บทที่ 169 มิตรภาพ
"มันแปลกตรงไหน?" ฉินชิงถาม
สนมเยว่นึกย้อนกลับไปแล้วกล่าวว่า "ท่าทีของแม่นมคนนั้นดูแปลกๆ เหมือนว่ายังมีมิตรภาพที่ดีกับสนมโหลวอยู่"
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง สนมเยว่ก็มองฮองเฮาซึ่งประทับอยู่ด้านบน
"หากเหนียงเหนียงอยากพบแม่นมคนนั้น หม่อมฉันก็สามารถพานางมาพบได้ แต่แม่นมคนนั้นเหมือนยังมีมิตรภาพกับสนมโหลวอยู่ ต่อให้เป็นหม่อมฉันในตอนนั้นนางก็ไม่ยอมพูดอะไรมาก ดังนั้นถ้าฮองเฮาอยากจะให้นางมาเป็นพยาน เกรงว่านางอาจจะไม่ยินดีเพคะ"
"เจ้าบอกข้ามาว่าครั้งที่สองที่พบหน้านางเจ้าพูดอะไรบ้าง?"
สนมเยว่นึกอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ
"คำถามที่หม่อมฉันถามนางครั้งแรกก็คือสนมโหลวชอบหรือไม่ชอบเครื่องหอม ชอบใช้เครื่องหอมหรือไม่ มีเครื่องหอมอะไรที่ซ่อนไว้หรือไม่ แต่นางกลับคิดว่าหม่อมฉันจะลงมือในเรื่องนี้ จึงตอบว่า
'สนมโหลวไม่ค่อยชอบใช้เครื่องหอมเท่าไร เครื่องหอมที่นางใช้ส่วนใหญ่ก็จะถูกเก็บอยู่ในห้องเก็บของ สนมเยว่ไม่ต้องคิดหาทางลงมือด้วยวิธีนี้ มันเป็นไปไม่ได้’
นางพูดเช่นนี้เหมือนกำลังปกป้องสนมโหลว ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกล่าวเป็นนัยๆ แสร้งทำเป็นว่าหม่อมฉันชอบเครื่องหอม บอกว่าสนมโหลวส่งเครื่องหอมหนึ่งกล่องให้หม่อมฉันเมื่อนานมาแล้ว หลังจากใช้แล้วก็อยากจะรู้ว่านางยังมีเครื่องหอมชนิดนี้อีกหรือไม่?
แต่ว่าไม่กล้าถามพระสนม ดังนั้นจึงอยากหาคนที่รับผิดชอบเรื่องเครื่องหอมในเวลานั้น อยากรู้ว่าเครื่องหอมนี้เอามาจากไหน แค่ไม่คิดว่าจะเจอคนที่สำนักซักล้าง
ถึงได้รู้จากปากนางว่าสนมโหลวยังมีเครื่องหอมแบบนี้อีกหลายชนิด เป็นสิ่งที่อนุหลานทิ้งไว้ในตอนนั้น และนางก็พูดเรื่องราวเกี่ยวกับอนุหลาน"
สนมเยว่พูดจบก็เห็นฮองเฮากำลังครุ่นคิดบางอย่าง หลังจากจากผ่านไปสักพักฮองเฮาก็ลืมตาขึ้นมา แต่กลับหันไปมองชูเจาอี้
"เรื่องนี้ชูเจาอี้คิดอย่างไร?"
