไม่มีทางนำมันออกมาใช้!”
เขาให้กำลังใจตัวเองอย่างเงียบๆ
เขาได้ตัดสินใจแล้วที่จะลดการเดินทางเข้าเมืองลงเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนจากแก๊งหมาป่าทมิฬให้มากที่สุด และเพื่อไม่เปิดเผยทักษะวรยุทธ์ของเขาต่อหน้าพวกมัน
มิฉะนั้นแล้ว มันก็อาจมีปัญหาเกิดขึ้นเอาทีหลังได้
โลกยุทธ์นั้นอันตรายเกินไป
ในฐานะของมนุษย์ผู้สูงศักดิ์ที่อุทิศตนแด่ความนิรันดร์ เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องลดตัวลงไปเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับเหล่าสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้
เขาควรใช้ความได้เปรียบของเขาและรอจนกว่าพวกมันทั้งแก๊งจะแก่และหมดแรง
และเมื่อพวกมันแก่แล้วและลูกหลานของพวกมันยังไม่แข็งแกร่งพอ ถึงเวลานั้น เขาก็จะสามารถส่งทั้งพวกมันทั้งครอบครัวลงสุสานไปพร้อมๆ กันได้
แบบนั้นไม่ใช่แผนที่ดีกว่าหรอ?