บทที่ 12: รนหาที่ตาย!
แส้สีขาวคล้ายงูที่เต็มไปด้วยจิตสังหารพุ่งเข้าใส่เฟิ่งมู่ชิงเต็มแรงก่อนที่ปลายของแส้จะตวัดผ่านข้างแก้มของนางไป
ขวับ!
เสียงแส้ที่หวดลมอย่างรุนแรงดังขึ้นข้างหูของหญิงสาวทำให้นางถึงกับหัวเราะเยาะในใจเมื่อเห็นว่าสตรีตรงหน้าจงใจที่จะโจมตีใบหน้าของตน
เฟิ่งหวานหว่านจะไม่มั่นใจในตัวเองมากไปหน่อยหรือ?
จากนั้นเฟิ่งมู่ชิงจึงใช้พลังวิญญาณควบคุมกระบี่ในมืออีกครั้งเพื่อโต้กลับอีกฝ่าย ทว่าเฟิ่งหวานหว่านสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงสะบัดแส้ในมือให้เหวี่ยงไปพันรอบกระบี่ของอีกคนไว้แน่น ทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่ชั่วขณะหนึ่งโดยที่ไม่มีใครยอมใคร
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงมองดูสถานการณ์การต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้แต่ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดในใจว่าปัจจุบันตนยังอ่อนแอเกินไป แม้แต่จะจัดการกับผู้หญิงคนนี้ก็ยังต้องลงแรงไปมาก
ส่วนทางเฟิ่งหวานหว่านเองที่เห็นว่าอีกฝ่ายเอาชนะไม่ได้ง่าย ๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่หัวใจของนางบีบรัดด้วยความตึงเครียด
ตอนนี้พลังของนางอยู่ในขั้นแรกของขอบเขตสร้างรากฐานแล้ว แต่ทำไมนางถึงไม่สามารถเอาชนะหญิงหน้าตาอัปลักษณ์ที่เพิ่งฝึกใช้พลังถึงขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 ได้ นี่มันไม่ผิดปกติเกินไปหน่อยหรือ?
อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมา นางไม่ได้ใช้ทางลัดพึ่งยาต่าง ๆ ในการฝึกวิชา ดังนั้นนางจึงเลื่อนขั้นได้อย่างมีเสถียรภาพและแข็งแกร่ง แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเฟิ่งมู่ชิงจะใช้วิชาต้องห้ามบางอย่างเพื่อทำให้ตัวเองเก่งกาจจนสามารถต้านทานพลังของนางได้?
ในขณะเดียวกันนั้น เฟิ่งมู่ชิงก็ส่งพลังวิญญาณทั้งหมดของนางไปยังกระบี่ในมือสะบัดแส้ให้หลุดก่อนจะถอยหลังออกห่างทันที แต่เพียงแค่ชั่วครู่นางก็โถมตัวเข้าใส่ศัตรูอีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้ด้วยฝีมือที่ทัดเทียมกัน ทำให้ดอกไม้และต้นไม้ในสวนได้รับผลกระทบไปด้วย
“ลองใช้วิชานี้ก็แล้วกัน”
ทันทีที่หญิงสาวพูดจบ เฟิ่งมู่ชิงก็ขยับนิ้วเล็กน้อยทำให้กระบี่ลอยค้างกลางอากาศ และในชั่วพริบตากระบี่ 1 เล่มที่ลอยอยู่ก็แยกร่างออกโดยที่ปลายกระบี่ชี้ไปยังเป้าหมาย
เมื่อเฟิ่งหวานหว่านเห็นฉากดังกล่าวก็หรี่ตาลงเล็กน้อยพลางกระชับแส้สีขาวในมือให้แน่นขึ้น พร้อมกับเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอาวุธในมือเพื่อรอการโต้กลับ
“เทพธิดาโปรยมาลา!”
