Chapter 130 : คลื่นอสูรขนาดใหญ่มาแล้ว! (1)
หลี่เหว่ยกั๋วเอ่ยเสียงขรึม “ถ้างั้นมาคิดกันเถอะว่าจะเอายังไงดี”
“ฉันมีความคิดอยู่...” เหล่าอู๋กระซิบกระซาบ
“ฉันว่าฉันพอจะเดาได้นะว่านายคิดอะไร...” ผู้นำโคโลนี่หมายเลข2พึมพำ
“ฉันก็มีแผนแต่มันไม่ค่อยจะสมบูรณ์แบบเท่าไหร่...” ผู้นำโคโลนี่หมายเลข1พยักหน้า
นักสู้ขอบเขตที่8ทั้ง4คนรวมตัวพูดคุยกัน เหล่าผู้ที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าพวกเขามีการแลกเปลี่ยนบางอย่างแปบบลับๆ
หลังจากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างหนักหน่วง คนทั้งสี่ก็ได้ข้อสรุป
พวกเขาจะจัดการกับอีกฝ่ายในเกมของอีกฝ่ายเอง!
ใช่ว่าพวกเขาไม่มีความคิดที่จะส่งคนไปโจมตีที่ซ่อนเหล่านี้ในตอนนี้
หากแต่หลังจากโจมตีที่ซ่อนแห่งแรกไปแล้ว คนของที่ซ่อนอีกสองแห่งจะต้องสัมผัสได้แน่ๆว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
อย่างไรก็ตามถ้าพวกเขาโจมตีที่ซ่อนทั้งสามแห่งในเวลาเดียวกันพวกเขาก็มีกำลังคนไม่พออีก
กำลังคนที่มีนั้นหมายถึงนักสู้ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งและมีความภักดีมากพอ
การลอบโจมตีเช่นนี้แน่นอนว่าไม่อาจเปิดเผยอย่างเป็นทางการหรือใช้งานนักสู้พลเรือนได้
ใครจะรู้กันล่ะว่ามีสปายอยู่มากน้อยเพียงไหน?
ต่อให้คนพวกนั้นไม่ใช่สปายจากอินเดียแต่ก็อาจจะเป็นสปายจากองค์กรอื่นก็เป็นได้
สปายพวกนี้แน่นอนว่าย่อมมีความสุขหากได้เห็นกองพลก่อสร้างเสียหายอย่างร้ายแรง มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่พวกนั้นจะแจ้งข่าวให้พวกนักสู้ชาวอินเดียที่อยู่ในที่ซ่อนทราบ
นอกจากนักสู้พลเรือนเหล่านี้แล้วจริงอยู่ว่ายังมีคนของกองพลก่อสร้างอยู่อีกมาก
หากแต่การจัดสรรกำลังพลอย่างลับๆโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวนั้นเป็นเรื่องยากมาก
อีกฝ่ายมีคนกว่า300คนและมีนักสู้ขอบเขตที่8อย่างน้อยถึง3คน ถ้าพวกเขาคิดอยากจะทำลายอีกฝ่ายด้วยวิธีการจู่โจมสายฟ้าแล่บก็ต้องใช้นักสู้ขอบเขตที่7อย่างน้อย600คนและนักสู้ขอบเขตที่8อีกมากกว่า6คน
การจัดสรรกำลังคนกว่า600คนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังขาดนักสู้ขอบเขตที่8ไปอีก2คนด้วย
ไม่ว่าจะวิธีใดย่อมดึงดูดความสนใจของฝ่ายอื่นๆและทำให้มีข่าวลั่วไหลออกไปอย่างแน่นอน
