บทที่ 11: เจ้ามันก็แค่ลูกชู้
“ใครคือไก่ฟ้า ใครคือหงส์งั้นหรือ?” เฟิ่งมู่ชิงยกมือขึ้นป้องปากก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
เมื่อเฟิ่งหวานหว่านเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคนตรงหน้า ในใจของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธและอดไม่ได้ที่จะคิดถึงความอัปยศอดสูที่ตนต้องทนทุกข์ทรมานในช่วงนี้
หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้กำลังหัวเราะเยาะข้างั้นหรือ?
บังอาจนัก!
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะสวมหน้ากากที่ดูดีสักเพียงใด แต่มันก็ไม่สามารถปกปิดใบหน้าแสนน่าเกลียดอีกครึ่งหนึ่งของเจ้าได้ตลอดไปหรอก” หญิงสาวเอ่ยเยาะเย้ยพลางจ้องมองไปยังหน้ากากบนใบหน้าของเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาดูถูก
ไม่ว่าผู้สำเร็จราชการฯ จะให้ความสำคัญกับหญิงอัปลักษณ์คนนี้มากแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะทุ่มเทความพยายามสักเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีทางรักษาใบหน้าที่ดูเหมือนปีศาจร้ายได้อย่างแน่นอน!
ใบหน้าที่ครึ่งหนึ่งงดงามดุจเทพเซียนแต่อีกครึ่งอัปลักษณ์ดุจปีศาจร้าย นี่ไม่ใช่ใบหน้าหยินหยางที่น่ากลัวหรอกหรือ?
ในขณะที่คุณหนูรองตระกูลเฟิ่งพูด เฟิ่งมู่ชิงก็ไม่พลาดที่จะได้เห็นความอิจฉาริษยาที่ฉายผ่านดวงตาของคนตรงหน้า ดังนั้นหญิงสาวจึงยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของตนเองพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดยั่วยุอีกฝ่ายว่า
“อะไรกัน? อิจฉาข้างั้นหรือ? ถึงแม้ว่าใบหน้าของข้าจะงดงามเพียงแค่ครึ่ง แต่ก็ยังเป็นครึ่งที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้”
“งดงามแล้วอย่างไร? ผู้สำเร็จราชการฯ ผู้โด่งดังคงต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่าจะหาหน้ากากนี้มาได้ แต่ก็เข้าใจได้ว่าพวกเจ้าต้องเจอหน้ากันตลอด ดังนั้นผู้สำเร็จราชการฯ อาจทำไปเพื่อไม่ให้เขาต้องตกใจกลัวคนเคียงหมอนทุกวัน”
เฟิ่งหวานหว่านโต้กลับพลางระงับโทสะในใจไปด้วย จากนั้นนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับหน้ากากอันประณีตที่อยู่บนหน้าของสตรีอัปลักษณ์
แม้ว่าจะเป็นความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่ก็เป็นความงามแค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ต่อให้โลกรักความงามครึ่งหน้าของนางมากเพียงใด แต่พวกเขาก็ต้องหวาดกลัวปีศาจร้ายจากอีกครึ่งหนึ่งของนางด้วยเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว สตรีผู้น่าเกลียดก็ไม่ได้ถูกเลือกเพราะหน้าตาของนางไม่ใช่หรือ? คนที่ได้แต่งงานกับผู้สำเร็จราชการฯ เพราะพระราชโองการของฮ่องเต้มีอะไรให้ต้องภูมิใจนักหนา?