พอสิ้นเสียงหวาน มือของเฟิ่งมู่ชิงก็เคลื่อนไหวควบคุมให้กระบี่นับพันเล่มที่อยู่กลางอากาศพุ่งตรงไปยังคู่ต่อสู้ ทำให้ดวงตาของเฟิ่งหวานหว่านเบิกกว้างด้วยความตกใจ นางรีบดึงกระดิ่งสีทองเล็ก ๆ ออกจากเอวของนางก่อนจะโยนมันขึ้นเหนือหัว แล้วกระบี่ทั้งหมดก็หยุดเคลื่อนไหวทันที
โอ้! อาวุธวิญญาณป้องกันระดับ 5
ครั้นเฟิ่งมู่ชิงเห็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามโยนออกมา นางจึงโบกมือเพื่อควบคุมให้อาวุธของตนหลุดออกจากระยะป้องกันของอีกคน เป็นผลให้กระบี่ทั้งหมดต่างร่วงหล่นลงรอบ ๆ จนเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
ยามนี้หญิงสาวมองดูอาวุธวิญญาณป้องกันระดับสูงที่อยู่เบื้องหน้าอย่างระมัดระวังก่อนจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ดูเหมือนว่ามหาเสนาบดีจะมอบอาวุธวิญญาณที่ดีที่สุดให้กับเฟิ่งหวานหว่าน ไม่เช่นนั้นแล้ว สตรีตรงหน้าคงจะพ่ายแพ้ให้แก่นางในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
ขณะนั้นเฟิ่งหวานหว่านที่ได้สติก็เหลือบมองดูเศษซากที่อยู่รอบตัว ซึ่งภาพที่เห็นทำให้หัวใจของนางเต้นรัวจนแทบจะกระเด็นออกจากอก
หากนางเคลื่อนไหวช้ากว่าคู่ต่อสู้เพียงครู่เดียว นางคงถูกกระบี่นับพันเล่มแทงทะลุหัวใจไปแล้ว ดูท่าทางเฟิ่งมู่ชิงจะมาที่นี่เพื่อหมายเอาชีวิตของนางเป็นแน่
เหตุใดคนที่อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 ถึงจะเอาชีวิตข้าได้
เป็นไปได้ไหมที่หญิงอัปลักษณ์คนนี้จะมีสมบัติล้ำค่าอยู่ในมือ?
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ เฟิ่งหวานหว่านก็พร้อมที่จะโต้กลับ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าพร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในใจว่า ระดับพลังของสตรีผู้นี้อยู่เพียงแค่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 แต่อีกคนกลับสามารถต้านทานนางได้นานถึงเพียงนี้ เช่นนั้นนางก็ไม่ควรปล่อยให้คนไร้ค่าตรงหน้าได้มีเวลาฝึกฝนเพิ่มขึ้นอีกเด็ดขาด
จู่ ๆ ความคิดที่ต้องการจะกำจัดเฟิ่งมู่ชิงก็แวบเข้ามาในหัวของหญิงสาว นางจึงทิ้งแส้สีขาวและกระดิ่งทองคำในมือ ก่อนจะเค้นพลังวิญญาณจนเกิดเปลวไฟสีแดงขึ้นในมือของนาง จากนั้นจึงทำให้เปลวไฟเล็ก ๆ ในตอนแรกกลายเป็นลูกบอลไฟขนาดใหญ่ 9 ลูกลอยอยู่กลางอากาศ
“สุริยันนพเก้า!”
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นลูกบอลเพลิงพุ่งมาทางตน หัวใจของนางก็หนักอึ้งไปชั่วขณะ แต่ไม่นานนางก็ใช้วิชาตัวเบาเพื่อหลีกเลี่ยงลูกบอลเพลิงที่กำลังเข้ามาใกล้
ลูกบอลไฟพุ่งเข้าหานางทีละลูก ทว่าความใหญ่โตของมันทำให้หญิงสาวแทบจะหนีไม่พ้น ความร้อนที่แผ่ออกมาส่งผลให้ใบหน้าของนางแดงก่ำ โดยที่หน้ากากครึ่งซีกของนางนั้นกำลังสะท้อนแสงสีแดงสุกใสของเปลวไฟตรงหน้า
แม้ว่าพลังของทั้งคู่จะแตกต่างกันเพียงขั้นเดียว แต่ขอบเขตสร้างรากฐานของเฟิ่งหวานหว่านนั้นได้ข้ามขอบเขตกลั่นลมปราณไปแล้ว ทำให้ช่องว่างของพลังทั้งสองค่อนข้างกว้างมากทีเดียว
แม้นเฟิ่งมู่ชิงจะพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง ถึงกระนั้นนางก็เพิ่งเคยต่อสู้หลังจากที่ปลุกพลังขึ้นมาเป็นครั้งแรก อีกทั้งก่อนหน้านี้พวกนางยังต่อสู้กันยืดเยื้ออยู่พักใหญ่ ทำให้กำลังของนางในตอนนี้แทบจะไม่เหลือแล้ว นางจึงเผลอแสดงความอ่อนล้าออกมา