ดังนั้นคนทั้งสี่จึงเรียกใช้วิธีเล่นไปตามเกมของอีกฝ่ายและไม่ได้ลงมือ พวกเขารีบจัดแจงขอตัวนักสู้ขอบเขตที่8ซึ่งมีพลังต่อสู้แก่กล้าจากภายนอกเข้ามาเพิ่มอีก2คนในทันที
มีแต่เพิ่มจำนวนพลังรบระดับสูงขึ้นมาเท่านั้นพวกเขาถึงจะเบาใจได้
เหล่าอู๋หวนนึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนคลื่นอสูรขนาดกลางบุกเมืองจึงเอ่ยเตือนคนอื่นๆ “ยังไงก็เถอะฉันยังอยากจะขอให้มีการนำเข้าศิลาไขกระดูกสายฟ้าเพิ่มเติมนะ เจ้าสิ่งนี้เหมาะแก่การใช้ชาร์จพลังงานให้กับหอคอยอัสนีมาก มันเพิ่มทั้งพลังทำลายและระยะโจมตีของหอคอยอัสนีได้ในช่วงสั้นๆเลยทีเดียว”
อีกสามคนพยักหน้ารับ
คนทั้งสี่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปยังโคโลนี่ของตัวเองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อรุ่งอรุณมาถึง บริเวณจุดลงทะเบียนด้านหน้าโคโลนี่หมายเลข2กับหมายเลข3พลันปรากฏนักสู้ขอบเขตที่7สองคนเดินเข้ามา
นักสู้ขอบเขตที่7ทั้งสองคนนี้มักจะเข้ามาในบรรพตเสี้ยววิญญาณเป็นประจำทุกวัน ลักษณะหน้าตาของเขาจึงไม่ทำให้เกิดละลอกคลื่นอะไรแต่อย่างใด
หากแต่นอกจากหลี่เหว่ยกั๋ว เหล่าอู๋และนักสู้ขอบเขตที่8อีกสองคนแล้วคนอื่นๆไม่มีทางรู้เลยว่าแท้จริงแล้วพวกเขาทั้งสองคนคือนักสู้เลเวล6ขอบเขตที่8!
เวลาผ่านไปทีละน้อยๆ
เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงบ่าย3 หลินเซวียนได้เลือกที่จะมาก่อนเวลาเพื่อส่งมอบอุปกรณ์ที่ผ่านการหลอมสร้างเรียบร้อยแล้ว
เขาได้แจ้งนักสู้คนอื่นๆเอาไว้แล้วว่าให้มาพบกันเวลานี้
ถึงแม้ที่จริงแล้วอุปกรณ์จะถูกสร้างเสร็จนานแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้ดูโดดเด่นเกนิไปนักเขาจึงจงใจทำให้มันล่าช้าออกไปหลายวัน
ไม่อย่างนั้นมันคงจะน่าตกตะลึงเกินไปหน่อยจริงๆหากเขาสร้างอุปกรณ์เกรดสีทองจำนวนมากเสร็จในเวลาเพียงหนึ่งวัน
เฟิงจวงคือคนแรกที่มาเข้าแถวรอ เมื่อเขาเห็นหลินเซวียนปรากฏกายเขาก็หัวเราะออกมาทันที
“หลินเซวียน พวกนี้คือหนังสือสกิลที่นายต้องการ จำนวนของพวกมันมีมากกว่าหนึ่งร้อยเล่มฉันไปซื้อพวกมันมาให้จนครบแล้ว” เขายิ้มและยื่นถุงหนังสือสกิลให้ “ยังไงก็ตามหนังสือสกิลนั่นค่อนข้างหายากจริงๆ เมื่อวานนี้ขนาดฉันไปที่โคโลนี่หมายเลข2ก็ยังหาไม่ได้”
หลินเซวียนประหลาดใจยิ่งนัก “ผมแค่พูดลอยๆเท่านั้นนี่คุณถึงขนาดไปหามาให้จริงๆหรอเนี่ย?”