และแม้ว่าแผนของพวกนางที่วางไว้จะไม่สำเร็จ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จวินหรูเย่ต้องอยู่กับความรู้สึกแย่ ๆ ไปอีกนาน
เมื่อเฟิ่งหวานหว่านคิดได้เช่นนี้ นางก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น
“เรื่องของผู้สำเร็จราชการฯ นั้นเทียบไม่ได้กับเรื่องของเจ้าหรอก ระหว่างทางมาที่นี่ข้าเพิ่งได้ยินวีรกรรมของเจ้าที่เขาเล่าลือกัน ยินดีด้วยนะ เจ้าได้กลายเป็นตัวตลกแห่งเมืองหลวงแล้ว” เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยแสดงความยินดีแต่สายตาและรอยยิ้มของนางกลับดูเหมือนเป็นการเยาะเย้ยเสียมากกว่า
แม้นเฟิ่งหวานหว่านจะไม่ใช่สาวงามล่มเมือง แต่นางก็ยังถือได้ว่ามีความงามที่ละเอียดอ่อน นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่านางได้รับโอกาสในการฝึกฝนมานานกว่า 10 ปี ทำให้นางเป็นสตรีผู้มีความเหมาะสมแก่ฐานะในสายตาของทุกคน
นอกจากนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นางยังอยู่ในอันดับต้น ๆ ของลานประลองหมื่นบุปผาอีกด้วย เรียกได้ว่านางเป็นสตรีผู้งดงามที่เก่งทั้งบู๊และบุ๋น
แต่น่าเสียดายที่ดันมีเรื่องการสวมรอยการแต่งงานเกิดขึ้นเสียก่อน จึงทำให้เรื่องดังกล่าวกลายเป็นเรื่องตลกหลังอาหารเย็นของทุกครัวเรือน
ทุกคนในเป่ยอี้ล้วนรู้ว่านางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซือคงหรูหลางผู้เป็นหนิงอ๋อง แต่นางกลับพยายามที่จะแต่งเข้าจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินที่ต้องเสี่ยงต่อการถูกลงโทษประหาร 9 ชั่วโคตร
หากครุ่นคิดดูให้ดีย่อมต้องรู้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างแน่นอน
เมื่อเฟิ่งหวานหว่านได้ยินคนตรงหน้าพูดถึงเรื่องน่าอับอายของนางขึ้นมา ความโกรธที่พยายามระงับไว้ก็ปะทุขึ้นทันที
“แล้วอย่างไร? แม้ว่าข้าจะกลายเป็นตัวตลก แต่ชื่อเสียงที่เน่าเหม็นของเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิมมานานกว่า 10 ปี ต่อให้ในตอนนี้เจ้าจะกลายเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขชื่อเสียงของเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
“ข้าไม่สามารถควบคุมในสิ่งที่คนอื่นทำได้หรอก ตอนนี้ข้าเพียงแค่รู้ว่าเมื่อเจ้าพบข้า เจ้าจะต้องโค้งคำนับทำความเคารพข้า เพราะท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็มีสถานะต่ำกว่าข้ามาก”
เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยด้วยท่าทีที่เหยียดหยามอีกฝ่าย ทำให้ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ในตอนนี้นางรู้สึกเจ็บหน้าอกจนหายใจไม่ออกเพราะความเดือดดาลที่แทบจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
“พอพูดถึงเรื่องนี้ เจ้ายังไม่ได้ทำความเคารพข้าเลย นี่น่ะหรือคือมารยาทของผู้ที่มีการศึกษามานานกว่า 10 ปี?”
หญิงสาวยืดตัวตรงก่อนจะจัดเสื้อผ้าท่าทางของตนให้เรียบร้อยราวกับเตรียมพร้อมรอให้สตรีที่อยู่ตรงหน้าก้มหัวคำนับ และเมื่อนางเห็นการแสดงออกที่หดหู่ของคุณหนูรองตระกูลเฟิ่ง นางก็รู้สึกสะใจมากเป็นพิเศษ
ปัจจุบันดวงตาของทั้งสองฝ่ายเต็มไปด้วยประกายไฟ ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันอย่างไม่ลดละทำให้บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความตึงเครียด
ทางด้านบ่าวรับใช้ที่ไล่ตามเฟิ่งหวานหว่านมาก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศระหว่างคนทั้งสองนั้นแปลกประหลาด พวกเขาจึงพากันก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยขึ้นมอง
พวกข้าไม่ได้ยินอะไรเลย พวกข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ไม่กี่อึดใจต่อมา เฟิ่งหวานหว่านก็ยกมือป้องปากก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ราวกับว่านางไม่ใช่คนที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟก่อนหน้านี้
“เหอะ เจ้ามันก็แค่ลูกชู้ แม้ว่าเจ้าจะเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ แต่อย่างไรเจ้าก็ยังคงเป็นลูกนอกสมรสที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่ออยู่วันยังค่ำ”
หญิงสาวยิ้มเยาะคนตรงหน้า นางได้ยินเรื่องนี้มาจากแม่ของนางเมื่อไม่กี่ปีก่อน และทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องดังกล่าว มันก็ทำให้นางรู้สึกมีความสุขมาก
เฟิ่งมู่ชิงเป็นลูกชู้ที่ไม่มีใครรู้ว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของนางเป็นใคร เพราะฉะนั้นหากจะพูดให้ถูก เฟิ่งหวานหว่านคือลูกสาวที่ชอบด้วยกฎหมายของมหาเสนาบดีเฟิ่งเพียงคนเดียว
ท้ายที่สุดแล้วหลานจิ้งโหรวได้เสียชีวิตไปนานกว่า 10 ปี อีกทั้งปัจจุบันแม่ของนางก็คือภรรยาเอกของมหาเสนาบดี ดังนั้นจึงไม่มีใครก้าวข้ามนางไปได้
ทันทีที่เฟิ่งมู่ชิงได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย นางก็ได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
อย่างนี้นี่เอง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เฟิ่งเทียนหลิงจะละเลยร่างเดิมมาตลอด
ข้าก็ยังแปลกใจอยู่ว่าทำไมคนเป็นบิดาถึงเมินเฉยลูกสาวของตน แล้วปล่อยให้นางต้องทนทุกข์ทรมานมาตลอดหลายปี
กลายเป็นว่าเจ้าของร่างนี้ไม่ใช่ลูกสาวทางสายเลือดของเฟิ่งเทียนหลิง!
