บทที่ 29 : ชั่วและจน!
บทที่ 29 : ชั่วและจน!
ที่สุดปลายถนนในหมู่บ้านเสี่ยวหยู
จ้าวเอ๋อและลูกน้องอีกสองคนของเขากำลังซ่อนตัวอยู่ในกอหญ้าข้างถนนอยู่ในขณะนี้
พวกเขากำลังจ้องมองไปที่บนถนนอันกว้างใหญ่อย่างตั้งใจผ่านช่องว่างระหว่างกอหญ้าและจับตาดูทุกคนที่ผ่านไปมา
“พี่จ้าว เรารออยู่ที่นี่มาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังไม่โผล่มาเลย ท่านคิดว่าเขาจะใช้เส้นทางอื่นรึเปล่า?” หูจื่อถามหลังจากที่พวกเขารอมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
เขาไม่ได้ถามเพราะความกลัว แต่เขาถามเพราะกังวลว่าเงินจะหลุดมือพวกเขาไป
“เป็นไปไม่ได้”
จ้าวเอ๋อส่ายหัวอย่างเด็ดขาด “ไม่มีนายพรานคนไหนที่จะไม่ดีใจเมื่อได้เงินมาจากการล่าสัตว์ พวกเขาจะรีบตรงกลับไปที่บ้านของพวกเขาเพื่อพักผ่อนโดยทันทีอย่างแน่นอน”
“ซึ่งถนนเส้นหมู่บ้านเสี่ยวหยูนี้ก็เป็นเส้นทางที่สั้นและเร็วที่สุดแล้ว หากพวกเขาเลือกที่จะใช้เส้นทางชนบทเล็กๆ การเดินทางของพวกเขาก็อาจจะกินเวลามากกว่าสองถึงสามเท่าตัวก็ได้”
“และเขาก็เพิ่งจะมาถึงที่นี่ ดังนั้นเขาจึงจะต้องไม่กล้าใช้เส้นทางที่ไม่รู้จักหรือหลบอยู่ในบริเวณนี้นานแน่”
“นอกจากนี้ ในพื้นที่อันกว้างใหญ่ของภูเขาต้าหยู มันก็มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่ได้รับการคุ้มครองจากพวกนายพรานและทำให้ที่นี่ค่อนข้างปลอดภัย”
“หากเขาเข้าสู่สันเขาผ่านเส้นทางอื่น เขาก็อาจจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายเอาได้ ซึ่งแม้แต่นายพรานที่มีประสบการณ์ก็ยังไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของตนเองได้เลย”
“มาถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังคิดว่าเขาจะกล้าเปลี่ยนเส้นทางอยู่อีกไหม?”
หูจื่อส่ายหัวโดยทันที “ไม่แน่นอน มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะทำอย่างนั้น หากข้ามีเงินมากมายขนาดนี้ ข้าก็คงจะหาที่ที่ปลอดภัยสำหรับซื้อบ้าน แต่งงานกับภรรยา ซื้อที่ดินและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแน่”
จ้าวเอ๋อพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตราบใดที่เราดักรออยู่ที่นี่ เจ้าเด็กนั่นก็จะไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ และแม้ว่าเขาจะเข้าไปในเส้นทางบนภูเขา แต่พวกพี่ใหญ่ก็จะตามเขาไปจนทันอยู่ดี”
“เจ้าเด็กนั่นคงจะหนีไม่พ้น-” คำพูดของจ้าวเอ๋อถูกตัดลงเมื่อเขาเห็นอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาหาเขาจากระยะไกล
ก่อนที่เขาจะมองเห็นมันได้ชัด ความเจ็บปวดอันทุกข์ระทมก็ปรากฎขึ้นที่ดวงตาของเขา และแรงกำลังอันมหาศาลก็กระแทกเข้าที่หัวของเขาและเหวี่ยงเขาปลิวออกมาจากกอหญ้า
“พี่จ้าว!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
เหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหันนี้ทำให้ลูกน้องทั้งสองคนสับสน
พวกเขารีบลุกขึ้นจากที่ซ่อนเพื่อไปตรวจดูอาการของจ้าวเอ๋อ
แต่ทันทีที่พวกเขาลุกยืนขึ้น หนึ่งในนั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังคอ ตามมาด้วยเลือดที่พุ่งกระเซ็นไปทั่ว ก่อนที่พลังอันทรงพลังจะส่งเขาล้มลงไปกับพื้นอีกเช่นกัน
จากนั้น หูจื่อก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่โจมตีพวกเขาอยู่คือลูกธนูเหล็ก พวกมันถูกยิงมาจากตำแหน่งปริศนาอย่างแม่นยำและรวดเร็ว
' มันจะต้องเป็นนายพรานคนนั้นแน่ๆ!'