เฟิ่งหวานหว่านที่เห็นท่าทางของคนตรงหน้าก็เปลี่ยนกลยุทธ์การต่อสู้ทันที
ในจังหวะที่เฟิ่งมู่ชิงรวบรวมสมาธิเพื่อหลบลูกบอลไฟทั้ง 9 ได้พ้น ยังไม่ทันที่นางจะได้พักหายใจ ทันใดนั้นนางก็ถูกโจมตีจากด้านหลังจนนางต้องคุกเข่าล้มลงกับพื้นก่อนจะกระอักเลือด
“แค่ก ๆ! ฮ่า ๆ … วิธีลอบกัดนี่ช่างเป็นวิธีการที่เจ้าถนัดเสียจริง” หญิงสาวเอ่ยเย้ยหยันคนที่ฉวยโอกาสลงมือทีเผลอ
เฟิ่งหวานหว่านไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่าย หากแต่ใบหน้าของนางขณะนี้กลับเย็นชาราวกับน้ำแข็ง นางค่อย ๆ เดินไปหาศัตรูช้า ๆ พร้อมกับเจตนาที่อยากจะสังหารคนตรงหน้าให้ตายเสียเดี๋ยวนี้
ทันทีที่หญิงสาวบนพื้นเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ นางก็รีบใช้มือขวาตบพื้นให้ร่างกายของตนลอยขึ้นเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
จากนั้นเฟิ่งมู่ชิงยกแขนเสื้อเช็ดเลือดออกจากมุมปาก แล้วรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
…
เนื่องจากการต่อสู้ที่รุนแรงของหญิงสาวทั้งสอง ทำให้จวินหรูเย่และเฟิ่งเทียนหลิงรีบออกไปที่สวนด้วยความตื่นตระหนก
ในตอนนี้ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมืดมนมาก เขาหันไปมองโม่อิ๋งที่กำลังผลักรถเข็น ซึ่งอีกฝ่ายเข้าใจได้ในทันทีจึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก โดยมีเฟิ่งเทียนหลิงที่เร่งก้าวตามไปพลางคิดในใจอย่างฉุนเฉียวว่า
เฟิ่งมู่ชิงผู้นี้ช่างเป็นดาวหายนะจริง ๆ ทันทีที่กลับมาก็ก่อเรื่องให้จวนของข้าวุ่นวายไปหมด
ไม่นานจวินหรูเย่และเฟิ่งเทียนหลิงก็มาถึงที่เกิดเหตุแล้วเห็นสภาพสวนที่เคยงดงามได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ปัจจุบันภาพของสตรีทั้งสองที่กำลังเผชิญหน้ากันในสวนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยสภาพของเฟิ่งหวานหว่านมีผมหลุดลุ่ยเพียงเล็กน้อย ในขณะที่มุมปากของเฟิ่งมู่ชิงมีคราบเลือดที่ยังไม่แห้งหลงเหลืออยู่
พอโม่อิ๋งเห็นสถานการณ์ดังกล่าว เขาก็เร่งรีบผลักรถเข็นของผู้เป็นนายไปยังฝั่งนายหญิง
ครั้นจวินหรูเย่สังเกตเห็นสภาพของเฟิ่งมู่ชิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ทำให้จิตสังหารแผ่ขยายออกมาจากตัวของเขาในทันที
“เจ้ามันรนหาที่ตาย!”
สิ้นเสียงคำราม มือของชายหนุ่มก็เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว แล้วพลังธาตุลมลูกใหญ่ก็พัดเข้าปะทะกับร่างของเฟิ่งหวานหว่านโดยตรง
ปัง!
ไม่มีใครในบริเวณนั้นคาดคิดว่า จู่ ๆ จวินหรูเย่จะลงมือแบบกะทันหัน คุณหนูรองของตระกูลเฟิ่งจึงถูกกระแทกปลิวออกไปอย่างรุนแรงโดยที่นางไม่ทันได้เตรียมตัว ทำให้ร่างบอบบางของนางร่วงลงกับพื้นก่อนจะกระอักเลือดออกมากองใหญ่
“หวานหว่าน!”
เฟิ่งเทียนหลิงที่เห็นสภาพของบุตรสาวก็ตกใจจนหน้าซีด เขารีบวิ่งไปหานางก่อนจะหยิบขวดยาฟื้นฟูร่างกายออกมาจากแขนเสื้อแล้วป้อนให้นางทันที จากนั้นจึงหันไปถามชายหนุ่มด้วยสีหน้าคับข้องใจอย่างลืมตัวว่า
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ! พระองค์ทำร้ายคนในจวนของกระหม่อมได้อย่างไร!?”
“เฟิ่งหวานหว่านกล้าแตะต้องพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ท่านคิดว่าข้าคนนี้จะปล่อยมันไปง่าย ๆ งั้นหรือ?”