เฟิงจวงยิ้มด้วยท่าทีลำบากใจ “นายกับโล่ทำเพื่อพวกเรามาก็มากแล้วแถมยังช่วยจัดการกับไอ้ตัวสูบเลือดมู่หยางนั่นให้อีก ฉันเองก็คิดมาตลอดว่าจะหาวิธีไหนตอบแทนนายดี นี่เป็นแค่เรื่องเล็กๆเท่านั้นไม่คู่ควรกล่าวถึงหรอก”
หัวใจของหลินเซวียนพลันอบอุ่นขึ้นมา
เฟิงจวงผู้นี้นับได้ว่าเป็นคนนิสัยดียิ่ง เมื่อตอนที่เขากำลังขายโพชั่นนั้นคนทั้งสองที่ไม่มีอะไรทำมากนักจึงคุยกันเล่นๆ ในตอนนั้นหลินเซวียนพูดลอยๆไปว่าเขาอยากได้หนังสือสกิลและถ้าเฟิงขวงยินดีช่วยเขารวบรวมหนังสือสกิลที่เขาต้องการมาได้จะดีมาก
หลินเซวียนไม่คิดเลยว่าเฟิงจวงจะจำได้
ตอนนี้เขาสามารถสร้างร่างแยกได้ห้าร่างแล้ว นอกจากโล่วิญญาณ ระเบิดเพลิงและดาบพิษแล้วเขายังจ้องมีอุปกรณ์ให้กับร่างแยกอีกสองร่างด้วย
หลินเซวียนขบคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจได้ว่าจะให้หนึ่งในนั้นเป็นจอมเวทย์น้ำแข็งและอีกคนหนึ่งเป็นฮีลเลอร์
หนังสือสกิลที่เขาขอให้เฟิงจวงรวบรวมให้ก็คือสกิลที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองอาชีพนี้นั่นเอง
“หลินเซวียนแล้ว...อุปกรณ์เกรดสีทองของฉันล่ะ?” เฟิงจวงถูมือด้วยความกังวล
เขากังวลเล็กน้อยว่าหลินเซวียนจะหลอมสร้างอุปกรณ์ชิ้นนั้นไม่สำเร็จ
หลินเซวียนหยิบค้อนขนาดมหึมาออกมาจากมิติส่วนตัว
ค้อนนี้มีขนาดความสูงกว่า1.8เมตรและตลอดทั้งตัวค้อนเองก็แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบของโลหะให้ความรู้สึกกดดันยิ่งนักออกมา
“นี่คืออุปกรณ์ที่คุณขอให้ผมสร้างให้ ใช้ให้ดีล่ะ”
เฟิงจวงยินดียิ่งนักและรีบยื่นมือออกไปรับค้อนยักษ์ที่เปล่งประกายแสงสีทองมาไว้ในอ้อมแขน มือหยาบกร้านของเขาสัมผัสกับผิวเย็นเยียบของตัวค้อนอย่างระมัดระวังราวกับมันไม่ใช่ค้อนหากแต่เป็นภรรยาที่พลัดพราก
“ไม่คิดเลยว่านายจะสร้างมันสำเร็จจริงๆ!” เฟิงจวงหลั่งน้ำตาเอ่ยออกมา
เจ้านี่คืออุปกรณ์เกรดสีทองขอบเขตที่7ชิ้นแรกที่เขาได้ครอบครอง!
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะมีอาวุธอยู่หนึ่งถึงสองชิ้น
หากแต่เมื่อเลเวลของเขาเพิ่มขึ้น ความสามารถของอุปกรณ์เหล่านี้ก็ด้อยลงดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกได้แต่จำต้องฝากคนอื่นขายพวกมันให้กับนักสู้ระดับต่ำ
นักสู้ส่วนใหญ่ไม่เหมือนกับหลินเซวียนที่มีแก่นแท้มากพอจะอัพเกรดอุปกรณ์ได้เรื่อยๆ
เว้นเสียแต่อุปกรณ์สวมใส่พวกนั้นมันจะดีเป็นพิเศษไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมไม่มีทางยอมเสียแก่นแท้ไปกับการเพิ่มพลังพวกมันแน่ พวกเขาจะใช้พวกมันเท่าที่ใช้ได้จากนั้นก็ขายเมื่อไม่ใช้แล้ว