บทที่ 46: เผชิญหน้าสัตว์อสูร
บทที่ 46: เผชิญหน้าสัตว์อสูร
ลู่หยุนและเสี่ยวเฉินต่างก็หยิบตำราเล่มเก่าๆ ที่เป็นสีเหลืองขึ้นมาแล้วพลิกดู
ในมือของลู่หยุน มีคัมภีร์วรยุทธ์ที่ชื่อ วิชากระบี่พยัคฆ์ทมิฬ ซึ่งเป็นวิชายุทธ์ชั้นยอด
ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งในมือของเสี่ยวเฉินก็คือวิชาดาบชื่อ วิชาดาบพริบตา ซึ่งเป็นวิชายุทธ์ชั้นยอด
ขณะที่ลู่หยุนใช้กระบี่และเสี่ยวเฉินใช้ดาบ วิชายุทธ์ทั้งสองนี้จึงดูเหมือนกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ
“เราจะจัดการกับหีบสมบัติทั้งสองหีบนี้ยังไงดี?” หลังจากเก็บตำรายุทธ์ไปแล้ว ลู่หยุนก็ถามด้วยท่าทางค่อนข้างลำบากใจ
หีบแต่ละใบมีน้ำหนักอย่างน้อยๆ ห้าสิบกิโล ดังนั้นพวกเขาจึงไม่น่าจะสามารถแบกพวกมันกลับไปได้
“เรื่องนั้นง่ายมาก”
ทันทีที่สิ้นเสียงตอบ เสี่ยวเฉินก็หยิบถุงผ้าสีเหลืองใบเล็กออกมา ทันใดนั้น เขาก็เก็บหีบใหญ่ทั้งสองใบเข้าไปข้างใน
ลู่หยุนรู้ได้โดยธรรมชาติว่าถุงผ้าใบเล็กนั้นเป็นกระเป๋ามิติ
กระเป๋ามิติถึงแม้จะมีขนาดเท่าฝ่ามือ แต่ภายในก็มีพื้นที่ใหญ่เป็นตารางเมตร
และแม้พื้นที่จะเล็ก แต่มันก็ใช้งานได้จริง และราคาของมันก็สูงมากด้วยเช่นกัน โดยมีราคาอย่างน้อยหมื่นตำลึงต่อถุง
ลู่หยุนเคยเห็นมันมาก่อน แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่มีคะแนนการมีส่วนร่วมไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงมองข้ามมันไป
โถงกิจการภายในของสถาบันศึกษาวรยุทธ์ไม่เพียงแต่จะมีกระเป๋ามิติเท่านั้น แต่มันยังมีแหวนมิติอีกด้วย
พื้นที่ภายในกระเป๋ามิติจะมีขนาดใหญ่สุดประมาณ 1 ตารางเมตรเท่านั้น
แต่แหวนมิตินั้นแตกต่างออกไป ขนาดพื้นที่ภายในนั้นมีขนาดแตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้ว พวกมันก็มีพื้นที่เริ่มต้นที่ 10 ตารางเมตร
แหวนมิติในโถงกิจการภายในมีสามขนาด มีสิบ ห้าสิบและหนึ่งร้อยตารางเมตร
เนื่องจากแม้แต่กระเป๋ามิติเขาก็ยังไม่มีปัญญาจ่าย ดังนั้นลู่หยุนจึงไม่ได้สนใจจะดูราคาของแหวนมิติเลย
“กระเป๋ามิติค่อนข้างมีประโยชน์ มันคุ้มค่าที่จะครอบครอง ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราออกไปข้างนอก เราก็แบกทุกอย่างไปด้วยไม่ได้” เสี่ยวเฉินพูดอย่างสบายๆ ขณะที่เขาผูกกระเป๋ามิติไว้ที่เอวของเขา
“ถึงอย่างนั้นกระเป๋ามิติก็มีขนาดเล็กเกินไป ดังนั้นข้าจึงสนใจแหวนมิติมากกว่า”
เสี่ยวเฉินมองลู่หยุนด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะตอบกลับว่า “หลังจากที่เราจัดการกับเรื่องนี้เสร็จแล้วและกลับไปที่สถาบันศึกษาวรยุทธ์แล้ว เราก็จะแบ่งมันด้วยกัน”
“ย่อมได้”
ไม่นานทั้งสองก็ออกจากห้องลับ
ขณะที่พวกเขาออกไปข้างนอก พวกเขาก็เห็นหัวหน้าหวังซึ่งเพิ่งจะกลับมา
หัวหน้าหวังมีเหงื่อบนหน้าผากและหายใจหอบเล็กน้อย หลังจากหายใจเข้าลึกๆ เขาก็พูดช้าๆ ว่า “เจ้านั่นเร็วเกินไปและรู้จักภูมิประเทศแถบนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นข้าจึงตามมันไม่ทัน”
เสี่ยวเฉินไม่ได้สนใจ แต่ลู่หยุนก็ถามอย่างสงสัยว่า “แล้วใครคือคนที่หนีไปได้?”