ยามนี้หญิงสาวไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ นางเพียงแค่รู้สึกโล่งใจและหนักใจในเวลาเดียวกัน
นี่คือความรู้สึกของเฟิ่งมู่ชิงคนเดิมใช่หรือไม่? แล้วในชั่วอึดใจนั้นนางสัมผัสได้ว่าหินที่ถ่วงอยู่ในใจได้ถูกยกออกไปซึ่งมันทำให้นางผ่อนคลายในทันที
ดูเหมือนว่าเป็นเพราะร่างเดิมปล่อยวางเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แล้ว หญิงสาวจึงโล่งใจมากขึ้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียดเพื่อหาคำตอบให้กับเฟิ่งมู่ชิงคนเก่า ซึ่งนางถือว่าเป็นค่าตอบแทนสำหรับร่างนี้ที่ทำให้นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“พูดแล้วก็น่าขันดีนะ หลานจิ้งโหรวที่เก่งกาจที่สุดในสมัยนั้นกลับกลายเป็นคนน่ารังเกียจ นางลอบคบชู้ลับหลังท่านพ่อ ซ้ำยังให้กำเนิดเจ้าออกมา แถมยังกล้าที่จะครอบครองตำแหน่งภรรยาเอกของมหาเสนาบดีอีก ช่างหน้าด้านเสียจริง!”
เพี้ยะ!!
ทันทีที่เฟิ่งหวานหว่านพูดจบ ในสวนหลังจวนที่เงียบสงบก็มีเสียงตบที่ดังขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งบ่งบอกว่าเฟิ่งมู่ชิงลงแรงไปมากขนาดไหน
ฝั่งคนถูกตบถึงกับหน้าสั่น ในขณะที่นางตกอยู่ในอาการมึนงง
เฟิ่งหวานหว่านแตะไปที่แก้มของตัวเองด้วยสายตาว่างเปล่า และความรู้สึกเจ็บแปลบที่เพิ่งแล่นเข้ามาก็ดึงสติของนางให้กลับมาทันที
นังสารเลว! กล้าดีอย่างไรมาตบข้า?!
“เฟิ่งมู่ชิง!!” หญิงสาวกัดฟันพูดพร้อมกับจ้องมองเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาเกลียดชัง
“ใครใช้ให้เจ้ากล้าดูถูกแม่ของข้ากันล่ะ?”