ฉินชิงคิดๆ เรื่องนี้แล้ว ต้องพูดเลยว่าแม่นมคนนั้นคือกุญแจสำคัญ อันดับแรก นางคือคนที่รับใช้ข้างกายของสนมโหลว รู้เรื่องในอดีตของสนมโหลว หากสามารถแงะปากนางได้ต้องได้ข้อมูลมาไม่น้อยแน่ กอปรกับมีความช่วยเหลือจากฮองเฮาในการจัดการกับสนมโหลวด้วย
และอันดับสอง นางที่รู้เรื่องของอนุหลานก็สามารถเป็นพยานคนสำคัญว่าสนมโหลววางแผนทำร้ายสนมเยว่และฮองเฮา ตราบใดที่นางจำเครื่องหอมจั๋วรื่อเซียงและพิษที่ฮองเฮาโดนว่ามาจากสนมโหลวได้ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จะจัดการได้ง่ายขึ้น
แต่ปัญหาสำคัญคือสิ่งที่สนมเยว่พูดมาว่าแม่นมคนนั้นยังมีมิตรภาพที่ดีกับสนมโหลว ไม่รู้ว่าจะใจอ่อนมาอยู่ข้างฮองเฮาหรือไม่ ถ้าไม่ เช่นนั้นการจะหาคนที่รู้เรื่องนี้จริงๆ อีกคนเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
แม้ว่าผิวเผินสนมโหลวจะดูเป็นคนอารมณ์ดี แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่คนอารมณ์ดีเท่าไร นางกำนัลที่อยู่ข้างกายนางได้นานๆ ก็มีไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่สนมโหลวพามาจากบ้านแม่
คนที่พามาจากบ้านแม่คงไม่มีทางหักหลังสนมโหลว เพราะพวกนางรู้ว่าพวกนางและสนมโหลวหากรุ่งก็รุ่งด้วยกัน หากร่วงก็ร่วงด้วยกัน ส่วนคนอื่นๆ ที่รู้เรื่องตอนนั้นก็น่าจะมีน้อย
ดังนั้นถ้าปล่อยแม่นมคนนี้ไป โอกาสที่จะทำสำเร็จในเรื่องนี้จึงมีน้อยมาก ทันใดนั้นฉินชิงก็นึกบางอย่างออก เรื่องนี้มันมีบางอย่างแปลกๆ ตามหลักแล้วแม่นมคนนี้ก็ออกมาจากสนมโหลวเป็นเวลานานมากแล้ว เหตุใดถึงยังมีมิตรภาพต่อสนมโหลวอยู่?
และยิ่งไปกว่านั้นนางถูกสนมโหลวไล่ไปยังสถานที่อย่างสำนักซักล้างเช่นนั้น ทั้งลำบากและเหนื่อยล้า ต้องซักเสื้อผ้าทุกวัน และยังต้องหาบน้ำถังแล้วถังเล่า
เมื่อนางกำนัลบางคนทำความผิดเล็กน้อยก็ไม่ถึงขั้นต้องส่งไปที่สำนักไต่สวน หากไม่อยากให้อยู่ที่ตำหนักของตนให้ขวางหูขวางตาและอยากจะลงโทษนางกำนัลจึงส่งไปที่สำนักซักล้าง เห็นได้ชัดว่าล้วนแต่เป็นงานสกปรกและงานที่ใช้แรงมาก
งานแบบนี้ต่อให้เปลี่ยนเป็นสตรีที่แข็งแรงเป็นพิเศษก็อาจจะไม่สามารถทนได้ นางอยู่ที่นั่นนานขนาดนั้นยังมีมิตรภาพกับสนมโหลวอีกหรือ?
ฉินชิงรู้สึกว่าแม่นมคนนี้แปลกๆ ดังนั้นจึงพูดกับสนมเยว่ที่อยู่ข้างๆ ว่า
"เจ้าแน่ใจหรือว่านางยังมีมิตรภาพที่ดีต่อสนมโหลวอยู่? อยู่ในสำนักซักล้างมานานขนาดนี้ ชีวิตของนางเกรงว่าคงจะลำบากมาก นางอยู่ที่นั่นมาก็นาน ยังจะมีมิตรภาพอันดีสนมโหลวอีกหรือ?"