“อู๋เซิง มันคือที่ปรึกษาและเป็นรองเพียงหัวหน้าหมู่บ้านซ่งซิงเท่านั้น” หัวหน้าหวังตอบ
“อู๋เซิง?”
ลู่หยุนสงสัยเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมอีก เขากลับจุดคบเพลิงแล้วโยนเข้าไปในบ้านแทน
ในไม่ช้า เปลวเพลิงก็ลุกไหม้บ้านด้านหลังพวกเขาและลามไปยังอาคารใกล้เคียง
เมื่อเห็นเพลิงไหม้ลามขยายใหญ่ขึ้น ลู่หยุนก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬจะเหลือแค่เพียงนามเท่านั้น และจุดหมายต่อไป กลุ่มหมาป่าทมิฬ!”
ระหว่างทาง หัวหน้าหวังอธิบายให้ลู่หยุนและเสี่ยวเฉินทราบเกี่ยวกับสถานการณ์และรายละเอียดของกลุ่มหมาป่าทมิฬ
เหตุผลที่ว่าทำไมกลุ่มหมาป่าทมิฬจึงถูกตั้งชื่อเช่นนี้ก็เป็นเพราะผู้นำของพวกเขาครอบครองสัตว์อสูรหมาป่าทมิฬที่อยู่ขั้นสองขั้นสูงสุด
นอกจากนี้ เนื่องจากสัตว์อสูรตัวนี้ กลุ่มหมาป่าทมิฬจึงสามารถเอาชีวิตรอดมาจากการกวาดล้างในมณฑลเมฆาเขียวและยังสามารถตั้งถิ่นฐานกลับขึ้นมาในเทือกเขาเมฆาเขียวได้
ด้วยสัตว์อสูรขั้นสองขั้นสูงสุดนี้เอง ฐานที่มั่นของกลุ่มหมาป่าทมิฬนั้นจึงอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาเมฆาเขียวมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหมู่บ้านพยัคฆ์ทมิฬ
ในขณะที่ทั้งสามคนเดินหน้าต่อไป ลู่หยุนก็เริ่มไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่เป็นเพราะพวกเขากำลังเข้าใกล้ส่วนลึกของเทือกเขาเมฆาเขียวมากขึ้นเรื่อยๆ และความเป็นไปได้ในการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แปลกก็คือพวกเขาไม่ได้พบกับสัตว์อสูรใดๆ เลยในระหว่างทาง และไม่เคยเห็นแม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆ อย่างกระต่ายด้วย
ความผิดปกติทั้งหมดนี้ทำให้ทั้งสามคนระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ลู่หยุนถึงกับชักกระบี่หัวพยัคฆ์ออกมาจากฝักและกำมันไว้แน่นเพื่อเตรียมพร้อมสู้
ตราบเท่าที่อันตรายปรากฏขึ้น เขาก็จะรีบจัดการปิดฉากมันลงให้ได้โดยเร็วที่สุด
และไม่ต้องพูดถึงเรื่องความคมและความแข็งแกร่งของกระบี่หัวพยัคฆ์เล่มนี้เลย แค่ออร่าพลังของลู่หยุนเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับสัตว์อสูรขั้นสองทั้งหมด
“ห้ะ?” ทันใดนั้นดวงตาของลู่หยุนก็จับจ้องไปที่คราบเลือดบนวัชพืชและพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล
“สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นร่องรอยที่พวกสัตว์อสูรและสัตว์ป่าทิ้งไว้ในตอนที่พวกมันถูกล่า อย่างไรก็ตาม เราก็อยู่ไม่ไกลจากฐานทัพของกลุ่มหมาป่าทมิฬแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ควรจะมีสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูรปรากฎตัวขึ้นที่นี่สิ?” หัวหน้าหวังกล่าวอย่างงงงวย