จวินหรูเย่กล่าวพลางใช้สายตาเรียบเฉยมองสองพ่อลูกตรงหน้า ท่าทีของเขาดูเย็นชามากจนทำให้เจ้าของจวนที่เผลอสบตากับชายหนุ่มหยุดชะงักไปชั่วครู่พร้อมกับลอบกลืนน้ำลายด้วยความขลาดกลัว
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าชายผู้นี้คือเทพสงครามที่สังหารผู้คนในสนามรบมานับไม่ถ้วนและอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนที่ต่อกรได้ง่าย ๆ
ยามนี้มหาเสนาบดีเฟิ่งพยายามข่มความกลัวก่อนจะโต้แย้งอีกคนเสียงสั่น
“ยังไม่มีการสอบสวนถูกผิดอย่างชัดเจน ดังนั้นท่านผู้สำเร็จราชการฯ จะทำร้ายคนอื่นแบบนี้ไม่ได้”
“ในตอนนี้พระชายาถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง อีกทั้งเฟิ่งหวานหว่านยังอาจหาญมากจนกล้าที่จะลงมือสังหารคน การที่ข้าไม่สังหารนางด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว นั่นก็ไว้หน้าท่านมากแล้ว ดังนั้นมหาเสนาบดีเฟิ่งอย่าได้มากเกินไปหน่อยเลย” จวินหรูเย่เอ่ยเสียงเรียบ
“แม้ว่านางจะเป็นพระชายาของพระองค์ก็ตาม นางก็ไม่สามารถรังแกผู้อื่นได้! ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ต้องให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ชัดเจน มิฉะนั้นแล้ว ต่อให้กระหม่อมจะต้องไปร้องเรียนกับฮ่องเต้ถึงในวังหลวง กระหม่อมก็ไม่กลัว!”
เฟิ่งเทียนหลิงขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายด้วยความย่ามใจ เขารู้จักบุตรสาวของตัวเองดี เฟิ่งหวานหว่านไม่ใช่สตรีที่จะลงมือโดยไม่ดูสถานการณ์ ดังนั้นนี่เป็นโอกาสดีที่จะได้เอาคืนชายตรงหน้า เพราะเขาเชื่อว่าผู้ที่อยู่ในวังหลวงจะไม่พลาดโอกาสดี ๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน
เมื่อจวินหรูเย่ได้ยินคำขู่จากมหาเสนาบดีเฒ่า เขาก็ปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมาทันที ทำให้พื้นที่นี้ดูเหมือนจะกลายเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพ
ในตอนที่ชายหนุ่มมาถึง เขาก็เห็นเฟิ่งมู่ชิงอยู่ในสภาพยับเยิน มันส่งผลให้หัวใจของเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะเพราะเขากลัวว่านางจะเป็นอะไรไป
แต่โชคดี! โชคดีที่เขามาทันเวลา
พอคิดถึงสิ่งนี้ จิตสังหารของจวินหรูเย่ก็พวยพุ่งออกมาไม่รู้จบ ดวงตาของชายหนุ่มยามนี้ราวกับน้ำแข็งที่พุ่งตรงไปยังสตรีที่หาญกล้ามาทำร้ายคนของเขา
ทางด้านเฟิ่งหวานหว่านที่เพิ่งฟื้นตัวจากการทานยาฟื้นฟูร่างกายจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเลือดในตัวถูกแช่แข็ง นางรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลังจนไม่กล้าขยับตัว
เฮือก!
จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังเฟิ่งมู่ชิงจนเผลอสบตาเข้ากับจวินหรูเย่ที่แผ่รังสีอำมหิตออกมาไม่หยุด ทำให้นางสะดุ้งโหยงด้วยความตื่นตระหนกก่อนจะรีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว แต่มือของนางกลับกำชายเสื้อตัวเองแน่นซึ่งบ่งบอกถึงความไม่ยอมแพ้
เห็นได้ชัดว่าเพียงแค่อีกนิดเดียวเท่านั้นตนก็จะสามารถกำจัดสตรีอัปลักษณ์ตรงหน้าออกไปจากโลกนี้ได้แล้ว
“โม่อิ๋ง ผู้กระทำผิดควรถูกลงโทษ!” ผู้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเอ่ยกับคนสนิทด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ในเมื่อเฟิ่งเทียนหลิงปฏิเสธที่จะยอมรับผิด แล้วทำไมเขาจะต้องไว้หน้ามหาเสนาบดีเฒ่าคนนี้ด้วย?
“ขอรับ!” โม่อิ๋งขานรับคำสั่งเสียงหนักแน่น ก่อนจะเคลื่อนตัวไปอยู่ตรงหน้าเฟิ่งหวานหว่านภายในพริบตาพร้อมกับแสงสีเหลืองที่ปรากฏบนฝ่ามือของเขา
พอหญิงสาวที่ตกเป็นเป้าเห็นว่าฝ่ามือนั้นกำลังจะกระทบลงบนหัวของตน นางก็รีบคว้ากระดิ่งออกมาอีกครั้งแล้วโยนมันออกไป
ปัง!
ทันทีที่พลังของโม่อิ๋งปะทะเข้ากับกระดิ่งทองคำ การโจมตีของเขาไม่เพียงแต่ถูกปิดกั้นเท่านั้น ทว่ามันยังส่งผลสะท้อนกลับมาโดยที่เขาไม่มีเวลาได้ป้องกันตัวเอง ทำให้ชายหนุ่มต้องกระเด็นออกไปไกล