แม้ว่านางจะไม่ใช่เฟิ่งมู่ชิงคนเก่า ทว่านับตั้งแต่ตอนที่นางมาถึงที่นี่ก็ถือว่านางได้ร่วมแบ่งปันทุกข์และสุขกับร่างเดิมแล้ว
ดังนั้นแม่ของร่างเดิมก็คือแม่ของนางด้วยเช่นกัน
“นางกล้าทำชั่วแต่กลับไม่ยอมให้คนอื่นพูดถึงงั้นหรือ? ตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าควรถูกข้าเหยียบย่ำลงไปในโคลนและเจ้าจะไม่มีวันหนีมันไปได้ตลอดกาล! ฮ่า ๆๆๆ!” คุณหนูรองตระกูลเฟิ่งหัวเราะเสียงดังประหนึ่งว่าเจ้าตัวเสียสติไปแล้ว
ด้วยท่าทีของอีกฝ่ายทำให้การแสดงออกของเฟิ่งมู่ชิงนั้นเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ ดวงตาคมดุเขม็งมองหญิงไร้สติที่อยู่ตรงหน้าราวกับว่านางกำลังมองดูร่างที่ไร้ลมหายใจ
และเมื่อเฟิ่งหวานหว่านเผชิญหน้ากับสายตาที่เหมือนกับต้องการสังหารตน ร่างกายของนางก็สั่นสะท้านในทันที แต่เพียงชั่วครู่นางก็เชิดอกขึ้น
หลายปีที่ผ่านมาเฟิ่งมู่ชิงไม่เคยได้ร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้หรือวิชายุทธมาก่อน ดังนั้นนางก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว
ในเวลาเดียวกัน เฟิ่งมู่ชิงพ่นลมอย่างเย็นชาขณะที่พลังวิญญาณของนางโคจรไปทั่วร่าง ไม่นานแสงสีทองก็ปรากฏขึ้นในมือบอบบางก่อนจะกลายเป็นกระบี่คม จังหวะนั้นนางจับด้ามกระบี่แล้วแทงเข้าไปที่เป้าหมายโดยไม่มีการเตือนใด ๆ
เมื่อเฟิ่งหวานหว่านเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตกใจมาก พอเห็นปลายกระบี่พุ่งเข้ามาใกล้ตัว นางจึงเอี้ยวตัวหลบก่อนจะกระโดดถอยห่างจากฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว
นางเป็นคนไร้ค่าที่ไม่มีรากวิญญาณไม่ใช่หรือ?
แล้วนางมีรากวิญญาณธาตุโลหะตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ทว่าหญิงสาวไม่มีเวลาให้หยุดคิดมากนัก นางรีบดึงสติกลับมาเพื่อรับมือกับการโจมตีครั้งต่อไปของเฟิ่งมู่ชิง
บัดนี้พลังวิญญาณพุ่งออกมาจากปลายกระบี่ของอีกฝ่ายแล้วมุ่งตรงเข้ามาหานางอีกครั้ง แต่เฟิ่งหวานหว่านมีสายตาเฉียบคมและการเคลื่อนไหวอันรวดเร็ว ทำให้นางเคลื่อนตัวออกจากจุดที่ยืนอยู่ได้ทันท่วงที เมื่อนางหันหลังกลับไปมองยังบริเวณที่นางเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ นางก็เห็นหลุมมากมายนับไม่ถ้วนอยู่บนพื้น
ภาพเบื้องหน้าส่งผลให้หัวใจของหญิงสาวตึงเครียด ตอนนี้นางรู้แล้วว่าคู่ต่อสู้อยู่ในขั้นที่ 7 ของขอบเขตกลั่นลมปราณ
นางฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเล็กและตระกูลเฟิ่งก็มอบทรัพยากรดี ๆ ทั้งหมดให้กับนางมาตลอด 10 ปี แต่นางก็ยังทำได้เพียงอยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานเพียงเท่านั้น
แล้วหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ก้าวมาถึงขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 ได้ตั้งแต่เมื่อใด?
แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นผู้มีพลังในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 ได้อย่างไรก็ตาม นางก็ยังอยู่ที่ขั้นที่แรกของขอบเขตสร้างรากฐานซึ่งสูงกว่าคนตรงหน้าอยู่ดี
ทางด้านบ่าวรับใช้ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร พวกเขาก็วิ่งไปหลบซ่อนอยู่ที่มุมไกล ๆ เพราะเกรงว่าตัวเองจะพลอยโดนลูกหลงตายโดยไม่รู้ตัว
ยามนี้มีสายลมเย็นพัดผ่านทำให้ชายเสื้อของทั้งสองฝ่ายปลิวไสว อีกทั้งยังพัดพาความหนาวเย็นส่งไปโอบล้อมคนทั้งคู่
ต่อมา เฟิ่งหวานหว่านดึงเชือกสีขาวออกมาจากเอวของตน ก่อนที่นางจะยืนเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ และเมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นแส้ในมือของอีกคนก็ทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นพลางมองไปยังแส้เส้นนั้น
คุณภาพไม่เลว อาวุธวิญญาณระดับ 2 อย่างนั้นหรือ?
ดูเหมือนว่าสตรีตรงหน้านี้จะเป็นคนสำคัญของจวนมหาเสนาบดีจริง ๆ
ทันใดนั้นสายลมที่เคยเอื่อยเฉื่อยก็พัดแรงขึ้น ส่งผลให้ต้นไม้ใบหญ้าในสวนส่งเสียงกรอบแกรบ จากนั้นเฟิ่งหวานหว่านก็อาศัยจังหวะชิงลงมือก่อนโดยกำแส้สีขาวที่เหมือนงูวิ่งเข้าไปหาเฟิ่งมู่ชิง