เมื่อสนมเยว่ได้ยินคำถามของฉินชิง ในใจก็สงสัย นึกย้อนกลับไปตอนที่ตนเห็นแม่นมคนนั้น นางดูซูบผอมลงไปมาก หลังก็ค่อมเล็กน้อย ไอตลอดเวลา แผลที่มือก็ยังไม่หายดี
"ตอนที่หม่อมฉันไปหาคือตอนที่นางกำลังป่วยพอดี ตอนนั้นนางนอนดื่มยาอยู่บนเตียง มือที่ยกถ้วยยาก็ยังมีแผล เหมือนว่าไม่เคยหายดี เสื้อผ้าที่นางใส่ก็เก่า อีกทั้งยังสวมชุดสองชั้น"
ฮองเฮาได้ยินสนมเยว่พูดจบแล้วก็พูดขึ้นมาว่า
"เป็นถึงขั้นนี้ เกรงว่าชีวิตที่ผ่านมาคงลำบากมาก ต่อให้ป่วยก็ยังต้องมีเงินซื้อยา แต่จากที่ชูเจาอี้เคยเสนอมาคราวก่อนว่าให้นำยาที่คัดออกและไม่ได้ใช้ประโยชน์ไปมอบให้นางกำนัลในวัง ยาก็ไม่ได้หายากแล้ว แต่การสวมชุดสองชั้นเหมือนเป็นฤดูหนาวตลอด เกรงว่าอาการป่วยคงหนักมาก อีกอย่างนางก็ไม่ได้มีเสื้อผ้ามากขนาดนั้น"
"ตอนนั้นหม่อมฉันเห็นว่านางน่าสงสาร อีกอย่างก็มีเรื่องที่ต้องขอร้องนาง เพราะอยากจะรู้เรื่องในตอนนั้น ดังนั้นจึงใช้เงินจ่ายพวกนางกำนัลเพื่อให้รับงานของนางไปทำ และหาหมอหลวงที่ว่างงานมาดูอาการป่วยของนาง"
สนมเยว่นึกถึงเรื่องตอนนั้นและพูดต่อ
"แต่พอหม่อมฉันไปถามนางอีกรอบ นางกลับพูดมาเพียงเล็กน้อย ก็คือที่พวกท่านได้ยินไปแล้ว"
"ก่อนหน้านี้เจ้าเดาว่านางไม่ได้รับความโปรดปราน แต่ข้ากลับรู้สึกว่าตอนนั้นนางอาจเป็นที่โปรดปรานก็ได้"
"เหตุใดชูเจาอี้ถึงคิดเช่นนั้น"
"หากนางไม่ได้รับความโปรดปราน นางจะได้รับหน้าที่ดูแลเครื่องหอมเหล่านี้แทนสนมโหลวได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่เรื่องที่แม่นมธรรมดาที่จะสามารถทำได้
อีกอย่างถ้านางไม่ได้รับความโปรดปราน เหตุใดหลังจากถูกไล่ออกจากตำหนักแล้วนางไม่ถูกส่งไปที่สำนักไต่สวน แต่กลับไปที่สำนักซักล้างแทน เมื่อครู่ข้าแค่คิดว่าชีวิตที่สำนักซักล้างมันลำบาก แต่ทั้งที่ในวังก็มีสถานที่ที่ลำบากมากกว่าสำนักซักล้าง ด้วยอารมณ์โมโหร้ายของสนมโหลว คนอื่นไม่รู้ก็ช่างเถอะ แต่สนมเยว่ก็คงจะรู้ดี ไม่ใช่ว่าเจ้านายทุกคนจะให้อภัยสิ่งที่ควรให้อภัย ครั้นนางกำนัลทำผิด คนแรกส่งไปที่สำนักไต่สวน และคนที่สองถึงจะส่งไปที่สำนักซักล้าง
เหตุใดสนมโหลวถึงไม่ส่งนางไปที่สำนักไต่สวน แต่กลับเป็นสำนักซักล้าง ก็หมายความว่าฐานะของแม่นมคนนี้ตอนอยู่ข้างกายสนมโหลวค่อนข้างสูง ซึ่งก็หมายความว่านางในตอนนั้นควรได้รับความโปรดปราน"
หลังจากฉินชิงพูดจบ ฮองเฮาและสนมเยว่ต่างก็เงียบไป เห็นได้ชัดว่าพวกนางคิดไม่ถึงจุดนี้
"ที่ชูเจาอี้พูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล หม่อมฉันนึกไม่ถึงจุดนี้เลยจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ถือว่าสนมโหลวปล่อยนางไปแล้ว ดังนั้นนางถึงยังมีมิตรภาพที่ดีต่อสนมโหลว แบบนี้ก็พอจะเข้าใจ"
"แต่ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ พวกเราก็ไม่มีทางให้นางมาเป็นพยานได้แล้วน่ะสิ ก็ต้องหยุดอยู่แค่นี้แล้ว"
เมื่อฉินชิงได้ยินคำพูดของฮองเฮาและสนมเยว่ จึงยิ้มแล้วพูดว่า
"ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป สุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไรก็ไม่มีใครรู้ แต่ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้จะสำเร็จได้ด้วยความพยายามของเรา"