เกือบจะในทันที หูจื่อก็ตระหนักได้ว่ามันคือศัตรูของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะรู้แล้วว่าเป็นใคร แต่เขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูเพื่อแก้แค้น เขาตัดสินใจที่จะรีบวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด
สหายของเขาได้เสียชีวิตลงไปแล้วถึงสองคน และตอนนี้มันก็เหลือเขาซึ่งอ่อนแอที่สุดอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าความเชี่ยวชาญด้านทักษะยิงธนูของนายพรานนั้นน่ากลัวมาก
ความรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นได้เข้าปกคลุมจิตใจของหูจื่อโดยทันที
ตอนนี้เขาไม่สนใจเรื่องเงินอีกต่อไปแล้ว มันมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่ในใจของเขา หนีรอดไปให้ได้!
อย่างไรก็ตาม การล่าที่เตรียมการมาอย่างดีก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นายพรานผู้เก่งกาจจะปล่อยให้เหยื่อหลุดรอดไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
หลังจากเดินไปได้เพียงสองก้าวและวิ่งไปได้เพียงไม่ถึงสิบเมตร เขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงตรงหัวใจ
ขณะที่ร่างของเขาพลิกหมุนไปในอากาศ ดวงตาของเขาก็จ้องมองไปที่ร่างสหายทั้งสองที่ไร้วิญญาณ มันมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงดังอยู่ในใจของเขา “ข้ากำลังจะตายหรอ?”
ตุ้บ!
พร้อมกับเสียงหล่นดังก้อง ร่างของเขาก็ล้มลงกับพื้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ท้องฟ้าสีคราม และม่านตาของเขาก็ค่อยๆ ขยายออก
จากระยะไกล บนสันเขาเตี้ยๆ ลู่หยวนได้ลดคันธนูลง
เมื่อตระหนักได้ว่าเขากำลังถูกไล่ล่า เขาจึงตระหนักได้ต่อทันทีว่ามันอาจมีการดักซุ่มโจมตีรอเขาอยู่
ด้วยเหตุนี้เอง ลู่หยวนจึงได้หลีกเลี่ยงการเดินบนถนนอย่างเปิดเผยและเลือกเดินตามริมไหล่ทางอย่างระมัดระวังแทน
แน่นอนว่าเขาคิดไม่ผิด
เขาค้นพบจ้าวเอ๋อและสมาชิกแก๊งฉิงจูอีกสองคนที่กำลังเฝ้าดักอยู่โดยทันทีที่เขามาถึง
และเมื่อเขาพบพวกมันแล้ว มันก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก
ลู่หยวนยกมือขึ้นแล้วยิงลูกธนูออกไปสามลูกเพื่อเป็นบัตรผ่านให้พวกมันทั้งสามคนได้เดินทางตรงลงไปยังยมโลก
“ตอนนี้เมื่อจัดการพวกมันเสร็จแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีการซุ่มโจมตีดักรออยู่อีกต่อไปแล้ว” ลู่หยวนคิดขณะที่เขาเดินเข้าไปหาศพของจ้าวเอ๋อกับสหายของเขา
เขารีบมาถึงบริเวณที่ร่างของพวกเขานอนกองอยู่
เขาก้มลงและค้นศพและในไม่ช้า ลู่หยวนก็พบถุงเงินทั้งสามใบ
เมื่อเปิดถุงและนับเงินข้างใน เขาก็พบว่ายอดรวมกันนั้นน้อยกว่าสิบตำลึง และถุงเงินของจ้าวเอ๋อก็มีเงินมากที่สุด ซึ่งก็คือหกตำลึง
“ไอ้พวกโง่นี่ นอกจากจะชั่วแล้วยังจนอีก!” ลู่หยวนถ่มน้ำลายใส่ศพทั้งสามด้วยความรังเกียจ จากนั้นจึงเก็บถุงเงินลงในกระเป๋า เขาดึงลูกธนูเหล็กทั้งสามออกมาจากศพเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่และหันกลับเข้าไปบนภูเขา
ก้าวของเขาเบาและไร้เสียง ใบหน้าของเขาเองก็ดูยิ้มแย้ม
แม้ว่าเขาจะดูถูกจ้าวเอ๋อและคนอื่นๆ ที่ยากจน แต่รายได้พิเศษเกือบสิบตำลึงก็นับว่าไม่เลวแล้ว...