คำพูดของเขายังได้จุดประกายความสงสัยของลู่หยุนกับเสี่ยวเฉินขึ้นมาด้วย
พวกเขาทั้งสามคนเดินหน้าต่อไป และในระหว่างทาง พวกเขาก็เห็นรอยเลือดมากมายและแม้แต่เศษแขนขาของสัตว์ป่าตัวเล็กๆ ซึ่งดูน่าตกใจ
“นั่น… รอยเท้าหรอ?” ทันใดนั้นดวงตาของเสี่ยวเฉินก็ถูกดึงดูดโดยร่องรอยบางอย่างข้างๆ ซากกวาง
ลู่หยุนเองก็หันไปมองที่รอยเท้าด้วยเช่นกัน รอยเท้าขนาดมหึมาได้สร้างแรงสั่นสะท้านให้กับจิตใจของเขา
รอยเท้านี้มีความกว้างหนึ่งไม้บรรทัดและยาวเกือบเมตร หากมันเป็นรอยเท้าจริงๆ เจ้าของรอยเท้านี่ก็จะต้องน่ากลัวมากแน่นอน
ท้ายที่สุดแล้ว สัตว์อสูรธรรมดาบ้านไหนกันจะสามารถมีรอยเท้าใหญ่ขนาดนี้ได้? เจ้าของรอยเท้านี้จะต้องใหญ่โตและทรงพลังขนาดไหนกัน?
“เป็นไปได้ไหมว่าสัตว์อสูรภายในส่วนลึกของเทือกเขาเมฆาเขียวจะได้ปรากฎตัวออกมาแล้ว?”
ใบหน้าของหัวหน้าหวังซีดลงเมื่อเห็นรอยเท้าขนาดมหึมา
“ถ้าเป็นสัตว์อสูรที่ออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาจริงๆ งั้นการทำภารกิจต่อไปก็คงจะอันตรายแน่นอน”
เสี่ยวเฉินพูดอย่างไม่แยแส “หัวหน้าหวัง ถ้าท่านกลัว ท่านก็สามารถกลับไปก่อนได้เลย น้องลู่และข้าจะไปต่อตามลำพังเอง”
“ฮ่าฮ่า อย่าพูดแบบนั้นสิ นอกจากนี้ เราก็ยังเกือบจะถึงที่นั่นแล้ว โอกาสที่เราจะเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรนั้นน่าจะน้อยมาก”
ทันใดนั้น จู่ๆ ลู่หยุนก็ชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “หัวหน้าหวัง ดูนั่นสิ มีกลุ่มอาคารตั้งอยู่ที่นั่น นั่นคือฐานของกลุ่มหมาป่าทมิฬใช่ไหม?”
หัวหน้าหวังรีบมองไปในทิศทางที่ลู่หยุนชี้ และในไม่ช้าเขาก็ยิ้มออกมา
“ใช่แล้ว นั่นคือฐานทัพของกลุ่มหมาป่าทมิฬ”
ด้วยการยืนยันของหัวหน้าหวัง ทั้งลู่หยุนและเสี่ยวเฉินก็ยิ้มและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
การเข้าไปลึกกว่านี้อีกจะเป็นอันตรายต่อพวกเขาด้วยเช่นกัน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ ข้างในเป็นกลุ่มอาคารไม้ซึ่งเมื่อพิจารณาจากขนาดแล้ว มันก็สามารถรองรับคนได้อย่างน้อยสองถึงสามร้อยคน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่ไม่มีการลาดตระเวนโดยรอบเลย และสถานที่แห่งนี้ก็ยังเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย
มันเงียบจนทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง
“กลิ่นเลือดฉุนมาก!” เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว
เมื่อสายลมพัดผ่านมา ลู่หยุนก็ตรวจพบกลิ่นคาวเลือดที่ฉุนและรุนแรงตามที่เสี่ยวเฉินพูดถึง
“โครกกกก!”
ในขณะนั้นเอง เสียงคำรามของสัตว์อสูรก็ดังมาจากด้านหลังประตู มันทำให้ประตูที่ค่อนข้างทรุดโทรมอยู่แล้วส่งเสียงดังเอี๊ยด และต้นไม้โดยรอบก็สั่นสะเทือนเสียงดัง...